WMR ตอนที่ 7 ความตายของแอนนี่
หลายครั้งแอนนี่เคยคิดว่าเธอจะตายอย่างไร
น่าแปลกที่เธอไม่ได้อยากตายอย่างสงบ เธอเคยฝันว่าเธอถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ และเสียชีวิตอย่างอนาถ แต่เธอไม่ได้ตื่นตระหนกหรือกังวลใจ ครั้งหนึ่งเธอฝันว่าตัวเองตายอย่างสงบบนเตียงในโรงพยาบาล ผู้คนจัดงานศพที่สวยงามให้เธอ มิเชลยืนเงียบ ๆ ตรงหน้าหลุมฝังศพและวางช่อดอกไม้ให้เธอ
เธอสะดุ้งตื่นจากความฝัน ตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อที่เย็นเยียบ เธอพยายามพลิกตัวไปมา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ไม่สามารถนอนต่อได้
ตั้งแต่เธอได้พบกับมิเชล ดูเหมือนว่าความฝันเกือบทั้งหมดของแอนนี่จะเกี่ยวข้องกับเธอ ถูกมิเชลสับเป็นชิ้น ๆ, ถูกไฟคลอกตายโดยศาสนจักรพร้อมกับมิเชล, รัดคอมิเชลจนตายด้วยเชือก… มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอฝันว่าเธอกับมิเชลไปพักอยู่ในโรงแรมเล็ก ๆ ที่สกปรกและเริ่มหยอกล้อกัน แต่เมื่อเธอตื่นขึ้น เธอไม่เคยมีความคิดที่คล้ายคลึงกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จนกระทั่งเธอตัดสินใจทรยศมิเชล
ความคิดที่จะทรยศมิเชลเริ่มต้นเมื่อมิเชลไม่เชื่อในตัวเธออีกต่อไป อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่ตัวจุดชนวนตวามคิดนั้น ก่อนที่แซลลี่จะเข้ามา มิเชลคือความเชื่อของเธอ คือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเธอ คือพระเจ้าของเธอ
มิเชลสามารถฆ่าใครก็ได้ มิเชลต้องได้ทุกอย่างที่เธอต้องการ
เหมือนครั้งแรกที่เธอพบกับมิเชล มันเป็นกลางดึกในโรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มิเชลลงมาจากฟากฟ้าราวกับพระเจ้า และฟันศีรษะลูกค้าของเธอด้วยการเหวี่ยงดาบ
เหตุการณ์นั้นยังคงสดใหม่ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน: ร่างที่ไม่มีหัวของลูกค้ายังคงนอนอยู่บนตัวเธอ เขาตัวสั่นราวกับไก่ที่เพิ่งถูกถอนขน ศีรษะดูขบขันเล็กน้อยขณะที่มันกลิ้งอยู่บนพื้น เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทุกหนทุกแห่งย้อมที่นอนและผ้าปูเป็นสีแดง แม้แต่กลิ่นเหม็นอับที่ติดเหนียวแน่นที่สุดบนผ้านวมก็ถูกเจือจาง
พระเจ้ารู้ว่าเธอเกลียดกลิ่นเหม็นอับนั่นมากแค่ไหน
ทุกครั้งที่เธอรับลูกค้า เธอทำได้เพียงมุ่งความสนใจไปที่เพดานของโรงแรมเพื่อที่เธอจะได้ลืมกลิ่นที่น่าขยะแขยง ไม่ว่าลูกค้าจะแย่แค่ไหนเธอก็สามารถแยกตัวเองออกมาและเพื่อเพิกเฉยต่อก้อนเนื้อที่กำลังสั่นและจมูกมันเยิ้มได้เสมอ มีเพียงกลิ่นเหม็นอับนี้เท่านั้นที่เธอไม่สามารถทนได้ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
