ตอนที่ 36 เหมืองเมฟเคีย(อ่านฟรี)
ตอนที่ 36 เหมืองเมฟเคีย
เรย์พึ่งวางสายจากเร็กซ์เสร็จ คอนราดก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพอดีพร้อมกับคำสั่งเตรียมพร้อมออกเดินทาง
“ทุกคนเตรียมพร้อม เราจะไปทำภารกิจค้นหาและช่วยเหลือนอกเมืองเรซีกัน”
“หัวหน้าเกิดอะไรขึ้น”
“ดูเหมือนพวกลัทธิมืดจะแอบลักลอบขนดวงตามิติและกำลังทำบางอย่างกับเมืองเรซีและตอนนี้เราขาดการติดต่อกับทีมเอ็ดการ์ดกะทันหัน”
เมื่อได้ยินภารกิจสีหน้าของทั้งสามก็จริงจังขึ้นมา
เนื่องจากพวกเขายังไม่ได้เปลี่ยนชุดและอุปกรณ์และกระสุนถูกเตรียมพร้อมแล้วจึงออกเดินทางได้ในทันที
ขณะที่นั่งอยู่บนรถโดยมีโบเวนเป็นผู้ขับรถออกไปจากโรงแรมนักล่า คอนราดก็เป็นผู้เล่ารายละเอียดของภารกิจนี้ด้วยตนเอง
“ตอนนี้เราขาดการติดต่อกับทางทีมของเอ็ดการ์ดและคาดว่าผู้ที่ลงมือกับพวกเขาอาจจะเป็นกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าลัทธิมืด ซึ่งทางนั้นมีความสามารถในการจัดการกับทีมระดับเหล็ก 2 ดาวได้ ดังนั้นขอให้พวกคุณอย่าได้ประมาทเด็ดขาด” คอนราดอธิบายทั้งยังเล่าในส่วนของลัทธิมืดให้ทุกคนรู้ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นข้อมูลเหมือนกับของคอนเนอร์
“ลัทธิมืด” เรย์พึมพำออกมา เมื่อนึกถึงเรื่องเล่าของลุงคอนเนอร์ ก็ทำให้รู้ได้เลยว่าลัทธิพวกนี้คือตัวอันตรายมาก
คอนราดยังเล่าต่อ “แม้จะบอกว่าจะต้องหาทีมของเอ็ดการ์ดให้เจอ แต่ต้องระวังไว้เรื่องนี้เกี่ยวกับรอยแยกมิติที่เกิดซ้ำสอง ซึ่งน่าจะเป็นฝีมือของพวกลัทธิมืดและเรย์ เรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านคุณอาจจะเป็นฝีมือของลัทธิมืดด้วยเช่นกัน”
เรย์ได้ยินสิ่งที่คอนราดกล่าวมือของเขาก็สั่นเบา ๆ จนยากจะสังเกตเห็น ก่อนที่เขาจะใช้มืออีกข้างมาจับกันไว้ พยายามรวบรวมสติหลับตาลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “ขอบคุณหัวหน้าที่บอกผม”
“หวังว่าคุณจะควบคุมตัวเองได้ ที่ผมบอกคุณ เพราะอยากให้คุณเข้าใจเรื่องในภารกิจมากขึ้น”
“ผมเข้าใจอย่างรู้ซึ้งเลย” น้ำเสียงของเรย์ราบเรียบมากจนน่ากลัว ทุกคนสามารถรู้สึกได้
โบเวนหันมามองเรย์ก่อนจะพยักหน้าให้ เรย์ยิ้มพักหน้าตอบกลับไป โบ้วนหันไปสนใจขับรถต่อ เพราะตอนนี้พวกเขากำลังจะออกจากเขตเมือง
ภายในเมืองเต็มไปด้วยแสงไฟจากหลอดไฟ โรงงานหลายแห่งยังคงทำงานในตอนกลางคืน ซึ่งทำให้คนงานมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากงานล่วงเวลา
แต่พอมาถึงเขตกำแพงเมืองที่นี่กลับดูเงียบสงบและแสงไปก็มีแค่แสงจากไฟสปอตไลต์จากตามแนวกำแพงเท่านั้น
แนวกำแพงของเมืองเรซีนั้นไม่ได้สร้างล้อมรอบตัวเมืองทั้งหมด แต่มันสร้างขึ้นมาเป็นจุด ๆ ตามเส้นทางเข้าออกเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะใช้พวกกำแพงธรรมชาติอย่างแม่น้ำ เชิงเขา หรือแนวสันเขาเป็นเหมือนกับกำแพงธรรมชาติแทน
ถนนเข้าออกเส้นหลักอยู่ภายใต้การดูแลของทหารของเมืองเรซีโดยตรง
