ตอนที่ 38 ประลองกฎฟ้า 1
***ในการเดินหมากแต่ละครั้ง ก่อนเริ่มพวกมันจะต้องทำการเสี่ยงทางหมากก่อนเสมอ ผู้ที่ทำการเดินหมากก่อนนั้นจะมีความได้เปรียบกว่ามาก จนทำให้เหวยฉีในยุคปัจจุบันมีการให้แต้มต่อแก่ผู้ที่วางหมากเริ่ม
เมื่อจ้าวหยางมองดูเม็ดหมากที่หนิงเทียนดีดออกมา ตกลงบนศิลาเหล็ก มันจึงหวนนึกขึ้นได้ว่าการเดิมพันนี้ สำคัญมากเพียงใด และ ผู้ที่วางหมากก่อนนั้นจะกุมความได้เปรียบกว่า
จ้าวหยางเห็นเม็ดหมากล้อมที่กำลังใกล้หยุดนิ่ง ส่วนหงายที่เป็นรูขรุขระกำลังคว่ำลงกับพื้นกระดานเหล็ก มันจึงกราดฝ่ามือฟาดออกด้วยลมปราณแผ่พุ่งพลังบังคับเม็ดหมากให้พลิกตลบ
กลายเป็นด้านเรียบเสมอคว่ำลงเผยให้เห็นด้านขรุขระเป็นรูขึ้นมาแทนที่เป็นสัญญาบ่งบอกแก่ทุกสายตาว่า มันนั้นจะเป็นผู้ที่เริ่มวางหมากก่อน
หนิงเทียนเห็นเช่นนั้นมันไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ มันเพียงแต่กล่าวออกอย่างขบขัน
“เจ้านั้นชอบด้านดำขรุขระเหมือนหน้าเจ้าเสียจริง ถึงขนาดยอมทำให้มันพลิกกลับขึ้นมา ฮ่าๆ”
เมื่อได้ยินคำกล่าวออกของหนิงเทียน เสียงหัวเราะดังลั่นออกจากกลุ่มผู้ชมทั้งหมด ราวกับได้ฟังเรื่องที่น่าขบขัน
เวลานี้ใบหน้าที่ขาวซีดประกอบกับดวงตาจิ้งจอกของจ้าวหยางแปรเปลี่ยนสีขึ้นมาด้วยความโกรธ ภายในจิตใจของมันไม่ได้คำนึกถึงการวางหมากแรกเลยแม้แต่น้อย
มันหมายต้องการจะใช้ฝ่ามือกระแทกไปยังศีรษะของไอ้เด็กบ้าหนิงเทียนอยู่เต็มอก
ขณะเดียวกันเสียงผ่านลมปราณของซินเฉาได้ดังขึ้นมาเตือนสติของจ้าวหยาง
“เด็กนี้เป็นพวก กลอกกลิ้งจนกลมเกลี้ยง มันตั้งใจกล่าววาจากระตุ้นโทสะของเจ้า อย่าได้หลงกลมันจนไม่มีสมาธิเด็ดขาด”
พอได้ฟังเช่นนั้น จ้าวหยางจึงสงบสติลง มันกล่าวออกว่า “สารเลว เมื่อข้าชนะการประลองนี้ เจ้าจะได้พบเจอนรกที่อยู่บนพื้นดิน”
เมื่อกล่าวจบจ้าวหยางล้วงมือหยิบศิลาสีดำที่สร้างมาเพื่อเป็นเม็ดหมากในการประลองขึ้นมา พิจารณาอยู่ชั่วครู่ มันจึงเปิดฉากรบของหมากกระดานทันที
หมากตานี้ของจ้าวหยางส่งเสียงฮือฮาในกลุ่มผู้ชมไม่น้อย ผู้คนส่วนมากที่เดิมพันฝ่ายจ้าวหยางนั้นยิ้มออกมาด้วยความพอใจ พวกมันพึงพอใจอย่างมากที่จ้าวหยางนั้นเริ่มจู่โจมตั้งแต่แรกเริ่มของกระดาน