กลิ่นนี้มันเหมือนกับผ้าปูที่นอนในวัยเด็กที่เธอมี มันทั้งชื้นและเหนียวเหนอะหนะ มันเป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนเธออยู่ตลอดเวลาว่าเธอนั้นต่ำต้อยเพียงใด
เพื่อหลีกเลี่ยงกลิ่น เธอจะอ้าปากเพื่อหายใจ บางครั้งลูกค้าจะถือว่านั่นเป็นคำชมและทำรุนแรงขึ้น แต่เธอไม่คิดจะสนใจ
เมื่อมองย้อนกลับไป สิ่งเดียวที่เธอจำได้ชัดเจนตลอดห้าปีของการทำงานคือเพดานที่อยู่ไม่ไกล และกลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียนของผ้าห่ม
ดังนั้น เมื่อมิเชลฆ่าลูกค้า แอนนี่จึงไม่กลัว กลับกันเธอรู้สึกโล่งใจและมีความสุขเพราะกลิ่นเลือดได้เจือจางกลบกลิ่นเหม็นอับของเชื่อรา
หลังจากนั้นมิเชลก็เก็บดาบของเธอและมองมายังแอนนี่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์:
“ตามข้ามาแล้วเจ้าจะได้เป็นผู้วิเศษ”
ในเวลานั้นแอนนี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้วิเศษคืออะไร แต่เธอก็พยักหน้ารับและสลักประโยคนี้ไว้ในใจ จนกระทั่งตอนนี้เธอยังสามารถพูดซ้ำคำต่อคำได้โดยไม่ขาด ช่วงเวลานั้นราวกับถูกหยุดลงในภาพสีน้ำมัน ทุกรายละเอียดบนเสื้อผ้าของมิเชล มุมของประตูที่เปิดอยู่ ตำแหน่งที่ศีรษะกลิ้งออกไป รูปร่างของคราบบนผนัง... มันราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ภาพนั้นยังสดใหม่เหมือนปลาสดที่เพิ่งจับมาจากทะเล
สำหรับแล้วเธอมิเชลเป็นการดำรงอยู่ที่เหลือเชื่อ
บางทีนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้แอนนี่โกรธมากเมื่อรู้ว่ามิเชลไม่เชื่อในตัวเธออีกต่อไป
จุดเปลี่ยนนี้เกิดขึ้นในเดือนที่สามของการเรียนรู้เวทมนตร์กับมิเชล
วันนั้นมิเชลกลับมาพร้อมกับผู้หญิงที่ดูเหมือนเสาไม้ไผ่ มันเป็นเวลาอาหารเย็นและหญิงแปลกหน้าก็เดินตามมิเชลผ่านประตูเข้ามา เธอนั่งลงพร้อมกับรอยยิ้มราวกับว่าเธอเป็นเจ้าของที่นี่และหยิบไส้กรอกเพียงชิ้นเดียวบนจานขึ้นมากิน
นั่นคืออาหารเย็นที่แอนนี่เก็บไว้ให้มิเชล
แอนนี่จ้องผู้หญิงคนนั้นอย่างว่างเปล่า มองไปที่โหนกแก้มสูงและคิ้วที่ดูอำมหิตของเธอ แอนนี่ตกใจ เธอไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร และไม่รู้ว่าควรโกรธดีไหม
ผู้หญิงคนนั้นสบตากับเธอและยิ้ม:
“สวัสดี ข้าชื่อแซลลี่”
แซลลี่ ชื่องี่เง่า มีเพียงหญิงชาวนาที่โง่เขลาที่สุดที่ดื่มเบียร์สามถัง และบังเอิญตกลงไปในส้วมซึมเท่านั้นจึงจะสามารถตั้งชื่อนี้ให้ลูกสาวของเธอได้ ในเวลานั้นเธอคงมึนงงจนไม่ได้สติ
อย่างไรก็ตามแอนนี่ไม่ได้แสดงความโกรธและตบหน้าหญิงสาวไร้ยางอายผู้นี้ แต่ทำเพียงมองมิเชลอย่างระมัดระวัง มิเชลไม่ได้ทำอะไรนอกจากพูด
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอจะเป็นพันธมิตรของเรา”
แอนนี่รู้สึกเหมือนตกลงไปในทะเลสาบเพิร์ลในฤดูหนาว มันทั้งหนาวเหน็บ ปวดร้าว และเจ็บเข้าไปในกระดูก