ซึ่งทหารของเมืองเรซีนั้นไม่ใช่ทหารของอาณาจักรลัวอาโดยตรง ถ้าจะพูดให้เข้าใจพวกเขาเป็นเหมือนทหารที่ถูกจ้างโดยบริษัทเคลินเนีย กรุ๊ป เงินที่นำมาจ่ายเงินเดือนนั้นก็มาจากที่บริษัทเก็บภาษีได้จากภายในเมือง ส่วนหนึ่งส่งให้กับทางอาณาจักรลัวอาและส่วนหนึ่งเอามาพัฒนาเมืองต่อไป
แต่แน่นอนว่าทหารพวกนี้จะต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของกฎหมายอาณาจักรลัวอาที่ระบุเรื่องอาวุธปืนไว้อย่างชัดเจน เพราะถ้าไม่มีการควบคุมทางอาณาจักรก็รู้สึกไม่ไว้วางใจทหารเหล่านี้ได้
ทำให้ทหารของเมืองเรซีแห่งนี้มีจำนวนจำกัดต่อพื้นที่เมืองที่แน่ชัดและยังมีเรื่องอาวุธปืนที่มีแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ของกองกำลังที่จะมีอาวุธปืนประจำกายได้
ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าทหารบางส่วนจะไม่ได้ถืออาวุธปืนใด ๆ เลย
แต่สำหรับที่ประตูเมืองและเส้นทางหลักแบบนี้ ทหารกว่าครึ่งได้ติดอาวุธปืน เพราะพวกเขาต้องคอยตรวจสอบผู้คนเข้าออก ซึ่งถือว่าเป็นงานที่อันตรายและสำคัญกับเมืองเรซีมาก
ถนนทางออก 4 เลนที่ประตูเมืองมีรถรอรับการตรวจสอบอยู่สี่ถึงห้าคัน ทุกคันเป็นรถบรรทุกซึ่งต้องวิ่งไปที่เหมืองในเวลานี้ให้ทันเอาขนของกลับมาที่โรงงานในเมืองตอนเช้า เพื่อให้คนงานได้ทำงานกันได้
ชีวิตของเหล่าคนขับรถบรรทุกไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในเวลากลางคืนแบบนี้
รถหุ้มเกราะของพวกเขาเคลื่อนที่เข้ามาจอดรอด้านหลังสุดอย่างช้า ๆ
เมื่อทหารประจำจุดตรวจเห็นรถหุ้มเกราะหกล้อ PWCM2-009 ขับมาจอดนิ่งก็มีสีหน้าที่จริงจังขึ้นมากันในทันที ทหารเหล่านั้นรู้ว่าใครก็ตามที่มีรถหกหุ้มเกราะหกล้อแบบนี้ได้ แสดงว่าจะต้องเป็นคนระดับสูง ดังนั้นพวกเขาจึงส่งคนมาตรวจสอบเป็นการเฉพาะ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด
ทหารสามนายเดินเจ้ามาที่รถ โดยมีหนึ่งคนที่มีสุนัขมาด้วย สองคนและหนึ่งสุนัขเดินตรวจตามปกติ ส่วนอีกคนเดินมาทางฝั่งที่นั่งคนขับ
เนื่องจากกระจกนั้นมืดทึบข้างนอกจะมองมาด้านในไม่เห็น จึงทำการเคาะกระจก
“สวัสดีครับ ผมจ่าสิบเอกมาร์คครับ ช่วยลดกระจกลงด้วยครับ”
โบเวนเรือนกระจกลงมาเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้พูดคุยอะไร เพียงแต่ยื่นนามบัตรสีดำใบหนึ่งให้ไป ในนั้นมีเพียงข้อความสั้น ๆ ว่าหมาล่าเนื้อและรูปสุนัขล่าเนื้อคาบศพซอมบี้
ทหารนายนั้นเมื่อเห็นนามบัตรก็กลืนน้ำลาย ส่งคืนนามบัตรให้กับโบเวนและทำความเคารพ ก่อนจะหันเดินอย่างเร่งรีบไปแจ้งกับทางหน่วยของตน
ในตอนนั้นเองสุนัขตำรวจที่เดินวนไปมาเหมือนจะได้กลิ่นดินปืนและอาวุธและมันคิดจะเห่า คอนราดมองไปที่มัน สุนัขตัวนั้นก็สงบลงเดินกลับไปเข้าที่ตามเดิมไม่กล้าส่งเสียงดังอีก
ทหารนายนั้นผู้ที่รับนามบัตรไปได้รับคำสั่งให้รถของพวกเรย์ขับขึ้นมาอีกเลนและออกไปก่อนได้เลยในทันที
