ตอนที่ 34 เสวียนอู่เฉิน
ณ ตอนนี้เล้งซาน เข้ามาถึงปากทางสู่ชั้นที่สองของหุบเขาหมื่นพฤกษาแล้ว มันใช้เวลากว่า 1 เดือนเพื่อมาถึงจุดนี้โดย ไม่ได้ฝึกพลังลมปราณเลยแม้แต่น้อย เหตุผลเพราะตลอดทางที่เดินทางมา เฟรย่าได้ให้มันจดจำรายละเอียดของสมุนไพรทั้งหมดที่พบ หลายพันชนิด
หากเป็นบุคคลอื่นอาจใช้เวลาหลายสิบปีในการจดจำรายละเอียดทั้งหมด ตั้งแต่ลักษณะต้น แหล่งที่สมุนไพรจะเติบโต คุณสมบัติเฉพาะ และคุณสมบัติพิเศษต่าง ๆ ของสมุนไพรหลายพันชนิด แต่เล้งซานกลับสามารถจดจำได้ทั้งหมดแม้ผ่านหูผ่านตาเพียงครั้งเดียว
และเฟรย่าก็ยังมิได้สอนวิธีปรุงยาแม้แต่น้อย ใช้ให้มันเพียงแต่จดจำสมุนไพรเท่านั้น แต่เล้งซานก็ปฏิบัติแต่โดยดี ไม่อิดออดแม้แต่น้อย กลับตั้งอกตั้งใจจดจำให้ได้มากและรวดเร็วที่สุด
"เจ้าเด็กน้อย จากนี้ไปจงระมัดระวังให้มาก เราจะเข้าสู้ชั้นที่สองของหุบเขาหมื่นพฤกษากันแล้ว ในชั้นนี้ มีสัตว์อสูรลมปราณชั้นสีน้ำเงินจำนวนมากอีกด้วย
จริงอยู่ที่เจ้าน่าจะรับมือมันได้ไม่ยาก แต่จงระวังพวกที่อยู่รวมกันเป็นฝูง เจ้าในตอนนี้ยังไม่สามารถรับมือสัตว์อสูรชั้นลมปราณสีน้ำเงินหลายๆตัวพร้อมกันได้"
"ถ้าเช่นนั้น ข้าขอเวลา 1 คืน ก่อนเดินทางเข้าไป"
"เพื่อเหตุใด??"
"เพื่อเพิ่มโอกาสรอด ข้าจำเป็นต้องผูกสายสัมพันธ์กับขวานทลายสวรรค์เสียก่อน จึงจะสามารถเปล่งประกายอักขระได้"
เล้งซานหาถ้ำที่เหมาะสมในการดำเนินการคืนนี้ จากนั้นนำขวานทลายสวรรค์และ ขวดยาที่บรรจุโลหิตของซูจ้าวออกมาจากแหวนมิติ จากนั้นโคจรพลังลมปราณเล็กน้อยมาที่ปลายนิ้ว จุ่มลงที่โลหิตของซูจ้าว และนำมาวาดอักขระบางอย่างลงบนขวานทลายสวรรค์
จากนั้นแสงสีน้ำเงินที่อักษรอักขระ ก็เปล่งประกายวาววาปขึ้นอีกครั้ง เล้งซานแสยะยิ้มเล็กน้อย
"เจ้าตัดขาดสายสัมพันธ์ของซูจ้าวแล้วหรอ" เสียงของเฟรย่าดังขึ้น
"ใช่ ในตอนนี้ขวานทลายสวรรค์ก็ไร้ซึ่งสายสัมพันธ์กับเจ้าของแล้ว"
"ง่ายๆเพียงนี้เอง??"
