ตอนที่ 39 เส้นทางในอุโมงค์เหมือง(อ่านฟรี)
ตอนที่ 39 เส้นทางในอุโมงค์เหมือง
ชายหนุ่มละสายตาจากภาพตรงหน้า เดินมารวมกับคนอื่น ๆ ที่ตอนนี้กำลังหยุดยืนห่างจากปากทางเข้าอุโมงค์เหมือง
ทางเข้าอุโมงค์เหมืองเป็นเหมือนกับทางเข้าเหมืองทั่วไป มีขนาดประมาณ 3 เมตรสูง 2.5 เมตร ซึ่งถือว่ากว้างพอสมควร ที่กำแพงทั้งด้านข้างและด้านบนมีคานและเสาเหล็ก ถูกต่อเติมขึ้นมาเพื่อรับน้ำหนักไม่ให้ทางเดินถล่มลงมา
แสงไฟจากรถทั้งสองคันสาดส่องเข้าไปด้านในปากทางเข้าอุโมงค์เหมือง ทำให้เห็นว่าด้านในนั้นเป็นทางเดินที่เรียบแถมกว้างพอสมควร แต่แสงเข้าไปไม่ลึกมากนัก เพราะเส้นทางเริ่มลดระดับลงไปเรื่อย ๆ ทำให้แสงส่องไปไม่ลึกมากนัก
เมื่อเป็นแบบนั้นมีแต่พวกเขาต้องเดินเข้าไป ถ้าคิดจะตามมาหาเบาะแสของทีมเอ็ดการ์ด
“เสาและคานพวกนี้เราพึ่งต่อเติมมันไม่นานมานี้ มันแข็งแรงพอจะไม่ให้ดินและหินถล่ม” จอร์แดนอธิบาย
“ครั้งที่แล้วพวกเขาขึ้นเขามาที่นี่ได้ยังไงกัน” ในตอนนั้นเรย์ก็ถามขึ้นมา
ทุกคนหันมามองเรย์เป็นสายตาเดียวกัน คอนราด ฟาริสและโบเวนก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้เช่นกัน พวกเขาหันไปมองรอบข้างมันกลับไม่มีอะไร
“นี่มัน” จอร์แดนเองก็พึ่งนึกได้
“ลองไปดูรอบ ๆ หาร่องรอยของรถดู” จอแดนสั่งลูกน้องทั้ง 4 นาย พวกเขาหยิบไฟฉายของตนขึ้นมาเดินไปส่องรอบริมผา แต่กลับไม่พบอะไร
“หัวหน้าดูเหมือนจะมีคนขึ้นมาที่นี่ก่อนพวกเรา หรือไม่ก็หลังจากจัดการกับทีมหัวหน้าเอ็ดการ์ด” ฟาริสกล่าว
“อืม เรื่องนี้ยืนยันได้ว่ามีคนอยู่เบื้องหลังการหายไปของทีมของเอ็ดการ์ดจริง” คอนราดกล่าวขณะที่มองไปยังพื้นถนน เขาก้มลงไปก่อนจะหยิบบางอย่างขึ้นมา มันคือก้นบุหรี่ที่ถูกสูบจนหมดแล้ว
คอนราดหยิบมันขึ้นมาดู
“บุหรี่ที่ผสมเลือดสีขาวของหัวหน้าเอ็ดการ์ด” เดินเข้ามาดูใกล้ ๆ
“น่าจะใช่” คอนราดโยนมันทิ้งลงพื้นตามเดิม
ทางด้านโบเวนและเรย์กำลังสำรวจรอบ ๆ แต่รอบข้างไม่ใช่มากนัก ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะค้นหา
นี่มัน...รอยรถ
เรย์เดินมายังจุดหลังหินก้อนใหญ่ แต่ชายหนุ่มก็ต้องหยุดฝีเท้าลง เพราะด้านหน้าเป็นหุบเหวสูง
กึก! ๆ ๆ
หินก้อนเล็กที่ปลายเท้าของเรย์กลิ้งตกไปด้านล่างก่อนจะเงียบหายไป
เรย์ชะโงกหน้าได้ดูเขาเห็นว่าด้านล่างไม่ไกลมีรอยดินพังลงไปเป็นทางอย่างชัดเจน ซึ่งเดาไม่ยากว่าอะไรตกลงไปด้านล่าง
สูงมาก แถมลมยังแรงสุด ๆ ไปเลย...
