ตอนที่ 42 ลมหายใจราชามังกร 1
ทั้งสองยังคงไล่ตามกันอย่างบ้าคลั่ง หนิงเทียนพุ่งผ่านขบวนคาราวานที่1และ2 อย่างไม่สนใจที่ปิดบังตัว
ส่งผลให้ผู้คุ้มกันรอบๆที่เห็นเหตุการณ์ไล่ตามมันโดยทันที เวลานี้ไม่ใช่หนึ่งคนหนีหนึ่งไล่อีกต่อไปแล้ว
หนิงเทียนยิ่งเร่งความเร็วขึ้นไปอีก ตอนนี้มันกำลังหลบหนี เกาซุนและผู้คุ้มกันในแดนแห่งปราชญ์นับสิบคน แต่ที่น่าแปลกใจที่สุด ไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถร่นระยะห่างระหว่างตัวมันกับหนิงเทียนลงได้
ในขณะที่มันกำลังหลบหนีอยู่นั้น แววเสียงอันเบาก็ได้ตกกระทบเข้ามาภายในสองหูของหนิงเทียน
เมื่อมันได้ยินเช่นนั้น หนิงเทียนยิ่งเร่งพลังเข้าไปอีกเวลานี้มันใช้เก้าวิญญาณท่องนภาจนถึงขีดสุดความสามารถของมัน
พลังปราณ8ใน10ส่วนของหนิงเทียนใช้ออกเพื่อส่งเสริมท่าเท้านี้ เพียงพริบตาเดียว ร่างกายในชุดสีดำของหนิงเทียนจางหายไปราวหมอก ทิ้งให้เกาซุนและผู้คุ้มกันมองไปด้วยความตกตะลึง
เหล่าผู้คุ้มกันทั้งหมดจับจ้องไปยังเงาสีดำที่สลายไปดุจวิญญาณร้ายอยู่สองนาน
ทันใดนั้นเหมือนว่าเกาซุนจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาของมันซีดเซียวขึ้นทันที
มันรีบหันตัว ทะยานร่างกลับกระโจมของมันด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
พริบตาเดียวร่างของเกาซุนกลับเข้ามาภายในที่พักของตัวมันเอง
มันเร่งรีบเปิดลิ้นชักเหล็กอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นกล่องเหล็กสีดำขนาดเล็กปรากฏในสายตาของมัน
เห็นเช่นนั้นเกาซุนถึงได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พร้อมทั้งรีบนำกล่องเหล็กสีดำขนาดเล็กเก็บลงไปในแหวนมิติอย่างรวดเร็ว….
ในเวลาเดียวกันภายในขบวนคาราวานที่3 หนิงเทียนรีบถอดชุดสีดำและผ้าคลุมหน้าออกพร้อมทั้งกล่าวออกกับสหายตัวจ้อยของมัน “เรียบร้อยดี?”
ใบหน้าของราชาภูตยกยิ้มขึ้นมา พร้อมทั้งชูกล่องสีดำขนาดใหญ่กว่าตัวมันขึ้นมา“คุณชายนี้คือกล่องจงหลีของแท้แน่นอน”
หนิงเทียนจับจ้องไปยังกล่องสีดำอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมา “อู๋ชางอย่าได้รีรอ จงรีบเปิดมันออกมา”
“……” ไม่มีคำตอบจากราชาภูตมันเพียงแต่มองไปยังนายของมันด้วยแววตากระจ่างใสอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวขึ้นมา
“คุณชายท่านล้อราชาเล่นแล้ว กล่องจงหลีนั้นคล้ายคลึงกับผนึกศิลาทองในร่างของท่าน พวกมันมันเป็นมรดกตกทอดของจักรพรรดิบรรพกาลมีแต่เพียงผู้ที่เหมาะสมเท่านั้นถึงจะเปิดมันออกได้”
ได้ยินเช่นนั้น หนิงเทียนหรี่ตาแคบลง พร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงที่เจือโทสะ
“เจ้าให้ข้าลงแรงมากมายเพื่อของไร้ประโยชน์เช่นนี้”
