ตอนที่ 37 เดิมพันด้วยสิ่งนี้
หลี่เฟิงเห็นท่าทีเช่นนั้นมันได้แต่รอบถอนหายใจออกมา “ไม่เป็นไรน้องชายหนิง อย่างไรข้าก็จะเดิมพันข้างเจ้าเอง”
หนิงเทียนถามออก “การเดิมพันกฎฟ้านั้นมากมายเพียงใด”
“ถ้าเป็นเรื่องทรัพย์สิน อย่างน้อยสุดก็หนึ่งแสนเหรียญทอง”
ในพื้นที่ราบภาคกลางกลุ่มผู้มีอำนาจระดับสูงพวกมันใช้กระทั่งเมือง สำนักหรือแม้แต่นิกายเป็นเครื่องเดิมพันในการประลองกระดานเหล็กหยินหยาง
หลี่เฟิงกัดฟันแน่น “น้องชายหนิงไม่ต้องหวง ข้านั้นพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง ข้าจะเดิมพันแทนเจ้าเอง”
หนึ่งแสนเหรียญทองคือเงินเก็บทั้งชีวิตของหลี่เฟิง โดยการคุ้มกันของมันหนึ่งครั้งจะได้ราวๆ1-2ร้อยเหรียญทอง
กระทั่งงานที่อันตรายอย่างมากเช่นครั้งนี้ มันยังได้รับค่าจ้างเพียงแค่ 1หมื่นเหรียญทองเท่านั้น
หนิงเทียนมองดูหลี่เฟิงที่กำลังว้าวุ่นอยู่กับเรื่องเงินอยู่นั้น จึงกล่าวออกมาด้วยเสียงราบเรียบ
“พี่ชายหลี่ แกนแท้สัตว์อสูรลมปราณขั้น3 มีราคาเท่าใด?”
“น้องชายแกนแท้ของสัตว์อสูรในแดนวีรชนนั้นมีค่าถึง 1หมื่นหินลมปราณระดับต่ำหรือเทียบเท่าเหรียญทอง1ล้านเหรียญ”
หลี่เฟิงรู้สึกงุนงงกับคำถามของหนิงเทียนเป็นอย่างมาก มันไม่เข้าใจว่าในเวลาเช่นนี้เหตุใดหนิงเทียนจึงถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องออกมา
แกนแท้ลมปราณของสัตว์อสูรระดับ3นั้น ส่วนใหญ่จะใช้สำหรับบ่มเพาะพลังฝึกตนของผู้ที่อยู่ในดินแดนวีรชน จึงทำให้มันมีราคาสูงมากสำหรับผู้ฝึกตนในดินแดนที่ต่ำกว่าวีรชนลงไป
“พี่ชายหลี่ ข้ามีเรื่องที่ต้องให้ท่านรับปากข้า” หนิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เราเป็นเช่นพี่น้อง มีเรื่องอะไรที่ข้าจะไม่รับปากเจ้า”หลี่เฟิงกล่าวพลางตบไปที่อกของมัน
“ข้ามีของสิ่งหนึ่งให้ท่านนำไปเดิมพัน แต่ท่านต้องไม่ถามอะไรข้า อีกทั้งยังห้ามบอกใครด้วยว่ามันเป็นของข้า”
หลี่เฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ของสิ่งใดกันที่น้องชายหนิงต้องทำให้มากเรื่องเช่นนี้
มันคิดจะถามออกไปก็พลันนึกถึงคำกล่าวเมื่อครู่ ของหนิงเทียนว่า ไม่ต้องถาม มันจึงกลืนคำพูดลงไปพร้อมทั้งพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
หนิงเทียนแสร้งใช้มือขวาล้วงเขาไปในแขนเสื้อด้านซ้าย ก่อนจะส่งเสียงผ่านลมปราณ ‘อู๋ชางนำแกนแท้แรดหลังเหล็กมาให้ข้า’
‘ได้เลยคุณชาย’ราชาภูตตบปากรับคำโดยไว เพียงชั่วครู่แกนแท้ของแรดหลังเหล็กก็ปรากฏในมือของหนิงเทียน
“พี่ชายหลี่ ท่านโปรดจำคำกล่าวของข้าให้ดี”เมื่อมันกล่าวจบมันยื่นแกนแท้ของสัตว์อสูรระดับ3ให้แก่หลี่เฟิง
