ตอนที่ 41 เดินเล่นยามวิกาล
ในท้องฟ้ายามค่ำคืน ปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆสีดำเข้ม แสงดาวที่ประดับอยู่บนท้องฟ้า ส่องแสงริบหรี่ แสงจันทร์ถูกกลุ่มเมฆขนาดใหญ่บัดบัง จนไร้ซึ่งแสงจากท้องฟ้า
คืนนี้นับว่าเหมาะสมแก่การลงมือที่สุด ท่ามกลางความมืด กลุ่มหมอกสีดำพุ่งผ่านราวภูตผี
เมื่อผ่านไปยังที่ใดกองไฟในบริเวณใกล้เคียงที่สว่างโชติช่วงกลับวูบดับลงอย่างน่าประหลาดใจ
ความเร็วของหนิงเทียนประดุจสายฟ้าพาดผ่าน ร่างกายของมันเลือนรางคล้ายกับไม่มี
เพียงชั่วพริบตาเดียว เงาหมอกสีดำดุจสีของน้ำหมึกเคลื่อนตัวไปยังส่วนในของขบวนคาราวานที่3 ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้เป็นเขตที่พักของกลุ่มคุ้มภัยตระกูลหลาน
หนิงเทียนเคลื่อนตัวผ่านผู้คุ้มกันนับสิบที่หลานเหลียงวางไวอย่างง่ายดาย
ระดับพลังระหว่างกลุ่มคุ้มภัยหลานกับหนิงเทียนนั้นแตกต่างกันมากเกินไป
แม้ว่าพวกมันจะระมัดระวังมากเพียงใดก็ตาม มันก็ไม่สามารถล่วงรู้ถึงการมาเยือนครั้งนี้ของหนิงเทียนได้เลย
เวลานี้หนิงเทียนยืนอยู่หน้ากระโจมของหลานเหลียง มันใช้นิ้วมือของมันเจาะไปที่กระโจมจนเกิดรูเท่าขนาดดวงตา
มันมองไปยังภายใน ปรากฎภาพหลานเหลียงที่กำลังนั่งซึบซับแกนแท้อสูรลมปราณขั้นที่3 อยู่บนเตียง
หนิงเทียนหยิบโอสถเก้านิทราออกมาจากแหวนมิติ มันพลันส่งปราณบริสุทธิ์เข้าไปในพิษเก้านิทราอยู่ชั่วครู่ หมายจะเจือจางความเป็นพิษของมันลงให้มากที่สุด
มันต้องการให้แดนองครักษ์อย่างหลานเหลียงหลับลงเพียง3เค่อเท่านั้น เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการหนิงเทียนปล่อยพิษเก้านิทราไปกับสายลม
ใช้เวลาเพียงสามลมหายใจเท่านั้น หลานเหลียงที่กำลังนั่งปิดตาทำสมาธิอยู่นั้น ทิ้งร่างลงไปกับพื้นเตียงทันที
ขณะเดียวภูตร่างเล็กปีกสีทองปรากฏตัวขึ้น สองมือของมันโอบอุ้มกล่องเหล็กสีดำขนาดใหญ่กว่าตัวของมันขึ้นมา พร้อมหันไปทางหนิงเทียน
“มนุษย์ตัวเหม็นพวกนี้กล้าเรียกตัวเองว่ากลุ่มกันภัยได้อย่างไร” ราชาภูตกล่าวอย่างขบขันเมื่อได้ยินเสียงโกนดังออกมาจากร่างของหลานเหลียง
“ไปกันเถอะ....อย่าได้เสียเวลาอยู่ พวกเรามีเวลาไม่ถึง3เค่อก่อนที่มันจะตื่นขึ้นมา” หนิงเทียนกล่าวอย่างรวดเร็ว พร้อมทะยานร่างออกไปทันที
กลุ่มหมอกสีดำลอยผ่านขบวนคาราวานที่2อย่างรวดเร็ว ไม่มีแม้แต่ผู้เดียวในกลุ่มสำนักกันภัยไป๋หลงที่จะสังเกตถึงความผิดปกตินี้