เรย์มีสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะถอยกลับเข้ามา เนื่องจากลมที่แรงมากและดินใต้เท้าก็ดูจะไม่มั่นคงสักเท่าไหร่ มันอาจจะทำให้เขาอาจจะพัดตกลงไปได้ถ้าไม่ระวัง
ชายหนุ่มหันไปบอกกับโบเวนที่อยู่ไม่ไกล
“ลองมาดูนี่สิ” เรย์เรียกโบเวนให้เข้ามาช่วยกันดู
โบเวนเดินเข้ามาทางเรย์ เขาก็มีด้วยท่าทีจริงจังก่อนจะกล่าว “พวกมันเอารถของพวกเขาโยนลงหุบเหวจริง ๆ สินะ”
“ใช่…นั้นหมายความว่าพวกมันยังอยู่ด้านในไม่ได้ไปไหน” เรย์กล่าวเสริม ก่อนจะพูดต่อ “ไปบอกหัวหน้ากันเถอะ”
เรย์และโบเวนเดินกลับไปที่รถ จากนั้นก็บอกเรื่องที่รู้มาให้กับหัวหน้าคอนราด เมื่อได้ยินคำบอกกล่าวของสองลูกทีมคอนราดจึงไม่รอช้ารีบไปดูยังที่เกิดเหตุ
“เอายังดีหัวหน้า ถ้าลงไปคงไม่ไหวเพราะน่าจะสูงน่าดู ไม่รู้ว่ามีแค่ซากรถหรือคนด้วย แต่บางทีอาจจะมีแค่รถก็ได้” โบเวนเอ่ยปากถาม
“ไม่ต้องสนใจ ด้านล่างคงมีแค่รถ”
“หัวหน้ารู้ได้ยังไง”
“บนพื้นรอบ ๆ ไม่มีเลือดหรือปลอกกระสุนอะไร ดังนั้นพวกเขาน่าจะเข้าไปด้านในกันหมด แต่ถ้าไม่ใช่ก็แสดงว่าพวกมันตั้งใจเก็บหลักฐานทั้งหมด ซึ่งไม่น่าจะใช่เพราะมันไม่มีประโยชน์ ไปเตรียมตัวเราจะเข้าไปด้านในกัน” คอนราดอธิบาย ก่อนหันกลับออกจากขอบผา
ทุกคนมาที่ทางเข้าอุโมงค์เหมืองอีกครั้ง
“ผมให้สองคนเฝ้ารถไว้ เผื่อพวกมันกลับมา” จอร์แดนกล่าว จากนั้นก็นำคนของตัวเองเดินเข้าไปในอุโมงค์เหมืองทันที
โดยมีที่ปรึกษาพอล ผู้กองจอร์แดนและทหารอีก 2 นายตามมาด้วย พวกเขาแต่ละคนถือไฟฉายของตนส่องไปรอบ ๆ เพื่อหาว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่
คอนราดไม่ได้ว่าอะไรกับการทิ้งคนไว้ เขาเพียงทำทีมตัวเองเดินเข้าไปด้านในเหมืองเช่นกัน
โดยอาศัยแสงไปจากรถคอยส่องนำทางเข้าไป ฟาริส โบเวนเดินตามหลังไป เรย์มองไปด้านในก่อนจะเดินตามเข้าไปในอุโมงค์เหมืองเป็นคนสุดท้าย
กลิ่นอับชื้นในอากาศเริ่มชัดเจนมากขึ้น แสงไฟก็เริ่มน้อยลงเมื่อเส้นทางเริ่มลดระดับลงไปเรื่อย ๆ เรย์ก้าวอย่างระวัง ไปตามทางเดินเหมืองที่ขรุขระ มีเศษหินกระจายอยู่ทั่วทางเดินรวมกับทางที่ลดระดับลงและเริ่มชัน ถ้าไม่ระวังอาจจะลื่นล้มได้