ในส่วนของหนิงเทียนยังคงแสดงความเยือกเย็นเอาไว้ ไม่ได้สนใจหมากที่เดินบุกเข้ามา มันเพียงวางศิลาขาว ร่างโครงสร้างตามหลักพื้นฐานเอาไว้แน่นหนาหมายที่จะตั้งรับอยู่ที่กระดานฝั่งซ้าย
ช่วงต้นกระดาน หนิงเทียนยังคงตั้งรับแน่นอย่างเยือกเย็น มันเน้นการขยายพื้นที่หมายรออีกฝ่ายบุกเข้ามาอย่างเพลี่ยงพล้ำ
ส่วนหมากดำของจ้าวหยางนั้นเคลื่อนที่บุกทะลวงอย่างเดือดดาน มันโหมกระหน่ำบุกทั้งซ้ายและขวาอย่างบ้าคลั่งราวกับพายุ ทางหมากของจ้าวหยางนั้นตรงตามภาพลักษณ์และนิสัยของมันอย่างชัดเจน
ในการเริ่มวางเม็ดหมากรุกรับเพียงไม่นาน สีหน้าและสายตาของ ทั้งเกาซุนและซินเฉานั้นผิดแปลกออกไป
หมากขาวของหนิงเทียนที่โดนรุกไล่ราวพายุโหมกระหนำนั้นแต่ก็ยังไม่แสดงความเพลี่ยงพล้ำออกมาแต่อย่างใด
ภายในใจของพวกมันทั้งคู่นั้นคิดตรงกันเป็นเสียงเดียวว่า ‘เด็กนี้ไม่ใช่มือใหม่ที่พึ่งจะเล่นกระดานเหล็กหยินหยางเป็นครั้งแรก’
ในขณะที่หมากขาวของหนิงเทียน สร้างพื้นที่อย่างมั่นคงมันกลับถูกหมากดำรุกไล่ที่ละคืบจนต้องถอยร่นไปยังท้ายกระดาน
หนิงเทียนนั้นต้องถอยหมากขาวออกเพื่อยอมสละพื้นที่เพื่อรักษาจำนวนเม็ดหมากขาวให้เหลือรอด
แม้มันจะเสียพื้นที่ไปบ้าง แต่หมากขาวนั้นยังไม่ได้ถูกหมากดำฆ่าเลยแม้แต่เพียงเม็ดเดียว
“ไม่ดีแน่ ถ้าน้องชายหนิงยังคงถอยร่นอยู่เช่นนี้ จะต้องพบจุดตันของลมหายใจเข้าสักตา” หลานเหลียงพึมพำอย่างวิตก
“เจ้าโง่นั้น เสียจำนวนหมากในพื้นที่ด้านซ้ายอย่างเสียเปล่า”เหลียวเหยียนกล่าวออกกับพี่ใหญ่ของมัน
“ตัดลมหายใจมันให้สะบั่น”เสียงอันราบเรียบของซินเฉาตะโกนดังออกมาเตือนสติจ้าวหยาง
จ้าวหยางเห็นเช่นนั้นมันจึงวางหมากดุจ มังกรคะนองที่กำลังโบยบินเพื่อล่าเหยื่อ
ในส่วนหนิงเทียนพยามใช้กลวิธีซ่อนหมากราวกับพยัคฆ์หมอบ
น้ำเสียงที่เหยียดเย้ยของจ้าวหยางเปล่งออก“เจ้าโง่ มังกร กับ พยัคฆ์นั้นแค่เพียงเชื้อสายของเผ่าพันธุ์มันก็ไม่สามารถเทียบกันได้ ผลที่ออกมามันเห็นๆกันอยู่แล้ว”
หมากมังกรคะนองของจ้าวหยางนั้นมิได้จู่โจมเพียงแต่ในกระดาน มันกลับแฝงพลังแผ่พุ่งราวมังกรที่ทะยานขึ้นสู่ฟ้า เข้าใส่หนิงเทียนด้วยเช่นกัน
หนิงเทียนหาได้สนใจมังกรน้อยที่พุ่งออกมาไม่ มันพลันเร่งปราณเทพอสูรปกคลุมร่างกายไว้แน่น แต่ถึงร่างกายมันจะไม่ได้รับผลกระทบใด แต่ทางหมากในกระดานนั้นหาใช่เช่นนั้นไม่