ใช้เวลาเพียงไม่นาน หนิงเทียนข้ามผ่านกลุ่มของซินเฉามาอย่างง่ายดาย บัดนี้มันได้ก้าวเข้ามายังขบวนคาราวานของเกาซุนแล้ว
การรักษาการณ์ของกลุ่มนี้ เข้มงวดกว่าทั้งสองขบวนที่ผ่านมาราวฟ้ากับเหว
หนิงเทียนหรี่ตาแคบลงทันทีแค่เพียงกลุ่มผู้คุ้มกันที่เดินตรวจตราอยู่นั้น พวกมันมีระดับพลังอยู่ในแดนองครักษ์ขั้นปลายกันทั้งหมด
ไม่แปลกใจเลยเหตุใดกลุ่มนักเดินทางถึงเชื่อมั่นในตัวของผู้พิทักษ์แดนฟ้าเกาซุนผู้นี้ ถึงขนาดรู้ว่าเป็นการเดินทางที่อันตรายแต่ก็ยังไม่วายที่จะเข้าร่วมเดินทางอย่างไม่แยใสสิ่งใดๆ
“เห็นทีว่าเกาซุนผู้นี้จะไม่ได้มีดีแต่ชื่อ” หนิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชมออกมาแต่อย่างไรก็ตามหนิงเทียนมีความมั่นใจในภารกิจนี้อย่าเต็มเปี่ยม
หนิงเทียนมีสติและตื่นตัวอยู่เสมอมันพยามรีดสัญชาตญาณรับรู้ของมันออกมาเพื่อที่จะรู้สึกถึงอันตรายล่วงหน้าให้ได้
มันแฝงกายไปตามเงามืด แค่เพียงไม่กี่ช่วงต้นไม้ ก็พบกับผู้คุ้มกันในแดนแห่งปราชญ์ถึงสามคน พวกมันวางกำลังไว้แน่นหนา ยากที่จะเข้าไปตรงๆ
มันจึงกระโดดขึ้นอำพรางตัวอยู่บนยอดต้นไม้ พยามที่จะซ่อนตัวจากเวรยามลาดตระเวณที่เดินผ่านไปมา
อันที่จริงแล้วการที่ได้อยู่ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ มันทำให้หัวใจของหนิงเทียนเต้นรัว
สัญชาตญาณดิบที่ร้างลาไปนาน บัดนี้มันถูก ลับแหลมจนคมขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หนิงเทียนก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
มันหลบหลีกการตรวจจับของแดนแห่งปราชญ์ทั้งหลายได้อย่างไร้ที่ติ ใช้เวลาเพียงไม่นาน มันก็ได้เข้ามาหยุดอยู่หน้ากระโจมที่พักของเกาซุน
ทุกอย่างเงียบสงัดไม่มีคนเฝ้าอยู่หน้าประตูแม้แต่คนเดียวราวกับว่า หลังกระโจมนี้มีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดหมู่ของพวกมันอยู่ ไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องใช้ หมาป่าเฝ้าคุมกันราชสีห์
หนิงเทียนใช้นิ้วมือของมันเจาะรูกระโจมอย่างเงียบเฉียบ เพื่อที่จะมองไปยังด้านในของกระโจม
ในขณะนั้นเกาซุนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ มันมีแสงเล็กๆจากเปลวเทียนตั้งอยู่บนโต๊ะ สองมือของมันลูบไล้ไปกับกล่องสีดำขนาดเล็กอย่างทะนุทนอม
ทันใดนั้นเอง สุ่มเสียงที่เย็นชาดังก้องประดุจอสรพิษมันช่างแตกต่างจากเกาซุนในยามปกติมากมายนัก
“โจรชั่วตัวไหน กล้าเข้ามาถึงที่นี้” เกาซุนกล่าวออกพร้อมกับสะบัดมือปราณสีม่วงพุ่งตรงไปยังร่างสีดำของหนิงเทียนที่อยู่ภายนอกกระโจม