หนิงเทียนโกรธอย่างมากมันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นแมวตัวน้อยๆที่กำลังจ้องมองปลาในกระป๋อง
“คุณชาย ราชาผู้นี้เพียงแต่บอกว่ามันคือกล่องจงหลีเท่านั้น ราชาผู้นี้ไม่ได้บอกสักคำว่ามันจะมีประโยชน์ต่อท่าน” ราชาภูตยังกล่าวออกอย่างเป็นปกติ สีหน้าของมันไม่ได้มีความรู้สึกอันใดออกมาเลยแม้แต่น้อย
“หึ ตัวข้านั้นลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้ามันเป็นภูตกลิ้งกลอก ลืมมันไป ข้าจะไม่กล่าวโทษอะไรอีก”หนิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
มันยังกล่าวต่อไปอีกว่า “อู๋ชางเสียที ที่เจ้าชอบโอ้อวดในภูมิความรู้ของตัวเอง แต่ถึงเวลาเข้าจริงแล้วกลับไร้ซึ่งประโยชน์
บ้านเก่าของข้ามีคำกล่าวว่า บ่าวโง่เป็นเพราะนายสั่งสอนไม่ดี เอาเถอะข้านั้นจะไม่โทษเจ้า”กล่าวจบหนิงเทียนหันหลังพร้อมเดินจากไป
ราชาภูตได้ยินเช่นนั้นโทสะคละคลุ้งภายในใจ รีบหายตัวมาปรากฎเบื้องหน้าของหนิงเทียนพร้อมกล่าวออก
“กล่องจงหลีมีอะไร มารจันทราเป็นตัวอะไร ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ราชาผู้นี้ไม่รู้จัก คุณชายให้เวลาราชาผู้นี้สักหน่อย ข้ารับรองกล่องจงหลีจะต้องถูกเปิดต่อหน้าท่านอย่างแน่นอน”
"ดี...แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ที่เจ้าจะหาความลับของมัน เจ้าจงรีบนำมันกลับไปคืนหลานเหลียงโดยเร็ว"หนิงเทียนรีบกล่าวขัดทันที
"คุณชาย พวกเรานั้นลงแรงไปมาก เหตุใดต้องนำกลับไปคืนมนุษย์ตัวเหม็นที่กำลังหลับอยู่ด้วย" ราชาภูตกล่าวออกอย่างไม่พอใจ
"ข้าสั่งให้ทำก็ต้องทำ เจ้าไม่ต้องถามอันใด รีบไป" สิ้นเสียงหนิงเทียน ราชาภูตหายตัวไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก
หนิงเทียนที่เห็นท่าทีของอู๋ชาง ก็ได้แต่ส่ายหัว พร้อมทั้งก้าวเดินหายไปในเงามืด
ล่วงพ้นกลางดึกของค่ำคืนอันวุ่นวาย ภายใต้หมู่ดาราที่เลือนหายไปตามกฎของเวลา เวลานี้แสงอ่อนๆจากดวงตะวันตกกระทบใบหน้าของหนิงเทียน มันลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อชมทัศนียภาพเบื้องหน้าในยามเช้า
ในทุกๆวันภาพในขบวนคาราวานที่หนิงเทียนเห็นนั้นไม่ได้แตกต่างจากเดิมเลย พวกมันนั้นยังคงทำกิจซ้ำๆเหมือนทุกวัน
แต่วันนี้ที่ผิดแปลกออกไปจากเดิม คือเสียงที่ดังขึ้นผิดปกตินัก เสียงเจ๊าแจ๊ะพูดคุยของนักเดินทางและผู้คุ้มกันเสียงดังออกมาจากทุกขบวนคาราวาน
ทุกคนๆคนต่างเล่าลือเป็นเสียงเดียวกันถึงเรื่องภูตผีวิญญาณร้ายที่ปรากฎตัวเมื่อคืน ผู้คนที่พบเห็นเงาดำเมื่อคืนต่างลงความเห็นว่ามันเป็นวิญญาณร้าย
ส่วนพวกที่ได้ยินได้ฟังคำเล่าลือต่างส่ายหัวพร้อมทั้งขบขันในเรื่องเล่าที่เกินจริงนี้
.....
.........