“ด้านหน้าเป็นทางที่มืดแล้วก็ยังไม่ได้สร้างเสาและคานเหล็กมาค้ำไว้ ดังนั้นขอให้พวกคุณระวังมากขึ้นอยู่ไปโดนอะไรไม่จำเป็นเพราะอาจจะทำให้อุโมงค์ถล่มลงมาได้ หลังจากพ้นพื้นที่ตรงนี้ไปประมาณ 200 เมตรจะมีโถงใหญ่อยู่ นั้นคือจุดที่ผมเคยเข้าไปสำรวจพร้อมกับทีมสำรวจ” จอร์แดนกล่าว
“เรย์ขอแสงหน่อย” คอนราดหันมาบอกกับเรย์
“ครับหัวหน้า” เรย์เดินแทรกทุกคนมาด้านหน้าทีมตัวเอง จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาหยุดนิ่งห่างจากตัวเล็กน้อย เขาหยุดยืนนิ่งอยู่ครู่เพื่อรวบรวมพลังงานก่อนจะร่ายคาถาบอลแสง
“ฟาลัน (บอลแสง)”
อักษรเวทมนตร์ปรากฏในมือของเรย์
ที่ปรึกษาพอล ผู้กองจอแดนและทหารอีกสองนาย พอรู้สึกว่ามีแสงไฟสว่างสาดส่องมาจากด้านหลัง พวกเขาหันกลับไปมองก็เห็นลวดลายแปลกประหลาดได้รวมตัวกันเป็นบอลแสงกำลังลอยอยู่เบื้องหน้าของหนึ่งในเจ้าหน้าที่ลึกลับที่ใส่หมอกเกราะปิดบังใบหน้าคนนั้น
ที่ปรึกษาพอลมั่นใจว่านั่นเป็นฝีมือของชายที่เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ เพราะเมื่อครู่เหมือนจะได้ยินเสียงกล่าวอะไรบางอย่างออกมา
สิ่งนี้มันคืออะไร...เวทมนตร์ โลกใบนี้มีเวทมนตร์ด้วยอย่างนั้นเหรอ
คนพวกนี้เป็นใครกัน...พวกเขามาจากหน่วยลับไหนกัน
ผู้กองจอร์แดนเองก็ตกอยู่ในอาการตะลึงจนมือของเขาสั่นไม่หยุด ในใจอยากจะถามให้รู้จึงคิดจะยกขึ้นมาชี้ไปที่เรย์เพื่อถามหาคำตอบ
แต่ในตอนนั้นเองที่ปรึกษาพอลก็ยกมือขึ้นมาห้ามจอร์แดนไว้
“คุณกำลังทำอะไร”
“ที่ปรึกษาพอลคุณเห็นนั้นไหม ที่ปรึกษาพอลพวกเรากำลังเจอกับอะไรกันแน่” จอร์แดนหันมาถามที่ปรึกษาพอล ทหารอีกสองนายก็มองมาเช่นกัน
“ทหาร! จำที่บอกได้ไหม ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ให้หุบปากไว้ นำทางพวกเขาไปก็พอ” ที่ปรึกษาพอลขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์กับท่าทีวุ่นวายของผู้กองจอร์แดน จึงกล่าวเตือนออกมาอย่างรุนแรง
ผู้กองจอร์แดนและทหารอีกสองนายเริ่มตั้งสติได้ จึงพากันหุบปากไม่กล้าขัดคำสั่ง
จอร์แดนก้มหัวขอโทษ แต่มือของเขากับจับปืนเอ็ม1903 สปริงฟิลด์ในมือแน่น
ภารกิจนี้จะไม่ใช่แบบที่คิดแล้ว...
