ตอนที่ 36 กระดานเหล็กหยินหยาง
ในขณะที่หลี่เฟิงมองไปยังกลุ่มของผู้ที่กำลังเดินมานั้น มันกล่าวออกด้วยเสียงจริงจัง “น้องชายหนิงเจ้าอย่าได้อยู่ห่างข้า พวกที่กำลังมานั้นเป็นกลุ่มของสำนักไป๋หลง”
เมื่อกลุ่มดังกล่าวมาถึง ผู้คุ้มกันโจว แสดงความเคารพแก่เกาซุนและหันไปยิ้มให้กับหลานเหลียงที่กำลังนั่งอยู่
เกาซุนมองไปยังกลุ่มผู้มาใหม่ สายตาของมันมองไปยังบุรุษที่สง่างามมันจับจ้องราวกับกำลังพิจาณาอะไรอยู่ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ประกายแสงสีขาวแห่งฉางผิง สง่างามสมบุรุษเป็นอย่างคำเล่าขานมิผิดเพี้ยนไปเลย”
“ท่านเกา ท่านกล่าวชมเกินไปแล้ว”มันก้มศีรษะรับคำชมเล็กน้อยก่อนจะกล่าวให้ผู้ติดตามมันนั่งลง
ชายหนุ่มวัยเยาว์ที่ยืนอยู่ด้านข้างซินเฉาตลอดเวลาสายตาที่ประดุจดวงตาจองจิ้งจอกจับจ้องไปยังกลุ่มของหลานเหลียงพร้อมกล่าวขึ้นมา
“ผู้เฒ่าโจว เหตุใดกลุ่มกันภัยชั้นต่ำเช่นนี้ถึงได้มาร่วมกินอาหารกับพวกเราด้วย?”
ผู้คุ้มกันโจวกล่าวอย่างใจเย็น “คุณชาย จ้าวหยาง ท่านหลานเป็นหัวหน้ากลุ่มคุ้มตระกูลหลานที่มีชื่อเสียงไม่แพ้สำนักคุ้มภัยไป๋หลง”
“บัดซบตาแก่โจว กล้าเปรียบเทียบสำนักคุ้มภัยของพี่ชายข้ากับเปาเปียวชั้นต่ำเช่นนี้ได้อย่างไร”
จ้าวหยางคำรามอย่างเดือดดาลมันไม่ได้ให้เกรียติผู้อาวุโสอย่างผู้คุ้มกันโจวเลยแม้แต่น้อย มันยังหันไปกล่าวต่อกับเกาซุนว่า “อาเขยเหตุใดถึงให้พวกชั้นต่ำเช่นนี้มาร่วมรับประทานอาหารกับพวกเรา”
หลานเหลียงยังคงสงบท่าทีของมันไว้แม้จะโดนดุถูกจากเด็กหนุ่มคราวลูกเช่นนี้
เกาซุนขมวดคิ้วพร้อมกันเอ่ยปรามในความยโสของจ้าวหยาง “จ้าวหยาง อย่าได้เสียมารยาทกับผู้อาวุโส”
“อาเขย ข้าพูดอันใดผิดไป ตระกูลหลานนั้นเป็นเพียงตระกูลชั้นกลางเท่านั้น”
ตระกูลขนาดกลางแม้จะมีอำนาจมากขนาดไหนก็ตาม แต่มันไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกับสามตระกูลใหญ่อย่างจ้าว ซางและมู่ได้
มันมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างตระกูลระดับสูงและตระกูลชั้นกลาง
ตระกูลชั้นกลางส่วนมากจะมาจากตระกูลชั้นต่ำที่เคยเป็นอาณัติของตระกูลใหญ่เมื่อพวกมันทำงานอย่างหนักจนได้รับอิสระภาพแล้ว มันจึงเรียกตัวเองว่าเป็นตระกูลชั้นกลาง
เกาซุนได้แต่ส่ายศีรษะ แม้ว่าตัวมันจะเป็นผู้พิทักษ์แดนฟ้าแต่อีกสถานะหนึ่งของมันก็ยังเป็นบุตรเขยแห่งสกุลจ้าวอยู่ด้วย
หนิงเทียนนั้นจำได้แต่บุรุษชุดขาวที่แสดงกายกรรม กำราบสัตว์ลมปราณขั้นที่1เมื่อกลางวันได้
แต่มันไม่รู้จักเด็กหนุ่มที่มีดวงตาจิ้งจอกที่กำลังกล่าววาจาโอหังอยู่ตอนนี้มันจึงกระซิบถามไปยังหลี่เฟิง “เจ้าเด็กนั้นเป็นใคร”
“มันคือจ้าวหยาง บุตรชายคนเล็กของตระกูลจ้าวหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งฉางผิง”
จ้าวหยางหันไปตามเสียงซุบซิบของหลี่เฟิงกับหนิงเทียนพร้อมตะโกนออกมา
