ตอนที่ 40 โยนกระเบื้องล่อหยก
“น้องชายหนิง เจ้าหมายความว่าอย่างไร”เกาซุนกล่าวถามอย่างรวดเร็วในขณะเดียวกันคิ้วทั้งสองข้างของมันขมวดเข้าหากัน
“ข้าพูดไม่ชัดเจน หรือท่านได้ยินไม่ถนัด?”คราวนี้หนิงเทียนกล่าวออกเสียงดัง “ข้าหมายความว่า ให้ท่านลืมเรื่องที่กล่าวออกมาซะ”
“นี้เจ้า!!!”มุมปากของมันกระตุกถี่ๆทันทีที่ได้ยินคำพูดของหนิงเทียน เกาซุนลอบถอนหายใจอยู่เฮือกหนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา
“เนื่องจากเจ้าเป็นหลานของท่านซาง ข้าจะขอเตือนด้วยความหวังดี ตระกูลจ้าวนั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะไปยั่วยุได้” น้ำเสียงของเกาซุนเย็นเยียบลงทันใด
หนิงเทียนกล่าวตอบอย่างไม่แยแสใดๆ “มันเป็นเรื่องระหว่างข้ากับจ้าวหยาง ข้าไม่ได้มีความคิดจะไปยั่วยุตระกูลจ้าวแต่อย่างใด
กลับกันถ้าตระกูลจ้าวต้องการหาเรื่องกับข้าละก็ ข้าจะลบมันให้หายไปจากเมืองฉางผิง” น้ำเสียงของหนิงเทียนเป็นปกติที่สุด
เมื่อเกาซุนได้ยินเช่นนั้น ขนในกายของมันลุกขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ด้วยพลังฝึกตนในแดนแห่งปราชญ์ขั้นปลายของมันกลับบังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวในน้ำเสียงของเด็กหนุ่มในแดนมนุษย์
มันจับจ้องไปยังใบหน้าที่เรียบเฉยของหนิงเทียนอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน พร้อมกล่าวออก “ถ้าเช่นนั้น ก็ขอให้น้องชายหนิงคิดเสียว่าไม่เคยได้พบข้าในวันนี้”กล่าวจบเกาซุนมันเดินจากไปทันที
ในกลางดึกที่เงียบสงบ เกาซุนกำลังเดินกลับขบวนของมันอย่างช้าๆ ดวงตาของมันเหม่อมองราบกับว่ากำลังครุ่นคิดเรื่องที่สำคัญอยู่
จู่ๆเสียงที่ทุ้มต่ำแฝงด้วยความอบอุ่นดังขึ้นข้างๆกายของมัน “ท่านเกา การเจราจาไม่สำเร็จ”
“อืมม์ เจ้าเด็กที่ชื่อหนิงเทียนนั้นดูเหมือนจะมีความลับอะไรอยู่ สีหน้าของมันไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ยามที่ข้าพูดถึงสกุลจ้าว”
เกาซุนยังกล่าวคำสั่งแก่ชายที่อยู่ด้านข้างมัน“ทำตามแผนการเดิมของเรา ถ้าเจ้าเด็กนั้นรอดมาได้ ข้าจะไม่เข้าไปสร้างความลำบากใดๆแก่มันอีก
ส่วนเรื่องของสัญญาเงินกู้ของจ้าวหยาง คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องภายในตระกูลจัดการ”กล่าวจบเกาซุนเดินเข้ากระโจมที่พักมันไม่ได้หันกลับมามองผู้คุ้มกันโจวที่สนทนากับมันเลยแม้แต่น้อย...
ในยามเช้าตรู่ หนิงเทียนก้าวออกมาจากที่พัก เวลานี้มันเห็นคนส่วนใหญ่ตื่นขึ้นมาหมดแล้ว ผู้คนมากมายเดินสวนกันอย่างเร่งรีบ
บ้างก็ทำงานของตนเองอย่างเคร่งคัด พวกมันตรวจสอบสินค้า ตระเตรียมอาหารเช้า รวมถึงการนับจำนวนของนักเดินทางในแต่ละขบวน
ไม่ไกลจากที่หนิงเทียนยืนอยู่นัก หลี่เฟิงกำลังยืนสั่งการกลุ่มคนของมันอย่างเป็นการเป็นงาน
เพียงชั่วครู่กลุ่มของหลานเหลียงและเหลียวเหยียนก็เข้ามาสมทบกันอย่างพร้อมเพียง
เมื่อทั้งสามรวมกลุ่มกันใบหน้าของพวกมันทั้งหมดปรากฎถึงความยินดีปรีดา ส่งผลให้ผู้คนรอบๆโห่ ร้องดีใจไปตามๆกัน
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้หนิงเทียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
จึงเดินเข้าไปกลางผู้คนที่ส่งเสียงดีใจ ใบหน้าของมันเผยให้เห็นรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรกับทุกคน จะมีข้อยกเว้นเพียงแต่เหลียวเหยียนคนเดียว
หนิงเทียนเดินผ่านหน้ามันไปอย่างไม่สนใจใดๆ มันถามกับหลี่เฟิงว่า “เหตุใดกลุ่มของพี่ชายถึงดีใจกัน มีเรื่องดีอะไรหรือ?”