หมากขาวของหนิงเทียนเริ่มที่จะถูกไล่ล่าฆ่าฟันไปทีละตัว จากตรงกลางและขวาถูกหมากดำทะลวงสิ้น
ถึงเช่นนั้นหนิงเทียนก็ยังถอยร่นหมากขาวลงมาอีก
เวลานี้หนิงเทียนต้องการเพียงสร้างพื้นที่รอดแก่หมากขาวให้ได้มากที่สุด กระดานเหล็กหยินหยางที่กว้างใหญ่เวลานี้มันกลับเหลือพื้นที่ให้หมากขาวเพียงไม่ถึงสิบตารางช่อง
เวลานี้หลี่เฟิงไร้ซึ่งเสียงพูดได้ มันเพียงแต่มองดูกระดานเหล็กหยินหยางอย่างเงียบเชียบ พลันกำนิ้วมือทั้งห้าแน่นอย่างลืมตัว
เกาซุนพยักหน้า แม้มันจะไม่ชอบนิสัยเอาแต่ใจของจ้าวหยางมากนักแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมญาติผู้หลานของมัน
ถ้านี้เป็นการประลองอย่าเป็นทางการในเมืองฉางผิงละก็ กลหมากมังกรคะนองของจ้าวหยางต้องได้รับจาลึกไว้เป็นแน่
แม้ว่าจ้าวหยางจะไม่ได้มีพรสวรรค์ที่ในด้านการฝึกตนจนถูกเรียกเป็นอัจฉริยะก็ตาม แต่ในสำหรับกระดานเหล็กหยินหยางนั้นจ้าวหยางนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะในฉางผิงคนหนึ่ง
มันสามารถเป็นแม่ทัพที่ช่วงชิงเมืองข้าศึกได้โดยเพียงนั่งบรรเลงเพลงหมากอยู่หน้ากระดานโดยมิต้องออกรบเสียด้วยซ้ำ
หลานเหลียงที่มองการประลองอย่างไม่กระพริบตานั้น เวลานี้มันปิดตาทั้งสองข้างลงราวกับมันกำลังทำใจยอมรับในสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายหน้า
“เจ้าเด็กที่ถือหมากขาวเอาแต่ถอยเหมือนคนขี้ขลาด ข้านั้นไม่น่าหลงกลท่านเกาซุน วางเดิมพัน1ต่อ10ในข้างมันเลย” เสียงของผู้คุ้มกันอาวุโสในแดนแห่งปราชญ์คนหนึ่งดังขึ้น
ผู้คุ้มกันที่อยู่ในดินแดนแห่งปราชญ์อีกคนหนึ่งกล่าวตอบ “เด็กน้อยสกุลจ้าวนั้น เก่งกาจเกินเด็กไปแล้ว”
เสียงของผู้คนนับสิบดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน จับใจความได้เป็นเสียงเดียวว่า จ้าวหยางผู้นี้ในอนาคตต้องกลายเป็นแม้ทัพที่ยิ่งใหญ่ได้แน่นอน
ตอนนี้สถานการณ์เข้าสู่ช่วงกลางกระดานก็จริงแต่ทางหมากของหนิงเทียนนั้นเห็นได้ชัดว่ามันสามารถเดินได้อีกไม่ถึงสามตาเท่านั้น
หนิงเทียนไม่ได้ใส่ใจกับเสียงรอบข้างที่ดังขึ้น มันเพียงแต่ตั้งสมาธิมองไปยังกระดานเหล็กเท่านั้น