“อ้าว!! นั้นมันสหายเก่าข้านี้นา ไอ้ขยะหลี่เฟิง”มันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงดูถูก
“บัดซบ จ้าวหยางว่าใครเป็นขยะ”หลี่เฟิงที่ปกติเป็นคนใจเย็นนั้นถึงกับยืนขึ้นทันที
จ้าวหยางไม่ได้สนใจกับท่าทีของหลี่เฟิงมันเพียงปลายตาผ่านไปยังหนิงเทียนทันที
เมื่อมันจับจ้องไปยังหนิงเทียนมุมปากของมันเหยียดยิ้มอย่างดูถูก
พร้อมทั่งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขบขัน “ฮ่าๆ เป็นการรวมกลุ่มของพวกชั้นต่ำจริงๆ ถึงขนาดมีพวกแดนมนุษย์อยู่ในกลุ่ม
ข้านั้นไร้ซึ่งคำกล่าวใดๆอีกแล้ว”จ้าวหยางหัวเราะเยาะเสียงดัง
ก่อนที่จะกล่าวสั่งคนของมัน “ไล่มันออกไป พวกชนชั้นทาสที่ไม่มีแม้แต่ปัญญาจะได้เห็นทักษะบ่มเพาะ เหตุใดถึงมีสิทธิ์มานั่งร่วมวงกับชนชั้นสูงเช่นข้า”
ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของหนิงเทียนมืดลง จิตสังหารปะทุอยู่ภายในใจ สองมือของมันนั้นเย็นเหยียบเฉกเช่นน้ำแข็ง
ในขณะที่มันจะก้าวออกไปข้างหน้ากลับมีร่างของบุรุษผู้หนึ่งปรากฎตรงหน้ามัน
หนิงเทียน “…..”
เป็นอีกครั้งที่หลี่เฟิงมายืนอยู่เบื้องหน้าของหนิงเทียนมันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“จ้าวหยางนี้คือน้องชายของข้า ไม่ใช่ทาสอย่างที่เจ้ากล่าวมา” ตัวของหลี่เฟิงเวลานี้เต็มไปด้วยความโทสะ
จ้าวหยาง ยิ้มเยาะ “ข้าจะเตือนเจ้าในฐานะที่เราเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันสักเล็กน้อย
เกี่ยวกับพวกชั้นต่ำนี้ เจ้าไม่ควรที่จะมีส่วนร่วมกับพวกมัน มันจะไม่คุ้มค่า ถ้าหากเจ้าสูญเสียชีวิตของเจ้าเพื่อขยะอย่างพวกมัน”น้ำเสียงของจ้าวหยางเต็มไปด้วยความโอหัง
ซินเฉาที่มองดูเหตุการณ์อยู่ด้านหลังมันมีท่าทีที่เรียบเฉยเป็นอย่างมาก
โดยปกติแล้วจ้าวหยางนั้นให้ความเคารพแก่มันมาก
เพียงแค่มันเอ่ยปากออก ก็สามารถยุติเรื่องราวผิดใจกันได้ทันที แต่ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ กลุ่มกันภัยตระกูลหลาน ทำให้มันไม่อาจมองข้ามได้
กลุ่มกันภัยตระกูลหลานนั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในช่วง4-5ปีมานี้ เนื่องจากหลานเหลียงเป็นคนมีฝีมือคิดอ่านกว้างไกลรู้จักในการใช้คนและที่สำคัญค่าใช้จ่ายในการจ้างงานยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก
ส่งผลให้ทุกๆงานคุ้มกันของของเมืองฉางผิง ตลอดยังชนเผ่าบริวารไม่ได้ถูกผูกขาดโดยสำนักคุ้มภัยไป๋หลงเหมือนเช่นเดิมอีกต่อไป
มันจึงไม่มีความคิดที่จะห้ามปราบจ้าวหยางเลยแม้แต่น้อย เป็นการดีเสียอีกที่จะให้จ้าวหยางฉีกหน้าพวกตระกูลหลานเสียบ้าง
หลี่เฟิงคำรามออกมา “จ้าวหยาง วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าถอนคำพูดให้ได้”
“ฮ่าๆเดรัจฉานตัวนี้กำลังล้อข้าเล่น?”