“น้องชายหนิงเจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องที่จะเล่าให้เจ้าฟังอยู่พอดี”จนถึงตอนนี้น้ำเสียงของหลี่เฟิงยังไม่อาจข่มความตื่นเต้นลงได้ มันยังกล่าวอธิบายแก่หนิงเทียนต่อ
“เมื่อเช้านี้ ท่านเกาได้เรียกพี่ใหญ่หลานและซินเฉาเข้าไปหารือเรื่องสำคัญ และก็เป็นพี่ชายหลานของพวกเราที่สามารถทำให้ ท่านเกาไว้วางใจได้
ท่านจึงมอบสมบัติที่มีค่ามากที่สุดในขบวนคาราวานนี้ให้กลุ่มกันภัยตระกูลหลานเป็นผู้ดูแล”
ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของหนิงเทียนหรี่แคบลง มันพร้อมกล่าวต่อ “พี่ชายหลี่ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าของสิ่งนั้นคืออันใด”
“ในเรื่องนี้ ข้าเองก็พึ่งเห็นมันเมื่อเช้านี้ มันเป็นเพียงกล่องสี่เหลี่ยมสีดำขนาดเล็กเท่านั้น” หลี่เฟิงพยามอธิบายแก่หนิงเทียนอย่างกระตือรือร้น
ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนเปลี่ยนนิสัยเป็นอยากรู้อยากเห็นทันที มันรีบกล่าวอย่างเร่งรีบ
“พี่ชายหลี่ ข้าอยากเห็นของวิเศษเช่นนั้นสักครั้งได้หรือไม่”
หลี่เฟิงนั้นยินดีอย่างมากที่จะได้ทำตามความต้องการของหนิงเทียน มันรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่มันจะตอบแทนแก่หนิงเทียนได้
จากนั้นหลี่เฟิงได้เข้าไปขอร้องพี่ใหญ่หลานถึงสามครั้งและถึงแม้มันจะต้องปะทะคารมกับเหลียวเหยียนอยู่ทุกครั้ง แต่มันก็ได้ทำความต้องการของหนิงเทียนจนสำเร็จ
บัดนี้ภายในกระโจมที่พักของหลานเหลียงมันได้นำกล่องเหล็กสีดำสนิทออกมาปรากฏแก่สายตาของหนิงเทียน
เมื่อได้เห็นเช่นนั้นสายตาของหนิงเทียนเป็นประกายใสขึ้นมาทันที แม้แต่ราชาภูตที่นิ่งเงียบไร้จิตอยู่ภายในแขนเสื้อของหนิงเทียน
กลับแปรเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นทันที มันรีบมองผ่านแขนเสื้อของหนิงเทียนไปยังกล่องสีดำ พร้อมกล่าวออกแก่หนิงเทียน
“คุณชายนั้น คือกล่องเหล็กจงหลีของมารจันทรา”
แค่เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้นที่กล่องเหล็กปรากฏออก หลานเหลียงก็รีบเก็บมันลงไปทันที คล้ายกับว่ามันระแวงระวังของสิ่งนี้อยู่มากล้น
“พี่ใหญ่หลานเหตุใดท่านเกาจึงได้มอบของสำคัญเช่นนี้ให้กลุ่มคุ้มภัยหลานเป็นผู้ดูแล”หนิงเทียนถามออกอย่างสงสัย
เหลียวเหยียนกล่าวออกด้วยความถือดี
“จะเป็นเรื่องใดไปได้ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านเกาเห็นถึงความสามารถของพี่ใหญ่หลานมากกว่าบุรุษที่คล้ายสตรีอย่างซินเฉา”
ไม่บ่อยครั้งนักที่หลี่เฟิงจะหยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับเหลียวเหยียน
หนิงเทียนได้ยินเช่นนั้น มันนั้นครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่พักใหญ่ก่อนจะกล่าวขอบคุณหลานเหลียงและเดินจากไปทันที
ในระหว่างทางเสียงอันเล็กใสได้ดังขึ้นข้างๆหูของหนิงเทียน “คุณชายท่านไม่สนใจมัน?”ราชาภูตรีบกล่าวเตือนสตินายของมัน
หนิงเทียนไม่ได้ตอบคำถามใดๆ มันยังคงครุ่นคิดอย่างหนัก คิ้วทั้งสองข้างของมันขมวดเข้าหากันอย่างเผลอตัว
“คุณชายท่านกำลังคิดอะไรอยู่” ราชาภูตยังคงกล่าวซ้ำเป็นคำสอง
เวลานี้หนิงเทียนเหมือนจะคลายบางอย่างในใจออกได้ สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนไปทันที มันยิ้มขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
“อู๋ชาง เจ้าว่าเรื่องนี้มันแปลกหรือไม่” หนิงเทียนกล่าวถามไปยังสหายข้างกายมัน
“แปลก? เรื่องใดกันคุณชาย ราชาผู้นี้ไม่เข้าใจ?”