ในคร่าแรกหลี่เฟิงรับมาอย่างไม่ใสใจอันใด แต่เมื่อมันพิจารณาดูด้วยตาแล้ว ดวงตาของมันเปิดกว้าง ราวกับจะกระเด็นออกมา มือของมันสั่นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้
แต่เป็นเพราะคำกล่าวของหนิงเทียนมันจึงไม่กล้าถามอะไรออกมา มันทำได้เพียงเก็บข้อสงสัยที่ราวกับจะทับถมลงบนหน้าอกของมันจนขาดอากาศหายใจ
ด้วยเหตุการณ์ที่หนิงเทียนได้ช่วยมันไว้ รวมทั้งแกนแท้อสูรปราณขั้นที่3ที่ตอนนี้อยู่ในมือของมัน
ภายในใจของหลี่เฟิงนั้นลงความเห็นเป็นแน่แท้แล้วว่า น้องชายหนิงผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
มันใช้เวลาอยู่เกือบยี่สิบลมหายใจก่อนจะปรับอารมณ์ให้เป็นปกติได้ มันจึงเอ่ยถามหนิงเทียน “ข้าต้องทำเช่นไรต่อไป”
“นำมันไปเดิมพัน ถ้าข้าชนะของสิ่งนี้จะเป็นของท่าน”หนิงเทียนกล่าวอย่างไร้อารมณ์
เมื่อได้ยินเช่นนั้นดวงตาหลี่เฟิงแย้มยิ้มออกมา มันไม่ได้ยิ้มออกเพราะแกนแท้อสูรลมปราณขั้นที่3
มันยิ้มขึ้นเพียงเพราะว่า แกนแท้อสูรลมปราณก้อนนี้จะทำให้มันได้ตอกหน้าจ้าวหยางได้อย่างสาสม
“ในเมื่อน้องชายหนิงไว้ใจ พี่ชายผู้นี้ก็จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” เมื่อการสนทนาของพวกมันทั้งคู่จบลง ทั้งสองเดินเข้าไปยังกลุ่มคนทันที
เมื่อเกาซุนเห็นเช่นนั้นมันจึงกล่าวเริ่มต้น “ข้านั้นไม่ต้องการกล่าวเช่นนี้ แต่ว่าการเดิมพันครั้งนี้ คงเป็นตามปกติไม่ได้
ถึงข้าต้องการให้มันเป็นการเดิมพันที่เท่าเทียมเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถที่จะเป็นไปได้
ข้าจึงจะเพิ่มกฎเข้าไปเล็กน้อย ผู้ทีเดิมพันฝั่งน้องชายหนิงเทียนจะได้รับเหรียญทองเพิ่มจากเดิม1ต่อ10”
ที่มันต้องกล่าวเช่นนี้ออกไปเป็นเพราะว่าถ้ามีการวางเดิมพันแต่ข้างจ้าวหยางอยู่ฝ่ายเดียว มันจะเรียกว่าเป็นการเดิมพันได้อย่างไร
1ต่อ10นั้นก็การหลอกล่อพวกโลภมากก็เท่านั้น เกาซุนนั้นรู้ดีว่าต่อให้มันกล่าวออกเป็น1ต่อ100คนส่วนใหญ่ก็แห่เดิมพันข้างจ้าวหยางมากกว่าอยู่ดี
มันเว้นช่วงเวลาให้ขบคิดกันอยู่ชั่วครูก่อนจะกล่าวต่อ“คุณชายซิน ท่านยอมรับหรือไม่”
ซินเฉากล่าวออกด้วยน้ำเสียงนิ่งเงียบ “เป็นเช่นนั้นนับว่ายุติธรรมแล้ว”
“เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงได้แล้ว ข้าขอให้พวกเจ้าเริ่มวางเดิมพันได้”
หนิงเทียนนั้นไม่ได้กล่าวอันใดออก มีเพียงแต่หลี่เฟิงที่ก้าวออกไปยืนอยู่ตรงกลาง ราวกับว่ามันนั้นเป็นตัวเอกในเหตุการณ์ครั้งนี้
“ข้าหลี่เฟิง เป็นตัวแทนของน้องชายหนิง ข้าขอเดิมพันด้วย1แสนเหรียญทอง”