รถขับผ่านจุดตรวจของทหารมาอย่างง่ายดาย แสงไฟจากจุดตรวจถูกทิ้งไว้ด้านหลัง ขณะที่รถหุ้มเกราะหกล้อเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วมากกว่า 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถห่างจากแนวกำแพงเมืองมากขึ้นก็มีแสงไฟจากไฟส่องทางน้อยลงเรื่อย ๆ จนถึงบางจุดจะมีไฟส่องทางแค่ทางแยกเท่านั้น
แม้ดูเหมือนการขับรถด้วยความเร็วระดับนี้ในทางที่มืดจะอันตราย แต่จะอันตรายจริงหรือไม่ก็ต้องดูอีกทีว่าใครอยู่หลังพวงมาลัยรถ คนขับคือโบเวนผู้ใช้พลังกายภาพ ความสามารถของร่างกายของเขานั้นสูงกว่าคนปกติหลายเท่าดังนั้นด้วยความเร็วแค่นี้โบเวนสามารถตอบสนองและจัดการได้อย่างไม่มีปัญหา
“มีเวลาพักหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเหมือง นายควรพักผ่อนก่อน” ฟาริสกล่าว ก่อนจะหลับตาลง สำหรับฟาริสที่เป็นนักแม่นปืนแล้ว แม้จะเป็นผู้ใช้พลังกายภาพ แต่เขาก็มักจะถนอมสายตาของตัวเองและพักผ่อนเพื่อผ่อนคลายร่างกายเสมอ
เรย์ทำตามหลับตาลง เพื่อออมแรงไว้เช่นกัน
เรย์รับรู้ได้ว่าตัวเองนั้นกำลังงีบหลับลงด้วยความง่วง อาจจะเพราะวันนี้เขายังไม่ได้หยุดเลยตั้งแต่ออกไปจัดการซอมบี้ที่กองขยะเมื่อตอนกลางวัน
พอตกเย็นทุกอย่างก็อยู่ในสภาพกดดันจากการเจอสัญลักษณ์ของลัทธิมืด เขาจึงงีบหลับอย่างรวดเร็ว แต่ถึงเรย์จะงีบหลับ มือของเขาก็จับไปที่ปืนพก M1911A1 เสมอไม่ห่าง
ถ้าเกิดอะไรขึ้นปืนในมือของเขาตอบสนองได้เร็วกว่าการร่ายคาถาแน่นอน
...
เวลาแห่งการพักผ่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้รถได้ออกจากเมืองเรซีและเข้าสู้เขตเหมืองอย่างเต็มตัวแล้ว ซึ่งสังเกตได้จากถนนที่ขรุขระ รอบด้านสองข้างทางถ้าสังเกตในความมืดดี ๆ มันจะมีซากอาคารเก่าแก่ที่พังทลายอยู่จำนวนมาก
ทั้งหมดที่เห็นเหล่านี้คือสิ่งที่เรียกว่าซากอารยธรรมเก่าจากเมื่อหลายร้อยปีก่อน
เรย์นึกถึงสมัยเรียนในห้องเรียน วิชาประวัติศาสตร์ เด็กทุกคนจะได้เรียนรู้ความเป็นมาของประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมา
เมื่อก่อนมนุษย์มีอาวุธที่ทรงพลังถึงขนาดระเบิดพื้นที่ไปครึ่งทวีปได้ไม่ยากเย็น พวกเขามีวิทยาการ ทรัพยากร และพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเชื้อเพลิงที่สำคัญที่หายไปอย่างเร็วที่สุดคือ ปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบ พอเกิดสงครามพวกเขาก็เผาผลาญทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้จนหมด (ยกเว้นพวกถ่านหินที่พึ่งมีการค้นพบเมื่อไม่นาน) เพื่อมาสนับสนุนสงคราม
แน่นอนว่าการหายไปของน้ำมันดิบหรือปิโตรเลียมนำมาซึ่งผลกระทบมากมาย เพราะปิโตรเลียมนั้นไม่ได้ให้แค่น้ำมันแต่ยังมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายรูปแบบ จำพวก แก๊สโซลีน น้ำมันก๊าด ตัวทำปฏิกิริยาเคมีซึ่งใช้ในการทำพลาสติกและเภสัชภัณฑ์ต่าง ๆ
นอกจากทรัพยากรธรรมชาติพวกนี้แล้วยังมีการเผาผลาญแร่มีค่าที่หายากด้วยเช่นกัน ชนิดที่ว่ามีการพลิกพื้นทวีปขุดกันเลยทีเดียว ซึ่งแร่ที่หายไปตัวแรกนั้นคือ ยูเรเนียม สิ่งนี้เป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมยุคของเรย์ในตอนนี้จึงไม่มีการใช้งานโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์มาหลายร้อยปีแล้ว