พวกมันทั้งสองเป็นผู้เยาว์มีพลังบ่มเพาะอยู่ในแดนองครักษ์ขั้น4เหมือนกันทั้งยังมีอายุเท่ากันด้วย พวกมันจึงถืออีกฝ่ายเป็นศัตรูที่ไม่อาจหายใจร่วมกันได้
พวกมันทั้งคู่เร่งพลังปราณพุ่งเข้าใส่กันอย่างรวดเร็ว หมัดของทั้งสองปะทะกลางอากาศ
จ้าวหยางเหยียดยิ้มอย่างมีความสุข “เจ้าโง่เอ่ย...”
สิ้นเสียงมันเร่งพลังปราณมากขึ้นกว่าเดิมกลิ่นอายของมันเวลานี้ของมันอยู่ในแดนองครักษ์ขั้น5ส่งผลให้หมัดของหลี่เฟิงถูกกระแทกกลับอย่างรุนแรง
จ้าวหยางยิ้มอย่างโหดเหี้ยม ด้วยหมัดที่สองของมันนั้นหมายต้องการให้หลี่เฟิงกลายเป็นผู้พิการไปตลอดชีวิต มันยิ้มออกอย่างชั่วร้ายและต่อยหมัดที่สองไปที่กลางอกของหลี่เฟิง
ก่อนที่หมัดของจ้าวหยางจะเข้าปะทะกับหน้าอกของหลี่เฟิงเพียงชั่วเสี้ยววินาที
เงาร่างสีดำทะยานขึ้นคว้าไปยังคอเสื้อของหลี่เฟิงส่งผลให้พลังปราณจากหมัดของจ้าวหยางพลาดไปอย่างเฉียดฉิว
ผู้คนที่กำลังมองดูการต่อสู้ตรงหน้านั้นแปรเปลี่ยนสายตามาที่เงาร่างสีดำเป็นสายตาเดียวกันทั้งหมด
มันจับจ้องไปยังใบหน้าของหนิงเทียนที่มือข้างขวานั้นกำคอเสื้อของหลี่เฟิงอยู่กับพื้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
หลี่เฟิงลุกขึ้นมามองไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาตกตะลึง พลังแขนที่กระชากร่างของมันหลบพลังหมัดของจ้าวหยางนั้นมันเป็นพลังที่เหนือกว่าดินแดนองครักษ์ไปแล้ว
ถึงแม้มันจะคิดเช่นนั้น แต่มันก็ไม่สามารถเอ่ยความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้
มันเพียงแต่กล่าวขอบคุณอย่างเลื่อนลอย“ขอบคุณน้องชาย”
“พี่ชายหลี่ นี้เป็นเรื่องของข้า ท่านอย่าได้เข้ามายุ่งอีกเลย”หนิงเทียนบอกปัดอย่างไม่แยแส พร้อมกับจ้องมองไปยังจ้าวหยางด้วยดวงตาสีดำสนิท
คิ้วของเกาซุนขมวดจนติดกันภายในใจของมันร่ำร้องอย่างระส่ำ ‘มนุษย์ขั้น9เหตุใดถึงมีความเร็วเช่นนี้และมันคือวิชาท่าเท้าใดที่ทำให้มนุษย์ขั้น9มีความเร็วถึงระดับนี้’
ผู้คนทั้งหมดแสดงอาการประหลาดใจเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น ก่อนที่พวกมันจะลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า
การที่หนิงเทียนสามารถช่วยหลี่เฟิงได้เป็นเพราะจ้าวหยางเมตตายั้งมือกลางอากาศเอง
ไม่เช่นนั้น ไม่มีทางที่ความเร็วของดินแดนมนุษย์จะขัดขวางการโจมตีของแดนองครักษ์ขั้นกลางได้
แม้แต่หลานเหลียงเองก็คิดเช่นนั้น แต่มันก็อดที่จะชื่นชมในความกล้าของหนิงเทียนไม่ได้