ในระหว่างการเดินทาง เวลานี้พวกมันเดินทางออกมาสุดเขตแดนของหุบเขาผีเสื้อแล้ว
หนิงเทียน มองออกไปยังพื้นน้ำเบื้องหน้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา
ทันใดนั้นซุ้มเสียงของหลี่เฟิงก็ดังออกมาจากระยะไกล “น้องชายหนิงเจ้ามานั่งทำอะไรที่นี้”
“ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่มีเวลามากเกินไปเท่านั้น” หนิงเทียนกล่าวตอบโดยที่สายตาของมันยังจับจ้องไปยังเบื้องหน้า
หลี่เฟิงที่เห็นปลายทางของสายตาหนิงเทียนนั้น จึงยิ้มขึ้นมาพร้อมกล่าวอธิบายออก
“ทะเลเบื้องหน้าของพวกเราคือ ทะเลสาบมายา ในการเดินทางข้ามผ่านทะเลสาบมายาเราจะไม่มีพื้นดินให้หยุดพักพวกเราต้องเดินทางทั้งวันทั้งคืน
ด้วยเหตุนี้กลุ่มของผู้ที่อยู่ในแดนองครักษ์ขั้นปลายจึงต้องหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปถ่ายพลังลมปราณให้แก่หมาป่าปีกดำ
ในช่วงนี้เจ้าอาจจะลำบากเล็กน้อยเพราะพี่ใหญ่หลานนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มองครักษ์ขั้นปลาย
เขาจะไม่อยู่ในขบวนคาราวานที่3ตลอดการเดินทางในทะเลสาบมายา ส่วนเรื่องน้อยใหญ่ของกลุ่มนั้นเหลียวเหยียนเป็นคนดูแล”
“พี่ชายหลี่อย่าได้ใส่ใจ ตัวข้านั้นไม่สนใจในคำพูดผายลมของเหลียวเหยียนอยู่แล้ว”
“ฮ่าๆ เช่นนั้นดีแล้ว ถึงแม้ว่าเหลียวเหยียนนั้นจะมีจิตใจคับแคบแต่เขานั้นจงรักภักดีต่อกลุ่มเราเป็นอย่างมาก”
หลี่เฟิงยังคงกล่าวต่อ “น้องชายหนิง ทะเลสาบมายานั้นไม่ได้มีอันตรายอันใดมากนักเพียงแต่พื้นที่ข้างหน้าถัดจากทะเลสาบมายาที่เรากำลังจะไปนั้นเจ้าต้องระวังให้มาก”
“หุบเขาหมื่นอสูรมันเป็นสถานที่ใดกัน?”หนิงเทียนถามออกอย่างสงสัย ตัวมันนั้นรู้สึกคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูกว่าเคยได้ยินชื่อหุบเขาหมื่นอสูรมาจากไหน
“ในพื้นที่รอบนอกของหุบเขาหมื่นอสูร เราอาจจะต้องปะทะกับสัตว์อสูรลมปราณขั้นที่2แต่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไร”
หลี่เฟิงหยุดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “ตามตำนานของทวีปฟ้าสวรรค์ เล่าขานต่อๆกันมาว่า หุบเขาหมื่นอสูรเป็นที่อยู่อาศัยของมังกรพิษฟ้าคราม สัตว์อสูรเชื้อสายปีศาจ
ความแข็งแกร่งของมันนั้นเหนือกว่าที่พวกเราจะจิตนาการได้ พวกเราได้แต่ภาวนาอย่าให้ต้องพบกับมันเลย” หลี่เฟิงเล่าออกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
หนิงเทียนได้แต่พยักหน้ารับฟัง การสนทนาของพวกมันผ่านไปเกือบค่อนวัน เวลานี้ไม่มีพื้นดินปรากฏให้เห็นอีกต่อไปมันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า พวกมันทั้งหมดได้ก้าวเข้าสู่ทะเลสาบมายาแล้ว
ภายในวันแรกนั้นกลุ่มคาราวานของพวกมันถูกจู่โจมด้วย ปลาปีกนกอสูรลมปราณขั้นที่1 นับสิบตัว
แต่ก็เป็นซินเฉาที่แสดงฝีมือกำจัดพวกมันทั้งหมด ประกายแสงสีขาวแห่งฉางผิงเรียกเสียงชื่นชมจากกลุ่มนักเดินทางได้ไม่น้อย
แม้ว่าในวันต่อๆมาการเดินทางในทะเลสาบมายาจะมีสัตว์อสูรออกมาโจมตีบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่นับว่ามีอันตรายใดๆที่ส่งผลถึงขบวนคาราวาน มันจึงเป็นการเดินทางที่ราบรื่นสำหรับกลุ่มคนที่ไม่ได้มีหน้าที่คุ้มกันภัย