อา ความรู้สึกนี้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
ราวกับเธอหวนคืนสู่วัยเด็กของเธอ เป็นสาวน้อยที่โง่เขลาและไร้เดียงสาคนนั้น
เมื่อเธออายุได้ 5 ขวบ แม่ของเธอก็ทำสิ่งเดียวกัน ในอ้อมแขนเธออุ้มเด็กทารกที่มีรอยย่นและเดินเข้ามาหาเธอก่อนกล่าวว่า "ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะเป็นน้องชายของเจ้า"
คล้ายกันจริง ๆ
แม่ของเธอเป็นคนนอกคอกที่มีชื่อเสียงในหมู่บ้าน ส่วนพ่อของเธอนั้นทิ้งเธอไปตั้งแต่วันที่เธอเกิด เพื่อตามหาสามี แม่ของเธอตัดสินใจขายทุ่งนาและโคนมที่เธอมีอยู่ และออกเดินทางเพื่อตามหาสามี บางครั้งเธอก็จากไปสามวัน บ้างครั้งก็ห้าวัน แอนนี่จึงทำได้เพียงอาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน และนั่งรอแม่ที่บ้านเก่าทรุดโทรม รอแม่ของเธอที่กลับมาพร้อมกับความผิดหวังทุกครั้ง
เมื่อเธออายุได้ห้าขวบ แม่ของเธอก็จากไปสิบวัน และกลับมาพร้อมกับเด็กทารกซึ่งเป็นน้องชายของเธอ มีข่าวลือว่าเขานั้นเป็นลูกชายของพ่อกับผู้หญิงคนอื่น แอนนี่ไม่เคยรู้เลยว่าพ่อของเธออยู่ที่ไหน และแม่ของเธอก็ปฏิเสธที่จะพูดเรื่องของพ่อหลังจากที่กลับมาทุกครั้งไป
หลังจากนั้นดูเหมือนแม่ของเธอจะยอมแพ้และหยุดออกไปหาพ่อ แต่เธอกลับเริ่มติดเบียร์แทน แอนนี่หวาดกลัวแม่ขี้เมาของเธอมาก บางครั้งเมื่อเธอตื่นขึ้นมาในตอนกลางดึก เธอได้ตระหนักว่าแม่ของเธอกำลังมองเธออยู่ แต่แทนที่จะเป็นการมองด้วยความรักของแม่ที่มีต่อลูก มันกลับเป็นการมองที่แสดงถึงความเกลียดชังที่มีต่อศัตรู
แต่สายตาที่แม่ของเธอมองน้องชายนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง
กระทั่งตอนที่เธอเมา แม่ของเธอยังลูบน้องชายของเธอด้วยสัมผัสที่นุ่มนวลที่สุด ร้องเพลงกล่อมให้เขา ซุกเขาไว้ใต้ผ้าห่ม หรือถึงขั้นขโมยนมจากหมู่บ้านใกล้เคียงมาให้เขา บางครั้งแอนนี่รู้สึกว่าแม่ของเธอมองน้องชายไม่ใช่ในฐานะลูกชาย แต่เป็นสายตาที่ผู้หญิงคนหนึ่งมอบให้คนรัก
ยิ่งไปกว่านั้น นั่นไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเธอเลยด้วยซ้ำ!
แอนนี่เกลียดน้องชายของเธอ แต่เธอไม่มีทางเลือก เธอไปที่ภูเขาเพื่อขุดผักป่า ทำงานบ้านทั้งหมด ช่วยเพื่อนบ้านทำฟาร์ม เงินที่เธอได้รับนอกเหนือจากเงินที่แม่เอาไปซื้อพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว เธอยังให้เงินทั้งหมดกับน้องชายของเธอ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่ดีที่สุด อาหารที่ดีที่สุด... ทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพื่อความพึงพอใจของแม่ ทุกครั้งที่เธอซ่อมเสื้อผ้าให้น้องชายเธอสัมผัสได้ว่าสายตาที่แม่มองมานั้นอ่อนโยนมากกว่าเดิม แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