"เฟรย่า ถึงท่านจะเห็นว่าข้ากระทำโดยง่าย แต่ในความจริงอาจมีเพียงข้าเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ได้ การตัดสายสัมพันธ์นั้น หากเจ้าของอาวุธอักขระต้องการตัดสายสัมพันธ์ด้วยตนเองนั้นทำได้ง่ายมาก
แต่การที่ผู้อื่นจะตัดสายสัมพันธ์โดยที่เจ้าของไม่ยินยอมนั้น ผู้กระทำจำเป็นต้องเข้าใจในตัวอักษรอักขระอย่างถ่องแท้เท่านั้นจึงจะกระทำเช่นนี้ได้
ผู้ใช้วิชาอักขระกำกับนั้นไม่จำเป็นว่าเข้าใจความหมายของอักขระหรอก นะเฟรย่า ผู้ใช้เกือบทั้งหมดลอกเลียนแบบอักษรอักขระจากที่ท่านปู่เคยเผยแพร่ไปเท่านั้น หากมิใช่ผู้ที่แตกฉานอักษรยุคบรรพกาลทั้ง 72 ภาษาย่อมมิอาจเข้าใจอักษรอักขระได้อย่างถ่องแท้"
"เป็นเช่นนี้นี่เอง"
"เอาล่ะ ต่อไปก็สร้างสายสัมพันธ์ใหม่ ระหว่างข้าและขวานทลายสวรรค์"
เล้งซาน ใช้ลมปราณที่แหลมคม กรีดที่ฝ่ามือตัวเองเล็กน้อย พอให้มีเลือดไหลออกจากฝ่ามือ จากนั้นค่อยๆหยดเลือดของตน ไปอักษรอักขระที่ขวานทลายสวรรค์
โลหิตของเล้งซานค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในตัวอักขระ จากนั้นแสงแห่งอักขระสีน้ำเงินเข้มก็เปล่งประกายสาดส่อง สว่างทั่วทั้งถ้ำแห่งนี้ เล้งซานค่อยๆหลับตาลง มันค่อยๆรับรู้ถึงสายสัมพันธ์ของขวานทลายสวรรค์ผ่านจิตใต้สำนึก
จนเวลาผ่านไปราวๆ 1 ก้านธูป แสงสีน้ำเงินของอักขระจางหายไป พร้อมกับเล้งซานที่ ค่อยๆลืมตาขึ้นมา มันแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจจากนั้นหยิบขวานทลายสวรรค์ขึ้นมายกชูขึ้น แสงสีน้ำเงินของอักขระก็เปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง
"สำเร็จ!!"
"มันดูเปล่งประกายมากกว่าตอนที่ซูจ้าวถือไว้เสียอีก" เสียงของเฟรย่าดังขึ้น
"บอกตามตรงว่า ซูจ้าว ดึงพลังของขวานทลายสวรรค์ออกมาไม่ถึงครึ่งเสียด้วยซ้ำ มันทำได้เพียงแค่ตวัดเหวี่ยงพลังลมปราณสีน้ำเงินเท่านั้นเอง"
"มันทำได้มากกว่านั้นหรือ??" ความสงสัยของเฟรย่ามีขึ้นอีกแล้ว
เล้งซานแสยะยิ้มอีกครั้งพลางกำขวานในมือไว้แน่น
"อักษรอักขระกำกับนี้คือ อักขระเสริมพลังการขว้าง ถึงแม้อาวุธอักขระนี้ จะเป็นขวาน แต่ในความจริงมันเป็นอาวุธอักขระที่ใช้โจมตีระยะไกล
การที่ซูจ้าวนำมันออกมาใช้กวัดแกว่งโจมตี ก็ไม่ต่างอะไรกันการถือลูกเกาทัณฑ์ และเอามาฟาดฟันแทนกระบี่ ช่างโง่เง่าจริงๆ"
"อักขระมีพลังเช่นนั้นด้วยหรือนี่!!" เสียงที่ตกตะลึงของเฟรย่าดังขึ้น
เล้งซานเกาศีรษะเล็กน้อย พลางคิดในว่า 'ต้องอธิบายอีกแล้วหรือนี่'
"แน่นอนว่ามี การเสริมพลังแบ่งออกตามอักษรอักขระที่กำกับไว้ที่อาวุธ ในความจริงมันมีมากมายจนนับไม่ถ้วนตามความเข้าใจของอักขระ แต่ที่ข้าให้ท่านปู่เผยแพร่ออกไปนั้นเพียง 7 รูปแบบอักขระที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น อักขระเสริมการขว้าง คือ 1 ใน 7 รูปแบบที่เผยแพร่ออกไป"
"ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เจ้าคงพร้อมสำหรับ เข้าชั้นที่สองของหุบเข้าแล้วสินะ"
"แม้ชั้นที่สาม ข้าก็มั่นใจว่าเอาชีวิตรอดได้" เล้งซานยิ้มที่มุมปาก
"ปากดีจริงๆนะเจ้าเด็กน้อย เอาล่ะ เราคิดว่าภายในครึ่งปีแรกเราจะให้เจ้าใช้เวลาทั้งหมดในการเรียนวิชาปรุงยา และวิชาแปลงโฉม ที่เจ้าที่กล่าวว่าอยากเรียนในคราวก่อน ไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถจดจำได้แค่ไหน เราจะหยุดสอนในเวลาครึ่งปี และครึ่งปีหลังเราจะทำการบ่มเพาะพลังกันอย่างเต็มที่!!"