เมื่อผู้คนที่อยู่รอบๆได้ยินเช่นนี้มันส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคำพูดที่กล่าววาจาสงสารแก่หลี่เฟิงเสียมากกว่า
“เจ้าขยะ เจ้ามีปัญญาเดิมพันเพียงขั้นต่ำเท่านั้นหรือ?”จ้าวหยางกล่าวออกอย่างดูถูก ซ้ำยังกล่าวต่ออีกว่า
“ข้านั้นจะเดิมพัน1แสนเหรียญทองตามที่เจ้าต้องการ ถ้าเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้.....”มันหยุดหัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับมันกำลังพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่
“ถ้าเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะยอมจ่ายให้ 1ล้านเหรียญทองเลย แต่ว่าเช่นนั้นคงยังไม่พอ
พี่ชายซินเฉาเองก็ต้องการเล่นสนุกครั้งนี้ด้วย เขาต้องการเดิมพันเพิ่มอีก2แสนเหรียญทอง
ข้าอยากรู้ว่ากลุ่มคุ้มกันตระกูลหลานจะกล้ารับหรือไม่ เจ้าพวกเปาเปียวชั้นต่ำ ฮาฮาฮา” เวลานี้มันพุ่งเป้าไปยังกลุ่มคุ้มภัยตระกูลหลานที่ยังนั่งเงียบอยู่
ได้ยินเช่นนั้นคิ้วของหลานเหลียง ขมวดชนกันทันที 2แสนเหรียญเงินนั้นไม่ใช่จำนวนน้อยๆ มันเทียบได้กลับรายได้ของตระกูลหลาน1ปีเต็มเลยทีเดียว
แต่ถ้ามันไม่ยอมรับเดิมพันต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ชื่อเสียงของตระกูลหลานจะยังมีอยู่อีกหรือ?
มันกัดฟันแน่น พร้อมกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก “ตระกูลหลานขอเดิมพัน2แสนเหรียญทองด้วยเช่นกัน”
“พี่ใหญ่หลาน ท่านโปรดตรองดูใหม่เถิด ไอ้เจ้าเด็กหนิงเทียนนั้นไม่มีทางชนะจ้าวหยางได้แน่นอน” เหลียวเหยียนกล่าวเตือนพี่ใหญ่ของมันอย่างเร่งร้อน
หลานเหลียงยกมือห้ามไม่ให้เหลียวเหยียนกล่าวอันใดต่อ เวลานี้มันไม่ใช่เรื่องของเงินเท่านั้นแต่มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีระหว่างสองสำนักคุ้มภัยที่สำคัญเป็นที่สุด
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าที่เรียบนิ่งไร้อารมณ์ของซินเฉากลับยิ้มขึ้นมาอย่างน่าหวาดกลัว
“เมื่อเจ้าตกลงกันได้แล้ว จงนำสิ่งเดิมพันออกมา”ในขณะที่เกาซุนกำลังกล่าวออก
เสียงของหลี่เฟิงดังแทรกขึ้นมาทันที “ข้านั้นมิได้บอกว่าจะเดิมพัน1แสนเหรียญทอง”
ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของผู้คนโดยรอบเต็มไปด้วยความดูถูก หลี่เฟิงผู้นี้เกิดกลัวถึงขนาดต้องการกลับคำพูดช่างไร้ซึ่งเกรียติเสียจริงๆ
จ้าวหยางหัวเราะอย่างดูถูก“ฮ่าฮ่าๆ หลี่เฟิงหนอหลี่เฟิง หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจเกิดเสียดายเงินเช่นนั้นหรือ”