“เรื่องราวเช่นนี้มันไม่ถูกต้อง อู๋ชางเจ้าสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของมารจันทรา เช่นนั้นจงหาตำแหน่งของเศษเสี้ยวพลังมารจันทราให้แก่ข้า มีโอกาสไม่น้อยที่กล่องจงหลีในมือของหลานเหลียงจะเป็นของปลอม”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นราชาภูตปิดตาลงปล่อยกระแสลมปราณอบอุ่นหลอมรวมกับสรรพสิ่งโดยรอบ เมื่อเวลาผ่านไปอยู่ชั่วครู มันถึงกับอุทานออกมา “ของปลอม?”
"เป็นอย่างที่ข้าสงสัยจริงๆ ข้าคิดว่าเกาซุนคนนี้ต้องการจะโยนกระเบื้องล่อหยก"
“คุณชายที่ท่านกล่าวมามันคือเคล็ดวิชาทักษะใดกัน” ราชาภูตฟังหนิงเทียนกล่าวด้วยความงุนงง
“ข้าหมายความว่า มันจะใช้คาราวานที่3เป็นเหยื่อล่อให้กองโจรออกมา” หนิงเทียนมองไปยังราชาภูตพร้อมกับส่ายศีรษะ...
การเดินทางก็คงยังดำเนินต่อไป ในทุกๆวัน กิจประจำวันของทุกขบวนยังคงเป็นเหมือนวันแรกไม่มีเปลี่ยน
พวกเขาใช้เวลาเพียงเจ็ดวันในการข้ามผ่านหุบเขาผีเสื้อโดยปลอดภัย เวลานี้ความสัมพันธ์ระหว่างหนิงเทียนกับกลุ่มคุ้มภัยนั้นเติบโตและใกล้ชิดกันอย่างรวดเร็ว
พวกมันทำงานร่วมกันในยามเช้า ยามบ่ายจับกลุ่มสนทนา ส่วนในยามค่ำก็ตั้งวงร่ำสุราร้องรำกันอย่างสนุกสนาน
หนิงเทียนนั้นเริ่มที่จะทำตัวใกล้ชิดกับสมาชิกคนอื่นๆนอกจากเปาเปาและหลี่เฟิงมากขึ้น มีบางครั้งที่หนิงเทียนกอดคอร่ำสุรากับพวกมันอย่างสนุกสนาน
เวลาวนมาถึงช่วงดึกพวกมันก็เริ่มจัดเตรียมที่พักกันเหมือนทุกครั้ง
เวลาที่หนิงเทียนรู้สึกเบื่อๆ มันมักก็จะนั่งอยู่บนหินผา บ่มเพาพลังฝึกตนอยู่เงียบๆ
เวลานี้พลังปราณของมันมาถึงทางตัน จนไม่สามารถที่จะเพิ่มพูนทักษะให้มากขึ้นไปได้อีกแล้ว
เว้นเสียแต่ว่ามันจะตัดผ่านขอบเขตของแดนองครักษ์เข้าสู่ดินแดนแห่งปราชญ์ เมื่อนั้น มันจะสามารถชักนำธาตุตามใจนึกเข้าสู่ร่างกายมันได้หนึ่งธาตุ
ด้วยพรสวรรค์9แก่นแท้รวมถึงจุดลมปราณที่เปิดออกทั้งหมด54จุด มันนั้นไม่มีปัญหาเรื่องคอขวดในการทะลวงเข้าสู่แดนแห่งปราชญ์