ในเวลานี้หนิงเทียนกำลังทำสมาธิเพื่อกำหนดลมปราณของมันอยู่คนเดียวนั้น จู่ๆก็เกิดเสียงอึกทึกคึกโครมขึ้นมา เสียงของทะเลเวลานี้เกรี้ยวกราดอย่างมาก เมื่อได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนรีบเข้ามารวมกลุ่มกับหลี่เฟิงโดยเร็ว
เพียงชั่วครู่เสียงที่ดังกึกก้องกลับเงียบสงบลง ท้องทะเลรอบๆหยุดนิ่งราวกับพวกมันถูกกาลเวลาแช่แข็งไว้ ก่อนที่จะเกิดคลื่นลมสูงเทียมฟ้า พายุหมุนก่อเกิดอย่างบ้าคลั่ง
“มันคืออะไร”หนิงเทียนถามอย่างสงสัย
“ลมหายใจของราชามังกร”หลี่เฟิงกล่าวตอบเวลานี้ใบหน้าของมันตึงเครียดคิ้วของมันขมวดมัดกันเมื่อมองไปยังพายุหมุนตรงหน้า
ด้านหน้าและหลังของขบวน มีคลื่นน้ำหมุนขนาดใหญ่ปรากฏขนาบไว้ทั้งสองข้างภายในพายุหมุนนั้นมันสูบน้ำจากทะเลขึ้นมาจนกลายเป็นน้ำวนขนาดยักษ์
ด้วยแรงดึงดูดอันมหาศาลของน้ำวนยักษ์ส่งผลให้หมาป่าปีกดำที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศค่อยๆไถลเข้าสู่ใจกลางน้ำวน
หมาป่าปีกดำพยามขยับปีกทั้งสองข้างอย่างยากลำบากมันคำรามก้องด้วยเกรียติของสัตว์อสูรลมปราณขั้นที่1 แต่สุดท้ายแล้วพละกำลังของหมาป่าปีกดำไม่สามารถทานแรงดูดของพายุน้ำวนได้
พายุน้ำวนที่สูงเสียดฟ้าราวกับว่ามันเกิดจากลมหายใจของใครสักคนที่พัดผ่านไปยังท้องทะเล ไม่แปลกที่มันจะถูกเรียกว่า ลมหายใจของราชามังกร
คลื่นลูกใหญ่กำลังจะเข้ากระแทกกับขบวนคาราวานด้านหน้า ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างของเกาซุนและผู้คุ้มกันในแดนปราชญ์นับ10คนทะยานเข้าโรมรันกับภัยธรรมชาตินี้
ดวงตาของเกาซุนหรี่ลงเล็กน้อย ด้วยพลังธาตุลมของมัน ยิ่งใช้มากยิ่งเป็นการส่งเสริมให้พายุน้ำวนหมุนรุนแรงเพิ่มขึ้น มันจึงเพียงใช้ออกโดยปราณเบญจมาศม่วงเท่านั้น
ส่วนผู้คุ้มกันแดนปราชญ์ที่มีธาตุไฟรวมถึงกลุ่มคนแดนองครักษ์ที่ฝึกฝนทักษะบ่มเพาะเกี่ยวกับไฟ ต่างใช้ออกด้วยไฟหมายที่จะละลายกระแสน้ำที่หมุนวนให้กลายเป็นไอ
ในกลุ่มขบวนด้านหน้าของผู้พิทักษ์แดนฟ้าเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนระดับสูงมากมาย พวกมันยังรับมือพายุน้ำวนอย่างเต็มกลืน แล้วนับประสาอะไรกับกลุ่มคุ้มภัยหลานที่มีแต่ผู้ฝึกตนในดินแดนองครักษ์ขั้นกลางเท่านั้น
เวลานี้กลุ่มคุ้มภัยหลานทั้งหมดกำลังเผชิญหน้ากับลมหายใจของราชามังกรจากด้านท้ายของขบวนพวกมันได้แต่พึ่งพากำลังของตนเองเท่านั้น
สถานการณ์ของขบวนคาราวานที่3อยู่ในช่วงวิกฤติแม้แต่เกาซุนที่มองไปยังจนใจที่จะช่วยเหลือได้
มันทำได้เพียงส่งเสียงเรียกกลุ่มของซินเฉาให้ช่วยประสานรับมือพายุน้ำวนในด้านหลังเท่านั้น
ถึงแม้เกาซุนจะสั่งออกเช่นนั้น แต่พวกมันกับไม่ได้รับการช่วยเหลือจากสำนักคุ้มภัยไป๋หลงเลย
ซินเฉาเพียงแต่อ้างถึงการรับมือกระแสน้ำวนขนาดเล็กที่ขนาบอยู่ด้านข้างขบวนคาราวานที่2เท่านั้น
บริเวณที่คลื่นขนาดใหญ่จนสูงเทียมฟากฟ้ากำลังพัดมา ทางรอดของพวกมันมีเพียงแต่ต้องหยุดกระแสน้ำนี้ให้ได้ ..