เวลานี้หนิงเทียนจงใจเร่งพลังฝึกตนเต็มที่ กลิ่นอายของมันกลับกลายมาเป็นผู้ฝึกตนแดนองครักษ์ขั้นสุดท้ายดังเดิม
มันจะเป็นการดีกว่าที่จะเปิดเผยพลังที่แท้จริงเพื่อปกปิดตัวตนของหนิงเทียนที่อยู่ในแดนมนุษย์ให้พ้นจากความสงสัย
หนิงเทียนวาดมืดขึ้นหนึ่งครั้ง กระแสปราณสีครามพุ่งเข้าปะทะลมปราณสีม่วง ส่งผลให้ลมปราณเบญจมาศม่วงของเกาซุนถูกแช่แข็งกลางอากาศราวปาฎิหาริย์
เมื่อเห็นเช่นนั้นคิ้วของเกาซุนขมวดเข้าหากันทันที “ดินแดนองครักษ์” มันพลันเก็บของสำคัญลงในลิ้นชักเหล็กอย่างมิดชิดพร้อมทะยานร่างออกมา
เงาร่างทั้งสองยืนประจันหน้ากันอย่างไม่ไหวติงใดๆ เมฆหมอกที่บดบังแสงจันทร์นั้นคลายตัวลง ทำให้เวลานี้พวกมันทั้งคู่มองเห็นกันและกันได้อย่างชัดเจน
เกาซุนนั้นจับจ้องมองไปยังโจรในชุดดำด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร ส่วนหนิงเทียนแย้มยิ้มอย่างเย็นชาให้แก่ผู้พิทักษ์แดนฟ้าที่ยืนตรงหน้ามัน ทั้งสองจับจ้องซึ่งกันโดยไม่เปล่งวาจาใดออกมาเลย
มันใช้เวลาพิจารณากันและกันอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่น้ำเสียงของผู้พิทักษ์แดนฟ้าจะดังขึ้น
“โจรชั่ว เจ้าก้าวล่วงเข้ามาในสถานที่ต้องห้ามของข้า ถ้าเจ้าต้องการออกไปนั้นจงทิ้งร่างไว้ มีเพียงแต่วิญญาณเท่านั้น ที่ข้าจะอนุญาติให้จากไปได้”
คำพูดของเกาซุนคล้ายคำตัดสินจากฟ้า ด้วยระดับปราชญ์ขั้นปลายของมัน ถ้ามันต้องการให้ผู้ฝึกตนในแดนองครักษ์คนใดตาย มันผู้นั้นไม่มีสิทธิ์รอด
หนิงเทียนหัวเราะอย่างขบขันทว่าสายตาของมันเล็กแหลมลงดุจคมกระบี่บุคลิกของมันนั้นแตกต่างจากปกติโดยสิ้นเชิง
“ใต้พื้นฟ้านี้ไม่มีที่ใด ที่ข้าไม่สามารถเหยียบได้”
“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”เสียงเหี้ยมเกรียมไร้ความรู้สึกของเกาซุนดังก้อง
น้ำเสียงของ มันบ่งบอกถึงความมั่นใจอย่างยิ่ง การที่มันได้ชื่อว่าเป็นผู้พิทักษ์แดนฟ้านั้นไม่ได้มาจากการจับฉลากแต่อย่างใด
แม้ว่าตอนนี้ระดับพลังของมันจะต่ำสุดในหมู่สามผู้พิทักษ์แต่ด้วยอายุของมันนั้น อีกไม่นาน มันจะต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของเหลาผู้พิทักษ์ได้ในเวลาไม่ช้า
นี้เป็นเหตุที่ทำให้เกาซุนมีความมั่นใจได้เช่นนี้
ริมฝีปากภายใต้ผ้าคลุมสีดำของหนิงเทียนยกยิ้มขึ้น ในขณะที่ดวงตาของมันทอประกายดุร้าย