“จ้าวหยางเจ้าได้ยินข้ากล่าวเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไร” มุมปากของหลี่เฟิงยกยิ้มขึ้น พร้อมทั้งกล่าวต่อ
“ใครๆก็บอกว่าเจ้านั้นเป็นคุณชายผู้ร่ำรวย เจ้ากล้าเดิมพันกับข้าด้วยของสิ่งนี้หรือไม่”
กล่าวจบมันหยิบแกนอสูรลมปราณขั้นที่3ออกมา กลิ่นอายลมปราณของมันคละคลุ้งไปทั่ว ดวงตาของผู้คนที่มองไปยังแกนอสูรเบิกกว้างจนแทบจะถล่นออกมา
เมื่อ แกนอสูรขั้นที่3 ปรากฏแก่สายตาผู้คนทั้งหมดด้วยของสิ่งนี้มันสามารถซื้อกิจการใหญ่ในเมืองฉางผิงได้อย่างสบาย มันสามารถเปลี่ยนฐานะผู้คุ้มกันให้กลายเป็นเฒ่าแก่ได้ภายในชั่วข้ามคืน
ในกลุ่มที่เดิมพันข้างจ้าวหยางสีหน้าของพวกมันแปรเปลี่ยนไปทันที ความไม่แน่ใจเริ่มก่อตัวขึ้นมา จะมีใครโง่นำของล้ำค่ามาเดิมพันทั้งๆที่รู้ว่าต้องแพ้
อย่างน้อยๆพวกที่จะทำเช่นนั้นได้ต้องมีความมั่นใจอยู่เกินครึ่ง
แม้กระทั่งเกาซุนเองก็ยังฉุกคิดขึ้นมา มันนั้นรู้จักหลี่เฟิงดี เจ้าเด็กนี้นับว่าเป็นคนที่ฉลาดคนหนึ่งมีหรือที่จะกล้าทำอะไรโง่ๆถึงเช่นนี้ได้อย่างไร
เหลียวเหยียนกล่าวออกอย่างแผ่วเบาราวกระซิบ “พี่ใหญ่หลาน เรื่องนี้ไม่ปกติแล้ว หลี่เฟิงนั้นมีของล้ำค่าเช่นนั้นได้อย่างไร หรือว่ามันจะขโมย....”
หลานเหลียงรีบกล่าวห้ามก่อนที่เหลียวเหยียนจะกล่าววาจาผายลมอันใดออกมา
เวลานี้ที่เอวของหลี่เฟิงมีเชือกที่ผูกติดกับตระกูลหลานเอาไว้ ตราบใดที่หลี่เฟิงล้มลงตระกูลหลานเองก็คงไม่ได้ยืนตรงอย่างแน่
ซินเฉาที่ยืนอยู่อย่างนิ่งเงียบนั้น ยังกล่าวออกมา “จ้าวหยางอย่าได้ประมาทพวกมันต้องวางเล่ห์กลเล่นงานเจ้าแน่”
จ้าวหยางกล่าวอย่างถือดี “อย่าได้ห่วงท่านพี่ ข้านั้นจะชนะแน่นอน”มันหันกลับไปกล่าวกับทหารแก่ด้านหลังมัน“พ่อบ้านจ้าว นำเงินออกมา1ล้านเหรียญ”
พ่อบ้านจ้าวรีบกล่าวออกมาอย่างหวาดกลัวในอารมณ์ของนายน้อยมัน“นายน้อย เวลานี้เราไม่มีเหรียญทองจำนวนมากขนาดนั้น”
“บัดซบ” มันใช้ฝ่ามือตบไปยังใบหน้าของพ่อบ้านจ้าว พร้อมหันหลังไปกล่าว “พี่ชายซินเฉา น้องชายขอรบกวนท่านเล็กน้อยได้หรือไม่”
“อย่าได้กล่าวเหมือนว่าเราเป็นคนห่างไกลกัน” กล่าวจบมันโยนแหวนมิติใปให้จ้าวหยาง
ตระกูลซินนั้นแม้จะไม่ได้เป็นสามตระกูลใหญ่ก็จริงแต่ความมั่งคั่งของมันไม่ต่างอะไรกับสามตระกูลเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งซินเฉานั้นเป็นถึงว่าที่จ้าวสำนักคนต่อไปด้วยแล้วจึงไม่แปลกอะไรที่มันมีเงินติดตัวมากมากเช่นนี้
เวลานี้แหวนมิติสี่วงที่ภายในอัดแน่นไปด้วยเหรียญทองนับล้านเหรียญนวางอยู่เบื้องหน้าพวกมัน
ขณะเดียวกันจ้าวหยางพลันก้าวออกไปหยุดอยู่ที่หน้ากระดานเหล็กหยินหยางก่อนจะกล่าวออกแก่หนิงเทียน “เจ้าขยะยังรีรออันใดอีก ยังไม่รีบมาอีก”