ใบหน้าของเหลียวเหยียนนั้นปกคลุมไปด้วยหยาดเหงื่อ เวลานี้ปราศจากเงาของหลานเหลียงจึงเป็นหน้าที่ของมันในฐานะรักษาการแทน ที่จะต้องนำพาทุกชีวิตให้รอดไปให้ได้
สีหน้าของหลี่เฟิงเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเหลียวเหยียนเลยแม้แต่น้อย เดิมพวกมันนั้นคิดว่าทะเลสาบมายานั้นมีแต่สัตว์อสูรในน้ำที่เป็นอันตราย แต่พวกมันนั้นลืมคิดถึงพายุที่เกิดจากธรรมชาติไปเลย
แม้จะอยู่ในช่วงเวลาคับขันถึงขีดสุดแต่หลี่เฟิงและเหลียวเหยียนทั้งสองยังคงก้าวออกมายืนนำกลุ่มคนตระกูลหลาน
พวกมันทั้งสองส่งพลังปราณทั้งหมดของพวกมันเข้าปะทะกลับคลื่นน้ำวน
เมื่อกลุ่มคุ้มภัยหลานเห็นผู้นำทั้งสองคนทำเช่นนั้นพวกมันก็เริ่มที่จะทำตาม
กลุ่มพลังในระดับแดนองครักษ์นับสิบคนเข้ายื้อยุดคลื่นน้ำวนอย่าสุดชีวิต แต่พวกมันทำได้เพียงแค่ชะลอความเร็วของคลื่นลมเท่านั้น
เวลานี้ละอองน้ำที่ซาดกระจายมันปิดบังทัศนียภาพของผู้คนให้เห็นอย่างคลุมเครือ หนิงเทียนมองไปที่เหตุการณ์ข้างหน้า พร้อมระบายลมหายใจออกมา
"ถ้าข้าไม่ลงมือเองละก็ ขบวนคาราวานที่3ต้องจมหายไปยังก้นทะเลลึกอย่างแน่นอน แล้วตัวข้าคงหนีไม่พ้นเป็นปลาที่ติดร่างแหตามไปด้วย"
ในขณะเดียวกัน หลี่เฟิงที่ยืนอยู่ท่ามกลางละอองน้ำที่สาดกระเซ็นนั้นมันหันซ้ายหันขวาอย่างรุกรนเพื่อที่จะหาร่างของหนิงเทียน
อย่างน้อยที่สุดถ้ามันต้องสละขบวนคาราวานนี้ทิ้งไปมันจะต้องช่วยหนิงเทียนออกไปด้วยให้ได้
หลี่เฟิงกวาดสายตาอย่างรวดเร็ว มันมองเห็นแผ่นหลังของหนิงเทียนจากไกลๆ
มันรีบเคลื่อนตัวออกอย่างไม่หวั่นเกรงต่อกระแสน้ำคลั่งที่กำลังถาโถมเข้ามา แต่จู่ๆหนิงเทียนเกิดแสดงท่าทีประหลาดออกมา
ในสายตาของหลี่เฟิงมันเห็นเหมือนกับว่า หนิงเทียนกำลังกระโดดลงไปกลางคลื่นทะเลที่โหมกระหน่ำ หมายจะปลิดชีวิตตัวเองอย่างสิ้นหวัง
ไม่ทันการณ์!!! หลี่เฟิงได้แต่คำรามออกมามันนั้นมันทำได้แต่โทษในความอ่อนแอของตัวเอง