“เป็นเจ้าต่างหากที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ วันนี้เจ้าจะได้รู้ว่าฉายาผู้พิทักษ์แดนฟ้านั้นเป็นเพียงคำกล่าวอ้างที่เกินจริง ตัวตนเช่นพวกเจ้าไม่ต่างอะไรกับเม็ดทรายบนพื้นดิน”
“สารเลว!!!” แววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของเกาซุนปกคลุมไปรอบบริเวณ โทสะของมันถูกยั่วยุโดยหนิงเทียน ท่าทีของมันบังเกิดเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน
กล่าวจบเกาซุนพลันส่งพลังปราณออกไปโจมตีหนิงเทียน มันเพียงรวมปลายนิ้วชีและกลางเข้าติดกัน วาดออกเป็นแนวนอน
ปรากฏลมกรรโชกโหมกระหน่ำขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน
เกาซุนนั้นเมื่อเข้าสู่แดนแห่งปราชญ์มันได้หลอมรวมธาตุลมเข้าสู่ร่างของมันด้วยลมปราณเบญจมาศม่วงของตระกูลเจ้าบวกกับพลังธาตุลมของมัน
ส่งเสริมเกื้อหนุนประดุจดอกเบญจมาศที่พลิ้วไหวตามแรงลม มันมีทั้งความอ่อนช้อยและแข็งกร้าวในเวลาเดียวกัน
เกาซุนที่ถูกหนิงเทียนยั่วยุโทสะ มันตัดสินใจใช้ออกด้วยพลังเต็มสิบส่วนหมายจะปลิดชีพโจรชั่วที่ดูถูกฉายาพิทักษ์แดนฟ้าของมัน การโจมตีของมันแม้จะสวยงามแต่เต็มไปด้วยความอำมหิต
หนิงเทียน ไม่ได้แตกตื่นกับพลังตรงหน้ามัน ดวงตาของมันหรี่เล็กลงคล้ายกำลังพิจารณากระบวนท่าของอีกฝ่ายอยู่ มุมปากของมันยิ้มออกอย่างชั่วร้าย พลังปราณสีครามปกคลุมทั่วร่างกายของมัน
วี๊ดดดด เสียงของสายลมที่พุ่งผ่านตัดอากาศ ใกล้เข้ามา ถ้าเวลานี้หนิงเทียนมิได้ใช้ปราณปกคลุมร่างไว้ มันจะต้องกระเด็นไปกับลมพายุที่ถาโถมเข้ามาเป็นแน่
ขณะเดียวกันหนิงเทียนคว่ำฝ่ามือขวาของมันลงปรากฏกระบี่ที่สร้างขึ้นจากน้ำแข็งสีคราม มันเพียงวาดกระบี่หนึ่งครั้ง รังสีกระบี่สีครามเข้าปะทะกับสายลมสีม่วง ส่งผลให้สายลมสีม่วงสลายไปกลางอากาศทันที
ไม่เพียงเท่านั้น รังสีกระบี่ของหนิงเทียนยังคงพุ่งผ่านไปยังเกาซุนโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
ดวงตาของเกาซุนส่อแววประหลาดใจก่อนจะใช้ฝ่ามือจับกุมไปยังรังสีกระบี่สีคราม ชั่ววูบหนึ่งความเย็นแผ่ซ่านเข้าสู่สองมือก่อนที่มันจะหายไป
เวลานี้คิ้วทั้งสองข้างของมันขมวดจนแทบจะติดเป็นสายเดียวกันแล้ว
มันไม่คาดคิดว่า หัวขโมยที่มีพลังเพียงแดนองครักษ์จะสามารถหยุดกระบวนท่าโจมตีของมันได้ ไม่เท่านั้นรังสีกระบี่สีครามยังข่มพลังของมันอยู่นิดๆด้วยซ้ำ
“ถ้าเจ้าไม่อยากตายสบายๆ ก็อย่าโทษข้าที่ทำให้ร่างกายของเจ้าแหลกเหลว” สิ้นเสียงของเกาซุน