เพียงแต่เวลานี้ที่มันยังไม่ยอมก้าวข้ามไป เป็นเพราะมันต้องการให้ลมปราณทั้งร่างของมันกลั่นออกกลายเป็นลมปราณบริสุทธิ์จนหมดเสียก่อน
คืนนี้เป็นอีกคืนที่หนิงเทียนพยามจ้องมองไปยังม้วนภาพเทพยุทธ์ภาพที่2 ภาพที่เลือนรางเริ่มปรากฏชัดขึ้นทีละน้อย
หนิงเทียนเห็นเช่นนั้นมันรู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างมาก มันค่อนข้างมั่นใจว่าตราบใดที่มันทะลวงสู่แดนแห่งปราชญ์แล้ว มันจะสามารถเพ่งพินิจม้วนภาพเทพยุทธ์ภาพที่2ได้สำเร็จแน่นอน
ในขณะที่หนิงเทียนนั่งทำสมาธิอยู่นั้น ได้ปรากฏเงาร่างเล็กๆ สยายปีกสีทองของมันออก พร้อมบินขึ้นเบื้องหน้าของหนิงเทียน
“คุณชายผ่านมาเจ็ดวันแล้ว ท่านยังคงนิ่งเฉยอยู่เช่นเดิม ราชาไม่รู้ว่าท่านกำลังคิดอันใดอยู่กันแน่”
“เจ้าหมายถึงเรื่องกล่องจงหลี”หนิงเทียนกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ราชาผู้นี้ไม่เข้าใจความคิดของท่านจริงๆ”
“เจ้าต้องการให้ข้าไปขโมยกล่องจงหลีของเกาซุน?”หนิงเทียนสังเกตท่าทีลุกลนของราชาภูตก่อนจะถามถึงความต้องการของมัน
“คุณชาย สมบัติในกล่องจงหลีนั้นมีค่าเทียบเท่ากับผนึกศิลาทองในร่างของท่าน เหตุใดท่านถึงไม่ได้ใส่ใจกับมันนัก”
หนิงเทียนมองไปยังมองฟ้าที่มืดมิด ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่กลุ่มเมฆฆาปกปิดดวงจันทราอย่างสมบูรณ์ “แน่นอนกล่องจงหลีข้าต้องการมัน แต่ข้าจะไม่ขโมย?”
“คุณชาย ท่านมีวิธีทำให้มนุษย์หน้าเหม็นนั้นมอบกล่องจงหลีให้พวกเรา”ราชาภูตถามออกอย่างไม่แน่ใจนัก
“เห๊อะ ถ้าเจ้ามีทักษะวิชาสะกดจิตอะไรพวกนี้สอนข้า เรื่องที่เจ้ากล่าวมาเมื่อครู่ข้าอาจจะทำให้ได้”
“คุณชาย อย่าได้กล่าววาจาวกไปวนมาอยู่เลย ท่านมีแผนอย่างไรกันแน่”ราชาภูตกล่าวอย่างเร่งรีบ
“ข้ามีความคิดดีๆที่จะทำให้เกาซุนยอมทิ้งกล่องจงหลีด้วยตัวเอง ในเมื่อมันต้องการใช้กระเบื้องล่อหยก งั้นพวกเราจะทำการสับหยกเปลี่ยนกระเบื้อง”
“คุณชายท่านหมายถึง?”