เล้งซานเบิกตากว้างเล็กน้อย พลางปริยิ้มออกมาอย่างแช่มชื่น วิชาแปลงโฉมนั้นหากรู้จักใช้อย่างระแวดระวัง มันย่อมแข็งแกร่งอย่างมากในการลอบสังหารหรือแทรกซึมเข้าไปเพื่อกระทำการต่าง ๆ
อีกทั้งวิชาของเฟรย่ายังสามารถเปลี่ยนแปลงได้กระทั่งสรีระร่างกาย ยิ่งทำให้วิชานี้ทรงพลังมากขึ้นไปอีก!!
...................
ณ เมืองฟ้าทมิฬ ที่นี่คือเมืองหลวงของทวีปเต่าทมิฬ ตั้งอยู่ตำแหน่งใจกลางของทวีป ประวัติของเมืองแห่งนี้มีประวัติมากกว่า 5 พันปี อาณาบริเวณของเมืองหลวงแห่งนี้ มีขนาดมากกว่าเมืองเมฆครามนับสิบเท่า และที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของพระราชวังเต่าทมิฬ ของราชวงศ์เสวียนอู่อีกด้วย
พระราชวังเต่าทมิฬนั้น มีอาณาเขตโดยรวมเทียบเท่าทั้งเมืองเมฆคราม และทุกตารางนิ้วของเขตพระราชวัง ล้วนแต่วิจิตรงดงามราวกับทุกตารางนิ้วถูกแกะสลักไว้ด้วยจิตรกรชั้นเอก หากผู้ใดมิเคยเข้ามาในเมืองหลวงมาก่อน และมายืนภายในพระราชวัง ย่อมรู้สึกมิแตกต่างจากเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ในจินตนาการเป็นแน่
บัดนี้ เสวียนอู่จิงฉาน มาถึง ณ เมืองหลวงแล้ว มันรีบร่อนอินทรีข้ามฟ้าลงเข้ามาที่เขตพระราชวัง เข้ารายงานที่พระราชวังโดยยังมิได้แวะไปยังที่พักของตนแม้แต่น้อย เนื่องจากต้องการราชโองการโดยด่วน เพื่อกลับไปรับเล้งซาน
"ท่านกงกง ข้ามีเรื่องด่วน ต้องการรายงานฝ่าบาทโดยตรง ขอท่านจงอนุญาตให้ข้าเข้าไป"
เสวียนอู่จิงฉาน รายงานต่อกงกงก่อนเข้าไปในท้องพระโรง เนื่องด้วยตำแหน่งของเสวียนอู่จิงฉาน ที่เป็นถึงพระญาติ อีกทั้งยังมีตำแหน่งควบคุมการทหารทางเหนือของอาณาจักร จึงปล่อยให้เข้าไปที่ท้องพระโรงทันที
ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เสวียนอู่ คือ เสวียนอู่เฉิน มีอายุกว่า 60 ปีแล้ว แต่ด้วยพลังลมปราณที่สูงล้ำจึงดูราวๆ 40 ปีเท่านั้น อีกทั้งด้วยคิ้วที่โค้งดังกระบี่ และแววตาที่องอาจทระนง ที่แสดงชัดออกมา ผิวพรรณยังคงเต่งตึงขาวเปล่งประกาย แม้เส้นผมก็ยังคงดำสนิททั่วทั้งศีรษะ พลังฝีมือของเสวียนอู่เฉินนั้น สูงส่งและเป็นถึงระดับต้นๆของทวีปเต่าทมิฬแห่งนี้
แม้มิเงยหน้ามอง เสวียนอู่เฉิน ที่นั่งอ่านรายงานอยู่ก็สัมผัสถึง เสวียนอู่จิงฉาน ได้ตั้งแต่เข้ามาในท้องพระโรง
"มีเหตุอันใด ถึงได้รีบร้อนเช่นนี้ ข้าจำได้ว่าท่านรายงานว่าจะไปเข้าร่วมเป็นกรรมการชี้ขาดให้แก่การประลองผู้เยาว์ของเมืองเมฆครามมิใช่หรือ??"