เราดันเอาตัวเองเข้ามาพัวพันกับความลับบ้า ๆ ซะได้ ที่สำคัญทำไมถึงรู้สึกว่าแม่งอันตรายสุด ๆ เลย
จอร์แดนกลืนน้ำลายตัวเองและรอต่อไปว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
เรย์ไม่ได้ร่ายคาถาบอลแสงแค่หนึ่งดวง แต่เขาร่ายคาถาถึง 3 ครั้งเพื่อสร้างบอลแสงก่อนจะสั่งให้บอลแสงทั้งสามกระจายตัวออกไป
บอลแสงหนึ่งดวงลอยไปด้านหลัง อีกหนึ่งอยู่ข้างเขา ส่วนอีกสองดวงนั้นมันลอยไปด้านหน้าห่างไปประมาณ 10 เมตร
ตอนนี้ภายในอุโมงค์เหมืองที่เคยมืดสนิทกลับสว่างราวกับเวลากลางวัน
“ไปต่อ” คอนราดกล่าว
จอร์แดนมองไปเส้นทางข้างหน้าและก้าวเดินต่อไป
พวกเขาเคลื่อนตัวมาด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เข้ามาจนถึงตอนนี้ยังไม่เจออะไรที่ผิดปกติแม้แต่น้อย นั้นหมายความว่าเรื่องมิได้เกิดขึ้นที่นี่
หลังจากพ้นเส้นทางนี้ไปก็ปรากฏโถงกว้างขนาดใหญ่ราว ๆ 50 เมตร มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง เรย์สั่งให้บอลแสงลอยไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจพื้นที่ พวกเขาทุกคนแยกกันหาเบาะแสของทีมเอ็ดการ์ด
“ตรงนี้มีทางแยกสามเส้นทาง มีรอยเท้าเดินเข้าไปจากทางนี้ตรงไปยังเส้นทางริมขาวสุด แต่เส้นทางนั้นอันตรายพอสมควร เพราะเป็นซากอารยธรรมเก่า มีพวกตึกกระจกจำนวนมาก ถ้าเดินไม่ระวังเหยียบพลาดขึ้นมาอาจจะตกลงไปได้” จอร์แดนชี้ให้กับคอนราดและทีมได้ดูเพื่อรอการตัดสินใจของคอนราด
“หัวหน้าได้กลิ่นอะไรไหม” ในตอนนั้นฟาริสก็กล่าวขึ้นมา ตอนนี้มีกลิ่นเหม็นเน่าและอับชื้นลอยออกมาจากเส้นทางที่จอร์แดนพึ่งกล่าวมาเมื่อสักครู่
“กลิ่นของซากศพซอมบี้ รีบไปกันเถอะ” คอนราดกล่าวจบก็เดินนำหน้าไปในทันที เรย์ตามหลังคอนราดไปเพราะต้องคอยส่องทาง
ทุกคนก็รีบตามไป...
ยิ่งเข้าใกล้กลิ่นก็ยิ่งแรงมากขึ้น นอกจากนั้นเส้นทางก็ยิ่งลำบากมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ความกว้างของเส้นทางเริ่มแคบลงเหลือราว ๆ 2 เมตร พอมาได้สักประมาณ 50 เมตร ในที่สุดพวกเขาก็เจอเข้ากับแหล่งที่มาของกลิ่นเหม็นเน่า
ด้านหน้าทุกคนมีซอมบี้ซากศพร่างหนึ่งนอนตายอยู่
เรย์ควบคุมบอลแสงลอยไปหยุดอยู่ที่ร่างของซอมบี้ซากศพ ทุกคนก็มาหยุดตรงนั้นด้วยเช่นกัน
“นี่มันตัวอะไร” หนึ่งในหารถามออกมา จอร์แดนเองก็ไม่รู้จะตอบลูกน้อยอย่างไรดี
“มันคือซอมบี้” ที่ปรึกษาพอลบอกกับจอร์แดนและทหาร
“เหมือนจะพึ่งตายไปไม่นาน” ฟาริสนั่งลงเริ่มตรวจสอบศพของซอมบี้ซากศพในทันที