แต่ที่น่าแปลก ถ้ามีผู้ใดสังเกตเห็นนัยน์ตาสีดำที่กลอกกลิ้งไปมาของหนิงเทียนได้ มันจะต้องสงสัยว่าเหตุใด
เด็กคนนี้ถึงไม่มองไปยังหมากขาวของมันเลยแม้แต่น้อย มันกลับเพียงแต่จับจ้องหมากดำที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้น
เพี้ยะ!! เสียงของศิลาขาวถูกวางลง หมากเม็ดนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม หนิงเทียนยังคงใช้มันเป็นทางถอยอีกครั้ง
ในการวางหมากเช่นนี้ จ้าวหยางที่ตั้งสมาธิอยู่แต่กับการประลองในกระดานยังอดยิ้มหยามออกมาไม่ได้ มันกล่าวอย่างถือดี
“เจ้าขยะ เจ้าไม่กล้าเผชิญหน้ากับหมากดำของข้าเลยสักครั้งจนถึงคราวสุดท้ายเจ้าก็ยังคงล่าถอยเหมือนสุนัข”
หนิงเทียนหาได้สนใจไม่ เพี้ยะ!! เสียงของศิลาขาวถูกวางลงอีกเป็นครั้งนี้สอง
หนิงเทียนเหลือทางเดินอีกเพียงก้าวเดียว ก่อนที่กองทัพสีขาวของมันจะถูกบีบบังคับให้ล่วงลงสู่หน้าผา
เพี้ยะ!!! เสียงหมากสีดำในมือจ้าวหยางถูกวางลง
กองทัพสีดำของจ้าวหยางก้าวมาด้านหน้าราวกับว่า อีกแค่เพียงก้าวเดียว มันจะได้เข่นฆ่าทัพสีขาวของหนิงเทียนให้สิ้นซาก
ผู้คนที่กำลังมองดูอย่างไม่กระพริบตา บัดนี้มันแปรเปลี่ยนเป็นถอนหายใจออก แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้เห็นการปะทะของสองทัพดำขาวอย่างสนุกสนาน
แต่ส่วนใหญ่ก็อดที่จะชื่นชมหนิงเทียนไม่ได้ การที่แดนมนุษย์ทนกับความกดดันและพลังปราณที่แฝงออกมาจากเม็ดหมากแต่ละเม็ดได้และยังคงครองสติจนถึงหมากสุดท้ายของการประลองได้นับว่าเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ใจมากพอแล้ว
ผู้ที่เดิมพันข้างหนิงเทียนยัง อดไม่ได้ที่จะชื่นชมออกแม้ว่าพวกมันจะต้องสูญเสียเหรียญทองไปบ้างก็ตาม
“ฮ่าฮ่าๆๆ”เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของจ้าวหยางดังขึ้น มันกล่าวออกแก่หนิงเทียน
“ถึงแม้ข้าจะเกลียดหน้าเจ้าอยู่มากมายนั้น แต่ข้าก็คงต้องขอบคุณเจ้าที่ทำให้กลศึกมังกรคะนองของข้าสมบูรณ์แบบ
ถ้าการประลองนี้เกิดขึ้นภายในเมืองฉางผิง ผู้คนทั่วหล้าจะต้องกล่าวสรรเสริญยกย่องตัวข้าเป็นแม่ทัพผู้ชาญศึก
แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ข้าให้สัญญากับเจ้าแล้วกันว่าข้าจะใช้1ล้านเหรียญทองของเจ้าอย่างมีความสุข”สิ้นเสียงกล่าวมันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกคร่าใหญ่