แม้สงครามที่เกิดขึ้นจะทำลายหลายสิ่ง แต่พวกเขาคนรุ่นหลังก็ต้องใช้ชีวิตกันต่อไป
รถหุ้มเกราะขับมาเรื่อย ๆ ในบางจุดจะมีต้นไม้ขึ้นอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก เพราะสภาพส่วนใหญ่ที่นี่เป็นหินและดินแข็งยากที่น้ำจะซึมผ่านและต่อให้ซึมผ่านไปได้ดินก็ไม่สามารถอุ้มน้ำได้ดีพอ มันจึงยากที่ต้นไม้จะมีชีวิตอยู่รอดได้
เรย์มองออกไปนอกรถไกลออกไปแถบเนินสูง บริเวณนั้นมีกังหันลมขนาดใหญ่ ซึ่งมีระดับความสูงประมาณ 80 เมตร มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 30 ต้น แต่ละต้นผลิตกระแสไฟฟ้าได้ราว ๆ 1.5 เมกกะวัตต์ เป็นแห่งพลังงานไฟฟ้าให้กับอุตสาหกรรมเหมืองของเมืองเรซีโดยเฉพาะ
“เรากำลังจะถึงเมฟเคียแล้ว” โบเวนกล่าวออกมา ขณะที่ความเร็วของรถชะลอตัวลง เบื้องหน้าของพวกเขานั้นเป็นเทือกเขาที่ชื่อว่า เมฟเคีย เป็นเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยภูเขาประมาณ 10 ลูก การนักสำรวจพวกเขาสันนิษฐานว่าภูเขาทั้งสิบนั้นดันตัวขึ้นมาจากใต้ดินที่ลึกลงคาดการกันว่ามันเกิดขึ้นในช่วงสงครามครั้งหลังสุด แต่รายละเอียดไม่มีใครรู้แน่ชัด
และนั้นคือเหตุผลที่มันมีแร่โลหะ ทองแดงจำนวนมาก แน่นอนว่ายังมีทองคำและอัญมณี เพชร พลอยอื่น ๆ อยู่ แต่นับเป็นเพียงส่วนน้อยไม่ถึง 0.1 เปอร์เซ็นต์ของแร่ที่ขุดได้เท่านั้น
ส่วนเหมืองที่พวกเขาตามหาอยู่นั้นก็ตั้งอยู่ที่เทือกเขาเมฟเคียแห่งนี้
รถหุ้มเกราะหกล้อขับเข้ามาด้านในภูเขาก็เผยให้เห็นเหมืองเมฟเคียมันตั้งชื่อตามเทือกเขา เหมืองเมฟเคียมีลักษณะคล้ายกับเมืองขนาดเล็กลงมา ซึ่งเทียบกันก็ประมาณ หนึ่งในสิบของเมืองเรซีและส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยโกดังขนาดใหญ่มากมาย
ที่เทือกเขาแห่งนี้ภูเขาประมาณ 5 ลูกเท่านั้นที่กลุ่มบริษัทเคลินเนีย กรุ๊ปได้ทำการขุดโดยตรง ส่วนที่เหลืออีก 5 พวกเขาปล่อยเช่าให้บริษัทเล็ก ๆ ที่รวมตัวกันเข้ามาขุด
การกระทำของกลุ่มบริษัทเคลินเนีย กรุ๊ปนั้นคือการไม่พยายามผูกขาดทรัพยากรของเทือกเขานี้ เพราะในยุคนี้มันไม่ได้เหมือนเมื่อยุคก่อน ๆ กลุ่มบริษัทเคลินเนีย กรุ๊ป ต้องการพันธมิตร เพื่อกดดันกับอาณาจักรรอบ ๆ โดยเฉพาะอาณาจักรลัวอา หลายอย่างนั้นซับซ้อนมากกว่าที่ตาเห็น
ตอนนี้เป้าหมายของทีมคอนราดในครั้งนี้ คือหนึ่งในภูเขาของกลุ่มบริษัทเคลินเนีย กรุ๊ป
การมาถึงของรถหุ้มเกาะหกล้อนั้นดึงดูดความสนใจทุกคน ทั้งทหารของเมืองเรซีที่เฝ้าอยู่ที่เหมืองและคนงานที่อยู่ด้านในก็ให้ความสนใจ
แต่หลังจากโบเวนส่งบัตรสีดำใบเดิม พวกเขาก็ผ่านเข้าประตูเหมืองที่ทำจากโลหะหนาไปได้อย่างง่ายดาย
เวลาห้าทุ่มกว่ารถหุ้มเกราะของทีมคอนราดก็มาจอดด้านหน้าสำนักงานเมืองเมฟเคียของบริษัทเคลินเนีย กรุ๊ป
เมื่อรถหยุดลงคอนราดก็หันมาสั่งกับโบเวนว่า “ฟาริสติดต่อกลับไปที่โรงแรมนักล่าด้วยว่าเรามาถึงแล้ว ส่วนเรย์และโบเวนตามผมมา”