“อืม...น่าจะใช่ และดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้เก็บเอาเลือดสีขาวมันไปด้วย” โบเวนพูดออกมาและชี้ไปที่หน้าอกของซอมบี้ที่ไม่มีรอยผ่าเปิดแต่อย่างใด
ไม่รอช้าโบเวนจัดการใช้มีดผ่าหน้าอกของซอมบี้ซากศพในทันที กลิ่นยิ่งแรงขึ้นไปอีก พวกเขาใส่หมวกเกราะไว้จึงไม่ค่อยเป็นอะไรมากนัก
แต่พวกทหารอย่างจอร์แดน และที่ปรึกษาพอลนั้นถึงกับสำลักกลิ่นที่ตีขึ้นจมูก พากันยกมือหรือแขนขึ้นมาปิดจมูกอย่างรวดเร็ว
เพราะกลิ่นของศพที่เน่านั้นมันไม่น่าอภิรมย์เท่าใดนัก อีกทั้งในพื้นที่ปิดแบบนี้มันจึงเหม็นสุด ๆ ไปเลย
“คุณจะผ่าศพมันทำไม” ที่ปรึกษาพอลทนไม่ได้อีก เพราะแม้เขาจะเป็นผู้ใช้พลังกายภาพ แต่ส่วนใหญ่แล้วเลือดสีขาวที่ใช้เปิดระดับจนถึงตอนนี้ก็มาจากการซื้อในตลาดมืด นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับศพซอมบี้เป็นครั้งแรก
“จะดูว่ามันตายไปนานแค่ไหนแล้ว” โบเวนเอื้อมมือไปจับซีกโครงทั้งสองของซอมบี้ซากศพก่อนจะออกแรงแหวกหน้าอกซอมบี้ซากศพ
กรึก! ๆ ๆ
กระดูกซี่โครงหักออกเผยให้เห็นอวัยวะภายในเน่าเหม็น โบเวนไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนสักเท่าไหร่ เพราะเขาทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้วที่ปรึกษาพอลและจอร์แดนต่างขยับเข้ามามองดูภาพตรงหน้าอย่างสนใจ
“ผมขอยืมมีดพกหน่อย” ฟาริสหันไปกล่าวกับจอร์แดน
จอแดนส่งมีดไปให้กับฟาริสอย่างไม่รังแลและดูว่าคนพวกนี้จะทำอะไร
ฟาริสรับมีดมาจากจอร์แดน ก่อนจะใช้มันเขี่ยดูแถวหัวใจ โบเวนก็ช่วยดูด้วยเช่นกัน
“เลือดสีขาวพอเวลาผ่านไปมันจะไปรวมกับเลือดและเนื้อเน่า ๆ ของซอมบี้ แต่มันจะค่อย ๆ ผสมกัน ดูจากสีขุ่น ๆ นี่แล้ว น่าจะผ่านมาประมาณ 5 ชั่วโมงแล้ว”
“เวลาใกล้เคียงกับที่ทีมของหัวหน้าเอ็ดการ์ดหายไปพอดี”
“เลือดสีขาวพวกนี้ยังใช้ได้ไหม” ที่ปรึกษาพอลถาม
“ไม่มันปนเปื้อนแล้ว” ฟาริสส่ายหัว ก่อนจะส่งมีดคืนให้กับจอร์แดน จอร์แดนไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าอะไรคือเลือดสีขาว จอร์แดนเช็ดมีดกับดินเพื่อเอาเลือดและเศษเนื้อที่ติดมีดออก
โบเวนเองก็ลุกขึ้นยืนเช็ดมือไปที่กำแพงดินด้วยเช่นกัน
“หัวหน้าทางนี้ยังมีอีก” ในตอนนั้นเสียงของเรย์ก็ดังขึ้น เขาชี้ไปยังจุดที่ไกลออกไปไม่ไกลมากนัก มีร่างของซอมบี้ซากศพอยู่จริง และมีอยู่ถึงสามตัวด้วย
นอกจากนั้นไม่ไกลยังมีปลอกกระสุนตกอยู่จำนวนหนึ่งด้วย