หนิงเทียนที่นั่งเงียบไม่เคลื่อนไหวอันใด มันไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะลุกขึ้นยืน “การประลองจะเริ่มได้อย่างไร ในเมื่อฝ่ายเจ้านำของเดิมพันออกมาไม่ครบ”
“บัดซบ เจ้าโง่นี่ไม่มีตาดูหรือไง”จ้าวหยางก่นด่าหนิงเทียนก่อนจะหันไปกล่าวแก่เกาซุน “ท่านอาเขยสั่งให้ทหารนับมันต่อหน้าผู้คน ให้ไอ้เด็กโง่นี้ดู”
เกาซุนถึงกับระบายลมหายใจออกมา “ในเมื่อน้องชายหนิงยังไม่วางใจ ข้าจะให้คนนำมันออกมาดู”
หนิงเทียนส่ายศีรษะแล้วจึงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย็น“ฝ่ายข้าเดิมพันเหรียญทอง3แสนเหรียญและยังมีแกนอสูรลมปราณขั้น3ถูกต้องหรือไม่
มันไม่รอคำตอบใดๆ หนิงเทียนกล่าวต่อทันที "แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงวางเดิมพันออกมาเพียง13แสนเหรียญทอง
ด้วยอัตรา1ต่อ10ที่พวกเจ้ากล่าวกันเองนั้น ไม่ใช่ว่าข้าต้องเห็นเหรียญทอง 13ล้านเหรียญหรืออย่างไร”
เมื่อได้ยินถึงเหรียญทองจำนวนมหาศาลเช่นนั้น พวกมันถึงกับตกตะลึง 13ล้านเหรียญทองนั้นเป็นงบประมาณหนึ่งเดือนของเมืองฉางผิงทั้งเมืองเลยทีเดียว
เดิมทีผู้คนโดยรอบนั้นคิดว่าครั้งนี้เป็นการเดิมพันกันเล็กน้อยของเด็กๆเท่านั้น แต่ในเวลานี้พวกมันนั้นแปรเปลี่ยนความคิดทันที
“เจ้า...” จ้าวหยางไม่สามารถกล่าวอันใดออกมาได้ ในเวลานี้แค่เหรียญทอง1ล้านเหรียญมันยังต้องหยิบยืมซินเฉามาใช้ก่อนเลย แล้วนี้13ล้านเหรียญทองพวกมันจะไปหาที่ใดกัน
ด้วยความมั่นใจอย่างสูงของจ้าวหยาง มันนั้นไม่คิดจะพ่ายแพ้แก่หนิงเทียนอยู่แล้ว
มันจึงกล้าที่จะเดิมพัน1ต่อ10อย่างไม่ใส่ใจ แต่มันไม่คิดว่า เจ้าเด็กนี้จะใช้คำพูดนั้นมาบังคับให้พวกมันแสดงทรัพย์สินที่มากมายเช่นนี้ออกมา
ซินเฉาดวงตาหรี่แคบเมื่อได้ยินคำพูดของหนิงเทียน
มันพิจารณาท่าทีของหนิงเทียนอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออก “ท่านเกา เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้กำลังบ่ายเบี่ยงการประลองอยู่”
เกาซุนนั้นเวลานี้มันเต็มไปด้วยความลำบากใจไม่คิดว่าสิ่งที่มันกล่าวออกไปนั้นจะกลับมาสร้างปัญหาที่วุ่นวายเช่นนี้
มันเพียงคิดถึงการเดิมพันที่ยุติธรรมแต่มันไม่ได้คาดคิดว่าเจ้าเด็กนี้จะเอาความยุติธรรมของมันมาเป็นเครื่องมือเล่นงานฝ่ายตรงข้าม
หนิงเทียนกล่าวออกอย่างไม่ใส่ใจ “ข้านั้นบ่ายเบี่ยงอย่างไรเป็นพวกเจ้าที่ไม่สามารถนำเงินออกมาเดิมพันได้
เอาเถอะข้าเองก็อยากออกกำลังกายเล็กน้อยอยู่บ้าง อย่างนั้นข้าจะยอมให้พวกเจ้าร่างสัญญาหนี้เป็นอย่างไร?