แม่ยังคงรักข้า เธอรู้สึกเช่นนั้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไปแม่ของเธอก็เริ่มเสื่อมโทรมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทัศนคติที่เม่มีต่อเธอนั้นแย่ลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ถึงอย่างนั้นแอนนี่ก็ยังปฏิบัติต่อแม่ และน้องชายของเธออย่างดีที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ และในที่สุด ทุกสิ่งก็สะสมจนถึงจุดสูงสุด
ในเวลานั้นจุดเปลี่ยนได้เกิดขึ้น เหมือนกับตัวหนอนที่โผล่ออกมาจากซากศพที่เน่าเปื่อย
เมื่ออายุได้สิบสองขวบ เพื่อหารายได้เธอถูกชายวัยกลางคนหัวโล้นพาไปที่โรงแรม และนั่นเป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตของเธอ เป็นครั้งแรกที่เธอตกหลุมรักกับเพดานที่สกปรกของโรงแรม แห่งนี้ ขณะมองดูเพดาน เธอเริ่มคิดไปว่าเงินพวกนี้สามารถซื้ออาหารให้น้องชายได้มากแค่ไหน คิดไปว่าแม่ของเธอจะมีความสุขเพียงใด เพียงแค่นี้มันก็ทำให้เธอมีความสุขมากจนแทบเก็บไม่อยู่
อย่างไรก็ตามทุกอย่างได้เปลี่ยนไปหลังจากเธอกลับบ้านมาพร้อมเงิน เพื่อนบ้านบอกกับเธอว่าน้องชายของเธอจมน้ำตายในทะเลสาบเพิร์ล
เธอไม่เคยลืมสายตาของแม่ในวันนั้น
อันที่จริงตั้งแต่ต้นจนจบแม่ของเธอไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการตายของน้องชายเลย เธอยังคงนั่งอยู่บนเตียงโดยเอาผ้าห่มเก่าคลุมไว้ครึ่งหนึ่งตามปกติ ถือขวดเบียร์ที่เหลือครึ่งหนึ่งไว้ในมือและมองแอนนี่อย่างเย็นชา
แอนนี่เข้าใจความหมายที่มาพร้อมกับการจ้องมองนั่น “ข้าหวังว่าคนที่ตายไปจะเป็นเจ้า”
เมื่อเห็นดังนั้นแอนนี่จึงไม่ได้พูดอะไร เธอเดินไปที่เตียงอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะหยิบเงินที่เธอหามาได้แล้ววางลงข้างมือแม่ของเธอ
แม่เหลือบมองเธออีกครั้ง ในที่สุดเธอก็พูดว่า:
"โสเภณี"
วันรุ่งขึ้น แอนนี่พบศพแม่ของเธอในทะเลสาบเพิร์ล ลักษณะของแม่เปลี่ยนไปเช่นเดียวกับน้องชายของเธอ ใบหน้าของเธอบวมเหมือนขนมปังหมัก ‘แม่คงจะมีความสุข’ นี่คือสิ่งที่แอนนี่คิดเมื่อเห็นศพ ‘ตอนนี้หน้าของทั้งน้องชายและแม่ดูคล้ายกันมาก ต่อจากนี้ไปคงไม่มีใครกล้าพูดว่าทั้งคู่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันอีก’
ที่งานศพของแม่และน้องชาย แอนนี่ร้องไห้หนักมาก นี่นับเป็นครั้งแรกที่เธอร้องไห้ แต่เธอกลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากงานศพเธอก็ออกจากหมู่บ้าน
ก่อนที่เธอจะพบแซลลี่ เธอไม่เข้าใจความรู้สึกที่เธอมีต่อแม่และน้องชายของเธอ เธอคิดว่าเธอรักพวกเขา รักถึงขนาดเสียสละมากมายเพื่อพวกเขา การตายของพวกเขาทำให้เธอพังทลาย เธอจึงทิ้งบ้านเกิดและเดินเตร่ไปทั่ว
แต่ทันทีที่เธอเห็นแซลลี่ เธอก็นึกขึ้นได้ เธอเกลียดน้องชายของเธอ เหมือนกับที่เธอเกลียดแซลลี่ที่อยู่ตรงหน้าเธอ