“พวกเราต้องขโมยกล่องจงหลีปลอมจากหลานเหลียงออกมาแล้วสับเปลี่ยนกล่องจงหลีปลอมให้แก่เกาซุนไป
มีแต่เพียงวิธีนี้ พวกเราจะได้ทั้งกล่องจงหลี และยังไม่สร้างความวุ่นวายให้เกิดภายในขบวนคาราวานนี้ด้วย” หนิงเทียนอธิบายวิธีการแก่สหายตัวน้อยของมัน
“คุณชาย แผนการของท่านนั้นช่างกลิ้งกลอกเลวทรามอย่างยิ่ง ราชาผู้นี้ขอนับถือจริงๆ”ราชาภูตแสดงกิริยาด้วยความเคารพต่อผู้เป็นนายแต่ทว่าคำพูดของมันกลับทำให้ มุมปากของหนิงเทียนกระตุกขึ้น
“คุณชายท่านเป็นอะไรไปหรือราชาผู้นี้พูดสิ่งใดผิดไป แต่ช่างเถอะคุณชายจะขโมยของทั้งสองสิ่งในเวลาเดียวกันได้อย่างไร”
หนิงเทียนได้แต่ส่ายศีรษะ มันนั้นอยู่คลุกคลีกับอู๋ชางมาสักระยะแล้ว มันรู้ถึงนิสัยของภูตตัวนี้เป็นอย่างดี จึงหาได้สนใจคำกล่าวผายลมไม่
หนิงเทียนทำเป็นไม่ใส่ใจ พร้อมกล่าวอธิบาย“ในเจ็ดวันมานี้ ข้านั้นเฝ้าสังเกตถึงพฤติกรรมของหลานเหลียงอยู่ตลอด
ตลอดเจ็ดวันนี้ทุกค่ำคืนมันจะทำการดูดซับพลังของแก่นอสูรขั้นที่3 อยู่เพียงคนเดียวภายในกระโจม
เมื่อพวกเราลงมือ พวกเราจะมีเวลา1เค่อในการขโมยกล่องจงหลีปลอมจากหลานเหลียงและ2เค่อในการบุกกระโจมของเกาซุน พวกเราต้องทำสองสิ่งภายในระยะเวลา3เค่อเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแผนของพวกเราจะแตกทันที”
“เป็นแผนการที่ดี คุณชายพวกเราจะลงมือกันตอนไหน”
“ถ้าไม่ลงมือวันนี้ข้าจะเสียเวลามาอธิบายแผนการให้เจ้าฟังเพื่ออะไร....อีกทั้งในคืนที่มืดมิดเช่นนี้การลงมือวันนี้จึงย่อมเหมาะสมที่สุด”
“ได้ตามที่ คุณชายสั่ง” เวลานี้ท่าทางของราชาภูตนั้นแสดงความต้องการออกมาอย่างชัดเจน มันลุกลี้ลุกลนราวกับได้เวลาที่มันจะไปเล่นสนุก
ในสายตาของหนิงเทียนนั้น กระโจมของหลานเหลียงไม่นับว่าเป็นสิ่งใด แม้ว่ากลุ่มคุ้มภัยตระกูลหลานจะระวังตัวอย่างมาก็ตามที
เพราะถึงอย่างไรหนิงเทียนก็ไม่ได้เป็นคนนอก อีกทั้งเวลานี้มันยังสนิทสนมกับผู้คุ้มกันตระกูลหลานมากมาย การจะเข้าออกภายในนั้นย่อมไม่เป็นที่ผิดสังเกตุเป็นแน่
รวมถึงมันยังมีท่าเท้าย่องเบาอันดับหนึ่งอย่างเก้าวิญญาณไร้เงาและโอสถพิษประจำตัวมัน พิษเก้านิทรา ด้วยทั้งสองสิ่งนี้การจะเอากล่องจงหลีปลอมออกมานั้นไม่นับว่าเป็นปัญหาใหญ่อันใด
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในสายตาของหนิงเทียนก็คงหนีไม่พ้นผู้ฝึกตนในแดนแห่งปราชญ์ขั้นปลาย ถึงอย่างไรตัวมันเองเป็นเพียงองครักษ์ขั้น9เท่านั้น
การที่มันจะต้องเผชิญหน้ากับบุคคลที่มีพลังใกล้เคียงกับพญาวานรภูผา สหายของมันในป่าพฤกษาทมิฬ นับว่าไม่ได้เป็นเรื่องง่ายอย่างแน่
หนิงเทียนเปลี่ยนชุดแต่งกายเป็นสีดำสนิทเพื่ออำพรางกายไปกับความมืดมิดในค่ำคืนนี้ แม้แต่ใบหน้าของมันยังถูกปกคลุมด้วยผ้าสีดำหลงเหลือแค่เพียงส่วนลูกตาเท่านั้น
หนึ่งมนุษย์หนึ่งภูตหารือแผนการอยู่ชั่วครู่
ขณะที่หนิงเทียนกำลังจะออกไปนั้น มันเร่งพลังปราณแห่งความมืดเข้าปกคลุมร่างกาย
พริบตาเดียวมันเลือนรางกลายเป็นกลุ่มหมอกสีดำเหมือนเช่นที่เคยปรากฎในวัดร้างของเผ่าเฮยไม่ผิดเพี้ยน เป้าหมายแรกของหนิงเทียนคือกล่องจงหลีปลอมที่หลานเหลียงเก็บไว้