ถ้าพวกเจ้ายอมตกลงการประลองกระดานอะไรนี้จะได้เริ่มขึ้นสักที” เวลานี้แววตาของหนิงเทียนนั้นมองผ่านจ้าวหยางไป คำพูดของมันเจตนากล่าวถึงซินเฉาอย่างชัดเจน
คิ้วทั้งสองข้างของซินเฉาเวลานี้มันย่นลงมาชนกัน ใบหน้าที่ราบเรียบอยู่ตลอดเวลาเวลานี้กลับบิดเบี้ยวขึ้นมาทันใด ก่อนที่ซินเฉาจะได้กล่าวอะไรออกมา
เสียงคำรามลั่นของจ้าวหยางได้ดังขึ้น “ทำไมจะไม่กล้ารีบไปนำสัญญามา ข้าจะเป็นคนเขียนเองทั้งหมด” มันกล่าวออกด้วยความหยิ่งยโส
มุมปากของเกาซุนกระตุกทันที มันไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายถึงเพียงนี้
ถ้าจ้าวหยางชนะก็แล้วไป แต่ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาด้วยเงิน13ล้านเหรียญทองแล้วละก็เรื่องนี้คงจะไม่จบที่จ้าวหยางอีกต่อไป
มันจะสะเทือนไปถึงตระกูลจ้าวอย่างแน่ อีกทั้งสัญญาที่มาจากการประลองสามกฎฟ้า มันไม่ใช่สิ่งที่จะบอกว่าไม่จ่ายแล้วจะทำได้
เวลานี้ความเป็นกลางของเกาซุนแปรเปลี่ยนไปทันที ไม่ว่าอย่างไรการประลองกระดานเหล็กหยินหยางนี้ จ้าวหยางต้องเป็นฝ่ายชนะ
หนิงเทียนเวลานี้มันจับจ้องไปยังเกาซุนที่กำลังครุ่นคิดอยู่ มุมปากของมันยกออก
มันนั้นคาดเดาได้ว่าเกาซุนนั้นจะทำอย่างไร “ตราบใดที่ความเป็นกลางของมันหมดไป มันจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน”
หนิงเทียนลุกยืนอย่างเกียจคร้านเดินออกไปยังเบื้องหน้าของจ้าวหยาง “รีบๆเริ่มกันเถอะ”
ได้ยินเช่นนั้น เกาซุนได้ประกาศเริ่ม ในขณะที่แววตาของมันเปลี่ยนแปลงไป
ผู้คนทั้งหมดเงียบสงบไม่ส่งเสียงใดออกมา สายตาของพวกมันจับจ้องไปยังการประลองครั้งนี้อย่างตั้งใจ
“เจ้าสารเลวน้อย ข้าจะต่อให้เจ้า จงเลือกออกมาว่าจะเดินก่อนหรือหลัง”แม้ครั้งนี้จะเป็นการเดิมพันที่สูงมากแต่จ้าวหยางยังคงประมาทเหมือนเช่นทุกครั้ง
ทำให้เกาซุนที่มองดูถึงกับส่ายศีรษะ มันเอื้อมระอากับจ้าวหยางเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่จำเป็น” เมื่อสิ้นเสียง หนิงเทียนวาดมือพลางตะปบเม็ดหมากล้อมที่สร้างด้วยศิลาสีดำขึ้นมา พร้อมกล่าวออกว่า “ด้านนูนที่ขรุขระเป็นรูนี้ช่างคล้ายหนังหน้าของเจ้าเสียจริง”
“บัดซบ”จ้าวหยางตะโกนอย่างเดือดดาน มือขวาของมันพุ่งเร็วราวอสรพิษหมายจะหยิบแย่งเม็ดหมากสีดำในมือของอีกฝ่าย
หนิงเทียนใช้มือซ้ายของมันตบออกความเย็นชั่วขณะบังเกิดขึ้นภายในร่างของจ้าวหยาง มันจึงเร่งลมปราณเข้าปกคลุมเพื่อคลายความเย็นลง
ขณะเดียวกันมือขวาของจ้าวหยางแปรเปลี่ยนเป็นนิ้วชีสกัดไปที่มือซ้ายของหนิงเทียน หมายจะยื้อแย่งเม็ดหมากคืนมา
หนิงเทียนหาได้ใส่ใจไม่ มันใช้เพียงนิ้วก้อยซ้ายสกัดการจู่โจมของเจ้าหยาง พลางดีดเม็ดหมากสีดำกระเด็นออกไปหมุนอยู่บนแผ่นศิลา
ก่อนจะกล่าวออก “ถ้าด้านขรุขระคล้ายหน้าเจ้าหงายขึ้น ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้วางหมากแรก”