เธออยากจะตบแซลลี่ เหมือนกับที่เธออยากจะบีบคอน้องชายของเธอตั้งแต่แรกเห็น
แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ทำ เธอยังคงทำหน้าว่างเปล่า ขณะดูแซลลี่กินไส้กรอก และพูดอย่างขี้ขลาด "สวัสดี... ข้าชื่อแอนนี่"
เธอเดินเข้าไปในวงจรนั้นอีกครั้ง
แซลลี่ฉลาดกว่าเธอ แซลลี่มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์มากกว่าเธอ แซลลี่มีวาทศิลป์มากกว่าเธอ…. ทุกอย่างเกิดขึ้นตามที่แอนนี่คาดไว้ ความสมดุลของมิเชลค่อย ๆ เอนเอียงไปทางแซลลี่ ไม่ว่าเธอจะพยายามมากแค่ไหน ไม่ว่าเธอจะเชื่อฟังมากเพียงใด มิเชลก็จะให้ความสำคัญกับแซลลี่มากกว่าเธอเสมอ
ทุกคืนเธออยากจะลุกจากเตียงอย่างเงียบ ๆ และกรีดคอของผู้หญิงคนนั้นด้วยกริช จากนั้นก็ปล่อยให้เลือดย้อมปิดรอยยิ้มจอมปลอมที่เธอรังเกียจ แต่เธอก็ไม่กล้า
เช่นเดียวกับที่เธอไม่สามารถรวบรวมความกล้าฆ่าน้องของเธอได้ เธอไม่กล้าแม้กระทั่งสัมผัสเส้นผมของแซลลี่แม้แต่เส้นเดียว
นี่ยิ่งทำให้เธอเกลียดตัวเองมากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้เธอยังพบอีกว่าเธอเป็นคนประเภทที่จะปฏิบัติต่อผู้อื่นดีขึ้นเมื่อพวกเขาปฏิบัติต่อเธอแย่ลง สิ่งนี้กลายเป็นแรงผลักดันให้เธอพยายามกำจัดส่วนที่ขี้ขลาดของเธอออกไป เธอต้องการเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่
ดังนั้นเธอจึงรุนแรงยิ่งขึ้น เธอทรมานตัวประกันของมิเชลทั้งหมด และใช้วิธีการที่โหดร้ายที่สุดเท่าที่เธอจะคิดได้ในการสังหารศัตรู สิ่งนี้ทำให้เธอพึงพอใจ เธอรู้สึกราวกับว่าเธอเปลี่ยนไป เธอโตขึ้น และไม่ใช่เด็กสาวอ่อนแอที่โง่เขลาอีกต่อไป ผู้คนจะต้องหวาดกลัวเมื่อเห็นเธอในตอนนี้
อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ต่อหน้ามิเชลและแซลลี่ เธอยังคงเก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับ
สรุปแล้วเธอไม่ได้ฆ่าแซลลี่
แอนนี่ตกใจเมื่อมิเชลไม่เชื่อเธอ เธอจะฆ่าแซลลี่ได้อย่างไร? เธอจะกล้าฆ่าแซลลี่ได้อย่างไร? แม่และน้องชายที่ล่วงลับไปแล้วของเธอกลายเป็นโซ่ตรวนที่หนาและหนักหน่วงซึ่งคอยรั้งเธอไว้ทำให้เธอไม่สามารถทำอย่างที่ใจต้องการได้
ขนาดหลังจากที่แซลลี่ฟ้องเรื่องเธอ แอนนี่ยังไม่คิดโต้เถียงกับเธอด้วยซ้ำ มันเพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าแซลลี่เป็นคนไร้ยางอายขนาดไหน และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่แซลลี่พูดจาไม่ดีเกี่ยวกับตัวเธอ สิ่งนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง เธอไม่อยากนึกเลยด้วยซ้ำว่าแซลลี่พูดถึงเธอลับหลังมากแค่ไหน ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่เธอก็ไม่ได้บ่นหรือทักท้วงเรื่องนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
เป็นแซลลี่ที่เดินเข้ามาหาเธอ