"เรียนฝ่าบาท การประลองนั้นจบลงแล้ว หม่อมชั้นจึงมารายงานผลพร้อมขอราชโองการ เรียกตัวผู้ชนะเลิศมารับตำแหน่งในพระราชวัง"
"หืม...รับตำแหน่ง??"
"เรียนฝ่าบาท ผู้ชนะเลิศได้ร้องขอเปลี่ยนรางวัลชนะเลิศกับหม่อมชั้นโดยไม่ขอรับรางวัลใดๆเลยเพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้รับใช้ราชวงศ์เสวียนอู่ของเรา หม่อนชั้นเห็นว่าผู้เยาว์ผู้นี้ น่าสนใจเป็นอย่างมากจึงได้เร่งรีบกลับมารายงาน"
"น่าสนใจ?? เมื่อปีก่อน อี้หลงหวัง ก็ชนะเลิศนี่นา ไม่เห็นมันจะมีทีท่าใดๆว่าอยากจะรับใช้ราชสำนัก และเจ้าก็ไปเป็นกรรมการชี้ขาดเมื่อปีที่แล้วก็ยังบอกเองว่าอัจฉริยะอันดับ 1 ของทิศเหนือนั้นแสนธรรมดาอย่างยิ่ง มิอาจเปรียบเทียบได้แม้กระทั่งศิษย์แกนหลักธรรมดาของพรรคใหญ่ๆในเมืองหลวงเสียด้วยซ้ำไป"
เสวียนอู่เฉิน กล่าวพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็อ่านรายงานบนโต๊ะต่อ
"ปีนี้ผู้ชนะเลิศ มิใช่ อี้หลงหวัง พะยะค่ะ อี้หลงหวัง ที่พลังลมปราณสูงกว่า คู่ต่อสู้ถึง 8 ขั้นลมปราณ กลับพ่ายแพ้โดยมิอาจทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บแม้แต่น้อย และชื่อผู้ชนะเลิศการประลองนี้ มีชื่อว่า เล้งซาน"
เสวียนอู่เฉิน เบิกตากว้างเล็กน้อย ทิ้งรายงานในมือพลางลุกขึ้นยืนทันที
"ชนะคู่แข่งที่ลมปราณสูงกว่า 8 ขั้น?? และเจ้าบอกว่ามันแซ่ เล้ง ??"
"เรียนฝ่าบาท มันแซ่เล้ง ชื่อว่าซาน ส่วนประวัตินั้นยังคงคลุมเครือ เพียงแต่...วิชาที่มันใช้นั้น คล้ายคลึงกับวิชาของตระกูลเล้ง ที่ถูกเขียนในบันทึกของราชวงศ์เป็นอย่างมาก!!"
"เจ้ากำลังบอกข้าว่า มันอาจมีความเกี่ยวพันกับตระกูลเล้งที่ล่มสลาย ในอดีตอย่างนั้นหรือ"
เสวียนอู่เฉิน น้ำเสียงตื่นตะลึงเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาความสง่างามของจักรพรรดิ
"แม้หม่อมชั้น จะมั่นใจเพียง 1 ใน 10 ส่วน แต่ก็นับว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยงนี้ ถึงแม้มันมิเกี่ยวข้องใดๆกับตระกูลเล้งในอดีต แต่การมีผู้เยาว์อัจฉริยะเข้าร่วมกับราชสำนัก ย่อมลังแต่จะเกิดผลดีแก่เรา"
"ดี!! งั้นไปเรียก กงกงมาพบข้า ข้าจะร่างราชโองการให้แก่เจ้า ไปนำตัวมันเข้าวังโดยด่วน"
"เช่นนั้น หม่อมชั้นขอตัว"
เสวี่ยนอู่จิงฉาน ออกจากท้องพระโรง เหลือเพียง เสวี่ยนอู่เฉิน ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ด้วยมือไม้ที่สั่นสะท้าน สะท้อนความตื่นเต้นภายในใจ
'เรา ต้องบอกข่าวนี้แก่พวกตระกูลลี้ลับ!!'
............................................................