ในกลุ่มของผู้คนนับร้อยที่มุงมองอยู่นั้น จู่ๆมีเสียงดังขึ้นมา โดยไม่สามารถบอกได้ว่ามันดังมาจากผู้ใดกันแน่ “เฮ้ เจ้าว่าหมากดำดูแปลกๆหรือไม่”
“เจ้าโง่ มังกรคะนองที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้จะแปลกอันใดได้” เสียงตะโกนตอบดังขึ้นมา
นี้เป็นการสนทนา ที่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักกัน มันเป็นแค่เพียงเสียงที่ตะโกนลั่นออกมาเท่านั้น
“ก็จริงของเจ้า ข้าก็ว่าหมากดำนั้นดูแปลกๆไป”
“หืมม์ เหตุใดทัพหมากดำ ถึงมีแต่ทัพหน้าและทัพหลัง? พวกมันไม่ได้มีทัพกลางคอยเชื่อมหรืออย่างไร”
“ไม่เพียงแต่หมากดำดูแปลกไปเท่านั้น ลองดูหมากขาวที่เจ้าหนุ่มนั้นวางไว้ในตอนเริ่มกระดาน เหตุใดถึงเกาะกลุ่มกันอย่างโดดเดี่ยวเช่นนั้น”
เมื่อได้ยินเสียงสนทนาของผู้คนแปลกหน้ามากมาย
ซินเฉา หลี่เฟิงและหลานเหลียง ทั้งสามหันกลับไปมองยังกระดานหมากอีกคร่าหนึ่ง
ใบหน้าของพวกมันปรากฏอาการที่ต่างออกไปอย่างชัดเจน บนกระดานเหล็กหยินหยางนั้น ปรากฏภาพทัพสีดำของจ้าวหยางบุกไล่จนทัพสีขาวของหนิงเทียนหมดซึ่งทางถอย
แม้ว่าทัพขาวนั้นจะเข้าปะทะกับทัพดำอย่างไร้ซึ่งสามัญสำนึกใดก็ตาม ด้วยจำนวนเพียงเล็กน้อยนั้นจะทำให้ผลของการประลองถูกตัดสินโดยทันที
แต่ถ้ามองไปในภาพรวมหมากสีขาวของหนิงเทียนที่วางไว้ในด้านซ้ายอย่างไร้ประโยชน์ตั้งแต่แรกเริ่มของกระดาน
แม้มันจะเป็นเพียงจำนวนที่น้อยนิดก็ตามกลับแต่ตอนนี้มันได้แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ที่แหลมคมขึ้นมาทันที
ในขณะที่หมากดำของจ้าวหยางที่รุกไล่ราวมังกรนั้น กลับเกิดความไม่สมดุลในกลหมากขึ้น
ทัพหน้าที่เข้าจู่โจม กับทัพหลังของมันขาดการเชื่อมต่อกันอย่างไร้สาเหตุ
ในกลุ่มผู้มีปัญญาชนกล่าวขึ้นอย่างเป็นปริศนาว่า “หรือ...หรือว่าที่เจ้าเด็กแดนมนุษย์นั้นยินยอมให้จ้าวหยางเดินก่อน เพียงหวังผลเช่นนี้”
สีหน้าของเกาซุนนั้นเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวราวกับพบเจอภูตผีก็ไม่ปาน ‘ที่มันยอมให้จ้าวหยางวางหมากก่อนเพียงเพราะต้องการเห็นเส้นทางก่อทัพอย่างนั้น?’