“แอนนี่ อย่าโกรธข้าเลยนะ เมื่อกี้ข้าไม่ได้ตั้งใจจะใส่ร้ายเจ้าเลย” แซลลี่อธิบาย
“ว่าแต่แอนนี่ เจ้าไม่คิดว่ามิเชลทำตัวแปลก ๆ บ้างเหรอ นางรู้ตั้งมากมายแต่ไม่คิดจะบอกอะไรเราเลย จนตอนนี้เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอะไรอยู่ในคลัง! ลองคิดดูสิ ทำไมนางต้องมีอำนาจเหนือเราด้วย ข้าไม่คิดว่านางจะแข็งแกร่งกว่าพวกเรา...” แซลลี่บ่นกับเธออย่างนั้น
“แอนนี่ ข้าได้ยินมาว่าบนตัวมิเชลมีสมบัติล้ำค่าซึ่งสามารถเพิ่มพลังเวทย์ของผู้ถือครองได้สองเท่า เราไปแย่งมันมากันเถอะ ไม่ต้องกลัวไป จริง ๆ แล้วมิเชลไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เจ้าเห็น ตราบใดที่เราได้มันมา โอกาสที่เจ้าจะได้พัก...” แซลลี่เกลี้ยกล่อม
“แอนนี่ ได้โปรดอย่าทำแบบนี้! ขอล่ะอย่าบอกมิเชล ไม่นะ! มิเชลต้องฆ่าข้าแน่! ได้โปรด ข้าขอร้อง อย่าบอกมิเชลว่าข้าอยากจะหักหลังนาง ตกลงไหม?” แซลลี่ขอร้อง
เมื่อแอนนี่เอาชนะแซลลี่และมัดเธอด้วยเวทมนตร์ เธอก็ตระหนักว่าเธอนั้นแข็งแกร่งกว่าแซลลี่มากแค่ไหน ดูเหมือนว่าท่าทางเย่อหยิ่งที่แซลลี่มักแสดงออกมาคือสิ่งที่เธอแสร้งทำ
ถึงกระนั้น เธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าแซลลี่ เธอต้องการบอกมิเชล และปล่อยให้มิเชลตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เธอรู้ว่ามิเชลเกลียดการทรยศเป็นที่สุด ตราบใดที่เธอเห็นสีหน้าที่แท้จริงของแซลลี่ เธอจะต้องฆ่าแซลลี่แน่ คงจะวิเศษมากที่ได้ดูสิ่งที่เธอใฝ่ฝันแต่ไม่กล้าลงมือ
ตราบใดที่แซลลี่ตาย มิเชลจะกลับมาสนใจเธออีกครั้ง เธอคิดเช่นนั้น
เพียงแต่เธอประเมินความเด็ดขาดของแซลลี่ต่ำไป
เมื่อไม่มีทางออก แซลลี่จึงได้ตัดสินใจอย่างน่าสลด แม้ว่าเธอจะถูกแอนนี่มัดทำให้ไม่สามารถหนีได้ แต่อย่างน้อยเธอก็ยังสามารถควบคุมชีวิตของเธอเองได้ ดังนั้นก่อนที่แอนนี่จะทันได้ตอบสนอง เธอได้จุดชนวนพลังเวทย์ภายในร่างกายและฆ่าตัวตาย
“แอนนี่ นางจะไม่มีวันเชื่อใจเจ้าอีก” นั่นคือคำพูดสุดท้ายของแซลลี่
แอนนี่ถูกผลักเข้าไปในหุบเขาแห่งความสิ้นหวัง
แซลลี่ใส่ร้ายเธอด้วยการฆ่าตัวตาย และเธอไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้ให้มิเชลฟังอย่างไร เมื่อเทียบกับการฆ่าตัวตายของแซลลี่ ในบางสถานการณ์ แอนนี่ที่ฆ่าแซลลี่นั้นฟังดูเชื่อได้มากกว่า นอกจากนี้ ในสายตาของมิเชล เธอกับแซลลี่เกลียดกันมานานแล้ว
นี่ยังไม่ได้พูดถึงร่องรอยการต่อสู้บนพื้นอีก
“แซลลี่ แอนนี่ ได้เวลาไปแล้ว!”
เป็นมิเชลที่เรียกหาพวกเธอก่อนที่ความอุ่นของแซลลี่จะจางหายไป แอนนี่ตระหนักว่าเธอได้ทำเรื่องงี่เง่าลงไปอีกอย่างขณะที่กำลังลนลาน เธอซ่อนศพด้วยความเร่งรีบและโกหกเพื่อพยายามเกลี้ยกล่อมมิเชลว่าแซลลี่หายตัวไป
อย่างไรก็ตาม….
“แอนนี่ เจ้าฆ่าแซลลี่?”