สายลมที่แหลมคมนับสิบสายปรากฎอยู่ด้านหลังของเกาซุน มันส่งเข้าโจมตีหนิงเทียนอย่างต่อเนือง เมื่อสายแรกพุ่งออกไป สายลมใหม่จะก่อตัวขึ้นแทนเสมอ
ถึงแม้จะเป็นหนิงเทียน มันก็ไม่สามารถรับทั้งหมดได้ มีบางส่วนถูกปัดป้องด้วยกระบี่น้ำแข็งและมีอีกหลายส่วนที่เข้าปะทะกับร่างกายของมัน
หนิงเทียนพลันเร่งพลังใช้ออกด้วยกายาเทพอสูรเพื่อลดอาการบาดเจ็บลง
“นับว่าข้าประเมินตัวเองสูงเกินไป อีกไม่นานข้าจะกลับมาแก้แค้นเจ้าแน่ ล้างคอรอกระบี่ของข้าได้เลย” กล่าวจบหนิงเทียนพ่นเลือดสดๆลงพื้น
พร้อมทั้งหันร่างออกพุ่งทะยานด้วยเก้าวิญญาณท่องนภาออกไปจากกระโจมของเกาซุนอย่างรวดเร็ว
เกาซุนเข้าใจความหมายนั้นดี ดินแดนองครักษ์ที่ปะทะกับแดนแห่งปราชญ์ได้โดยไม่ตกตาย ทั้งยังสามารถรับพลังได้อยู่หลายส่วน
ถ้าพวกมันไม่ใช่อัจฉริยะในการต่อสู้ก็ต้องเป็นพวกที่มีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งเป็นแน่ คิดออกเช่นนั้นมันจึงเค้นเสียงอย่างเย็นชา
“ถ้าข้าปล่อยเมล็ดพันธุ์ที่ชั่วร้ายให้เจริญเติบโต ข้าจะไม่กลายเป็นพวกโง่เง่าเบาปัญญาหรืออย่างไร”กล่าวจบลมกรรโชกสีม่วงแปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นมีดนับร้อยพุ่งเข้าใส่แผ่นหลังของหนิงเทียนอย่างบ้าคลั่ง
ทว่าด้วยเก้าวิญญาณท่องนภาที่หนิงเทียนใช้ออกนั้น ไม่ใช่ความเร็วที่เกาซุนจะใช้เพียงแค่พลังโจมตีจากระยะไกลทำอันตรายได้
หนิงเทียนบิดตัวหลบคมมีดนับร้อยอย่างสง่างาม พร้อมกับหัวเราะออกอย่างบ้าคลั่ง
"ฮ่าฮ่าฮ่า" ด้วยเสียงหัวเราะเย้ยของหนิงเทียนคราวนี้ เกาซุนบังเกิดโทสะขึ้นมาจริงๆ มันกัดฟันด้วยความโกรธจนเกิดเสียงดัง
จากนั้นก็ขยับร่างไล่ตามหนิงเทียนไป เกาซุนพุ่งตามมาหมายจะจับกุมหัวขโมยตัวนี้ให้ได้ มันต้องการเห็นจริงๆว่าภายใต้หน้ากากสีดำนี้จะเป็นใบหน้าแบบไหนกันที่ทำให้มันมีโทสะได้ถึงเพียงนี้
เวลาผ่านไปชั่วครู่ ยิ่งไล่ตามเพียงใด ระยะห่างของพวกมันทั้งสองก็ไม่ได้ลดลงเลย มันยิ่งไล่ตามยิ่งเกิดโทสะ
ในระหว่างที่ไล่ตาม เสียงหัวเราะอันน่าเกลียดของหนิงเทียนก็ดังขึ้นตลอดเวลา
ยิ่งได้ฟังเช่นนั้นความโกรธเกรี้ยวยิ่งมากขึ้น เกาซุนรู้สึกเสียหน้าอย่างมากด้วยพลังที่ต่างกันถึงหนึ่งดินแดนแต่มันไม่สามารถจับหัวขโมยได้
มันสาบานอย่างโกรธแค้นไม่ว่ายังไงมันต้องกระชากหน้ากากของหัวขโมยตัวนี้ออกมาให้ได้
เวลานี้เกาซุนลืมไปแล้วว่ามันนั้นเป็นผู้นำขบวนคาราวานที่มีหน้าที่ปกป้องดูแลสินค้า มันไม่ได้อยู่ในฐานะผู้พิทักษ์แดนฟ้าที่คอยตามจับพวกชั่วร้ายในเมืองฉางผิงเหมือนเช่นเคย