จ้าวหยางที่พึ่งจะรู้สึกตัว มันมองไปยังกองทัพดำของมันอย่างตื่นตระหนก
แม้ภาพภายนอกของมันที่คนอื่นเห็น จะเป็นการบุกอย่างมุทะลุดุดันก็จริง แต่ทุกๆก้าวหมากของมันนั้นเดินด้วยความรอบครอบอย่างที่สุด
แต่เช่นนั้น มันก็ไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุใดหมากสีดำของมันในทัพหน้ากลับถูกตัดขาดจากทัพหลังเช่นนั้นได้
และหมากสีขาวของหนิงเทียนไปจ่ออยู่ด้านหลังทัพขวาของมันได้อย่างไร เวลานี้จ้าวหยางอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนก็ไม่เข้าคายก็ไม่ออก
ถ้ามันเดินหน้าถล่มต่อไปมันจะทำลายทัพขาวของหนิงเทียนลงได้แต่ว่ามันนั้นไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะในศึกของทัพหลังได้
ครั้นจะเชื่อมต่อทั้งสองทัพกลับเข้าหากัน ก็กินเวลานานเกินไปไม่ทันการ
จ้าวหยางรู้สึกตัวแล้วว่ามันไม่สามารถกลืนกินทัพหน้าของหนิงเทียน พร้อมช่วยทัพหลังของมันได้ในเวลาเดียวกัน
ใบหน้าของจ้าวหยางบิดเบี้ยวอย่างชัดเจน ชัยชนะที่มันกำอยู่ในมือบัดนี้จางหายไปแล้ว ถ้ามันมุทะลุจะหักเอาชัยทั้งหน้าและหลังในคราวเดียวกัน
มันอาจจะต้องพบกับความชิบหายทั้งสองทัพเป็นแน่ แต่ถ้ามันเลือกทิ้งทัพหลังเพื่อเอาชนะในทัพหน้า หมากกระดานนี้ก็ต้องกลับมาเริ่มกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ภายในหัวของมันครุ่นคิดอย่างบ้าคลั่ง แต่เช่นไรการเดิมพันนี้ก็มีค่ามากเกินไป มันไม่สามารถที่จะเสี่ยงเอาชัยทั้งสองทัพได้
มันตัดสินใจที่จะทิ้งทัพหลังของมันไปอย่างจนใจ
อย่างไรเสียกำลังของมันนั้นก็ยังมากกว่า ถ้าต้องเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
จ้าวหยางหยิบศิลาดำของมันขึ้นมาด้วยโทสะ มันบีบจนศิลาสีดำนั้นเกิดรอยร้าว การเดินของมันครั้งนี้คล้ายกับเป็นการป่าวประกาศออกไปว่า
มันนั้นตกหลุมพรางที่ศัตรูขุดไว้ ศักดิ์ศรีของมันนั้นกลับถูกเด็กในแดนมนุษย์เล่นตลกเอา ก่อนที่เม็ดหมากของมันจะกระทบกลับกระดานเหล็ก
เสียงหัวเราะที่น่าเกลียดที่สุดเท่าที่จ้าวหยางเคยได้ยินได้ฟังมาในชีวิตนี้ก็ดังขึ้น
“ฮ่าๆฮ่าๆๆ”หนิงเทียนหัวเราะเยาะเย้ยมันอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าของหนิงเทียนที่มองไปยังจ้าวหยางเต็มไปด้วยความดูถูกพร้อมกล่าวออกมาเสียงดัง
“เอาเลยสิ ยอมสละทัพหลังของเจ้าให้ข้าเสียแล้วเรามาเริ่มต่อสู้กันอีกคำรบหนึ่ง แต่เจ้าจงสลักคำพูดของข้าไว้ในจิตให้ดี
ถ้านี้คือการศึกที่แท้จริงแล้ว เวลานี้ลูก เมียและครอบครัวทั้งหมดของเจ้าจะตกอยู่ในกำมือของข้า
พวกมันจะตายตกอย่างไร้ดินกลบหน้าเพียงเพราะเกิดจากความโง่ของเจ้าที่หลงกลศึกของข้า”
หนิงเทียนยังคงกล่าวต่อ “เจ้าจงรีบวางหมากนั้นเสียแล้วป่าวประกาศออกไปว่าจ้าวหยางเป็นคนโง่ที่ไร้เกรียติมากเพียงใด
เจ้าต้องการเป็นแม่ทัพ? แม่ทัพที่ไม่สามารถปกป้องแม้แต่ทัพหลังของตัวเองได้อย่างเจ้า สมควรหรือที่จะเป็นแม่ทัพที่ให้ลูกน้องไว้วางใจได้?
ฮ่าฮ่าๆ ข้านั้นเสียดายจริงๆที่การประลองนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในเมืองฉางผิงอย่างที่เจ้าต้องการ ไม่เช่นนั้นผู้คนมากกว่านี้จะได้เห็นความน่าสมเพชของเจ้า”
กล่าวจบมันหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง มันมีคำกล่าวที่ว่าหัวเราะที่หลังนั้นดังกว่าเสมอ