นี่คือสิ่งที่ขุนนางคนนั้นพูด คำพูดนั้นมันได้ระเบิดในใจของเธอราวกับสายฟ้า
แซลลี่ได้ทำนายทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว มิเชลเต็มใจที่จะเชื่อขุนนางสูงศักดิ์ที่ไร้ประโยชน์ มากกว่าที่จะเชื่อในตัวเธอ
เธอพบว่าเธอกลับไปเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่อ่อนแอและไร้ประโยชน์อีกครั้ง เธอไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากแก้ตัวซ้ำไปซ้ำมา ทัศนคติของมิเชลผลักเธอลงไปในน้ำแข็ง แม้มิเชลจะบอกว่าไว้ใจเธอ แต่สายตาของมิเชลนั้นมันเหมือนกับตอนที่แม่ของแอนนี่เสียน้องชายของเธอไป
หลังจากผ่านไปหลายปี แอนนี่ก็ได้เห็นสายตานั่นอีกครั้ง
มิเชลอยากจะกำจัดเธอ
ภายใต้ความสิ้นหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดความปรารถนาอันแรงกล้าก็ผุดขึ้นจากหัวใจของเธอ
เธออยากเปลี่ยน เธอไม่อยากกลับไปเป็นคนเก่า เธอไม่อยากทำผิดพลาดซ้ำสอง
เธอตัดสินใจทรยศมิเชล
เธอจะยอมจำนนต่อผู้ไล่ตามจากตระกูลลิเธอร์ และเธอจะบอกแผนการของมิเชลให้พวกเขาฟัง แม้ว่าโบสถ์จะมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดในการต่อต้านผู้วิเศษ แต่เหล่าขุนนางจำนวนมากก็ยังคงรักษาสายสัมพันธ์กับผู้วิเศษเพื่อแสวงหาอำนาจแห่งเวทมนตร์อย่างลับ ๆ เธอเต็มใจที่จะทำงานให้กับตระกูลลิเธอร์ และตระกูลลิเธอร์จะปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่เพื่อฆ่ามิเชล
ฆ่ามิเชล...
ความคิดนี้ทำให้แอนนี่สั่นสะท้านไปทั้งตัว
แอนนี่พยายามปลอบตัวเองว่าเธอสั่นเพราะความตื่นเต้น ไม่มีอะไรอื่นนอกจากนั้น
หลังจากวิ่งอยู่ในป่าได้สักพัก ในที่สุดแอนนี่ก็เห็นกลุ่มอัศวิน พวกเขาต้องเป็นคนจากตระกูลลิเธอร์แน่! เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงวิ่งไปหาพวกเขาขณะโบกมือ
“ข้าไม่ได้มาร้าย ตระกูลของเจ้า...”
สิ่งที่ต้อนรับเธอคือแสงศักดิ์สิทธิ์
ภายในโบสถ์มีแสงศักดิ์สิทธิ์หลายประเภท มีแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้อวยพรซึ่งอ่อนโยนและศักดิ์สิทธิ์ มีแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการทรมานคนต่างศาสนาซึ่งสามารถเผาไหม้แต่ไม่ได้ฆ่า และสุดท้ายเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการทำลายล้างศัตรู มันทรงพลังมากเสียจนสามารถชำระล้างได้ภายในชั่วพริบตาโดยไม่เหลือทิ้งไว้แม้แต่ร่องรอย
แสงศักดิ์สิทธิ์ที่แอนนี่ได้รับคือประเภทที่สาม
อุณหภูมิที่น่าสะพรึงทำให้เสื้อคลุมและผิวหนังของเธอระเหยหายไปในชั่วพริบตา ความรู้สึกแสบร้อนที่รุนแรงทำให้เธอไม่สามารถร่ายได้แม้แต่คาถาป้องกันที่ง่ายที่สุด เธอมองไม่เห็นอะไรเลย แสงศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันสว่างมากเสียจนเธอไม่สามารถลืมตาได้
ก่อนที่เธอจะทรยศมิเชล เธอได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดย ‘คนทำความสะอาด’
เถ้าถ่านละเอียดลอยอยู่ในป่ากลางดึก โบยบินเหมือนผีเสื้อ พวกมันถูกเหยียบย่ำลงในโคลนด้วยกีบเหล็กของ ‘คนทำความสะอาด’
แอนนี่ตายแล้ว
แต่ก่อนจะตายเธอคิดว่า...
ไม่สิ ผิดแล้ว เธอนั้นไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด เธอไม่มีเวลาทบทวนเกี่ยวกับการตายนี้ ไม่รู้ว่าการถูกแสงศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างจนระเหยกลายเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับเธอหรือไม่ เธอไม่มีเวลาเสียใจที่ทรยศต่อมิเชลหรืออะไรที่ใกล้เคียง เรื่องราวในชีวิตของเธอไม่ได้ปรากฏต่อหน้าต่อเธอ ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความเศร้าในวัยเด็กก็ไม่มีทั้งนั้น
เธอแค่ตาย