จะมีผู้ฝึกตนแดนมนุษย์คนใดที่กล้าหาญบ้าบิ่นถึงขนาดกระโดดเข้าใส่พลังหมัดของผู้ฝึกตนแดนองครักษ์การกระทำเช่นนี้สร้างความประทับใจให้แก่หลานเหลียงอยู่ไม่น้อย
จ้าวหยางตะโกนออกมาเสียงดัง “สารเลว ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยอีกคน”มันเตรียมพุ่งเข้าใส่หนิงเทียนอีกครั้งหนึ่ง
“หยุด”เสียงดังออกมาจากด้านหลังของมัน เป็นซินเฉาที่มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดก่อนจะกล่าวห้ามจ้าวหยาง เวลานี้ดวงตาของมันหรี่แคบจับจ้องไปยังหนิงเทียน
จ้าวหยางที่ได้ยินเสียงซินเฉามันหยุดการกระทำ พร้อมระบายลมหายใจออกมาด้วยโทสะ “พี่ชายซิน ขอให้ข้าได้จัดการมัน”
“จ้าวหยางถ้าเจ้ายังทำตัวเช่นนี้ ข้าจะรายงานพฤติกรรมเจ้าแก่ท่านพ่อตา” น้ำเสียงอันแข็งกร้าวของเกาซุน ช่วยดึงสติที่เปี่ยมโทสะของจ้าวหยางด้วยอีกคน
“บัดซบ”มันคำรามสุดเสียงเพื่อระบายโทสะออกมาก่อนมันจะกล่าว
“ข้าขอท้าพวกเจ้าประลองสามกฎฟ้า” เมื่อได้ยินคำว่าสามกฎฟ้า สีหน้าของฝูงชนทั้งหมดแปรเปลี่ยนไปทันที
เดิมมันคิดว่าเป็นการทะเลาะของพวกเด็กๆเท่านั้น พวกมันไม่คิดว่าจะได้ดูเรื่องสนุกๆเช่นการประลองสามกฎฟ้า
“นี้เจ้า!!!” เกาซุนคำรามอออกมาเห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนี้ไม่ได้ให้ความเคารพมันเลย
หนิงเทียนได้ยินเช่นนั้นมันจึงกล่าวถาม “พี่ชายหลี่ ประลองสามกฎฟ้าคืออะไร”
หลี่เฟิงเริ่มอธิบาย“การประลองสามกฎฟ้าเป็นข้อตกลงร่วมกันในพื้นที่ราบภาคกลางแห่งนี้
มันมีไว้พื่อใช้แก้ข้อขัดแย้งระหว่างบุคคลและเพราะมันเป็นการเดิมพันสิ่งสามสิ่ง ชื่อเสียง ทรัพย์สินและชีวิต มันจึงถูกเรียกว่า สามกฎฟ้า
สามกฎฟ้าประกอบไปด้วย สามวิธีเดิมพัน กระดานเหล็กหยินหยาง สนามประลองอสูรและสุดท้ายคือการประลองเป็นตาย”เมื่อมันอธิบายเสร็จ
หลี่เฟิงชี้นิ้วไปยังใบหน้าของจ้าวหยางพร้อมกับเปล่งเสียงดังออกมา “เจ้าไม่อายบ้างหรือที่ท้าประลองผู้ฝึกตนในแดนมนุษย์”
“หลี่เฟิง ถ้าเจ้าต้องการปกป้องเจ้าขยะนี้ก็รับคำท้าแทนมันเลยเป็นไง”จ้าวหยางกล่าวอย่าดูถูก
“ทำไมจะไม่ได้” หลี่เฟิงคำรามออกด้วยโทสะ
หนิงเทียนนั้นก้าวออกมายืนด้านหน้าจ้าวหยางมันกล่าวออกเสียงดังจนทุกคนนั้นได้ยิน
“พี่ชายหลี่นี่เป็นเรื่องของข้าที่จะต้องสั่งสอนเจ้าเด็กอวดดีคนนี้”
ในขณะที่ผู้คนโดยรอยได้ยินคำกล่าวของหนิงเทียนพวกมันอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา
“เด็กคนนี้ช่างหยิ่งทะนงเกินไป”
“เป็นเพียงแดนมนุษย์เท่านั้นแต่อวดดีไม่เบา”
“เขามั่นใจในตัวเองเกินไป”
พวกมันทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกัน
เดิมทีเกาซุนนั้นตั้งใจจะห้ามการประลองสามกฎฟ้า แต่เมื่อมันได้ยินเช่นนั้นถึงกับอดกล่าวออกมาไม่ได้ “ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะเอาตัวรอดได้เช่นไร” มันเปลี่ยนความคิดที่จะห้ามทันที
“ดีดีมาก ถ้าเช่นนั้นตกลงตามนี้ ข้าจะให้เจ้านั้นเป็นผู้เลือกการประลอง เดียวผู้คนจะครหาว่าข้ารังแกเด็ก”จ้าวหยางกล่าวอย่างถือดี ตัวมันนั้นรังเกียจท่าทางเช่นนี้ของหนิงเทียนเป็นอย่างมาก
“กฎแห่งชีวิตเป็นอย่างไร?”หนิงเทียนกล่าวเสียงดังด้วยใบหน้าที่ไม่แยแสใดๆ
หนิงเทียนนั้นไม่ได้หยิ่งจนเกินเหตุ แต่เพราะแท้จริงแล้ว มันนั้นไม่รู้จักกระดานหยินหยาง สนามประลองอสูรอะไรนั้น มันรู้จักคำที่ตรงกับความหมายเช่นการประลองเป็นตายเท่านั้น
ด้วยคำกล่าวเช่นนี้มันเพียงพอแล้วที่จะให้ฝูงชนที่ฟังอยู่ก่นด่าออกมา
“ไอ้เด็กนี้มันบ้าไปแล้วแน่ๆ”
มุมปากของเกาซุนกระตุกขึ้นมาทันที ในคราวนี้แม้แต่เกาซุนเองก็ยังรังเกียจความหยิ่งยโสของหนิงเทียนอยู่บ้าง
แต่ถึงอย่างไรถ้ามีการประลองเป็นตายเกิดขึ้นในขบวนเดินทางนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ มันจึงรีบกล่าวปรามทันที
“ด้วยการประลองเป็นตายนั้นพวกเจ้าไม่สามารถทำได้ในระหว่างที่อยู่ในขบวนคาราวานของข้า ถ้าพวกเจ้าต้องการประลองกันจริงๆข้าจะเป็นผู้เลือกกฎฟ้าให้เอง”
หลานเหลียงที่นั่งเงียบอยู่รีบกล่าวเสริม“ได้ท่านเกาให้เกรียติเป็นกรรมการครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องที่ยุติธรรม ข้าเชื่อว่าน้อยชายหนิงเองก็เห็นด้วยเช่นกัน”มันรีบหาทางลงให้แก่เรื่องนี้ทันที
เกาซุนไม่เอ่ยถามความเห็นของหนิงเทียน มันกลัวว่าถ้าเจ้าเด็กนี้พูดขึ้นมาเรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่านี้ มันรีบหันไปเอ่ยกลับซินเฉา
“น้องชายซินเจ้าเห็นด้วยกับข้าหรือไม่?” เกาซุนนั้นรู้ดีตราบใดที่ซินเฉารับคำ จ้าวหยางจะไม่เอ่ยค้านใดๆ
ซินเฉาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้าตกลง
“ดี ถ้าสองฝั่งเห็นด้วยเช่นนั้น ข้าเกาซุน ขอเป็นตัวแทนทั้งสองเลือกกระดานเหล็กหยินหยางเป็นการประลองกฎฟ้า
แต่ครั้งนี้เป็นเพียงการหยอกล้อกันของเด็กเท่านั้น ข้าจึงขอเปลี่ยนแปลงกฎเล็กน้อย เราจะเดิมพันกันแค่เพียงหินลมปราณเท่านั้น พวกท่านทุกคนเห็นด้วยกับข้าหรือไม่”
เหล่าผู้อาวุโสที่ติดตามเกาซุนมานาน รีบกล่าวเห็นด้วยกับนายของมัน เสียงพูดคุยของผู้คนที่ได้ยินเหตุการณ์เริ่มจะพูดคุยกันปากต่อปากดังไฟที่รามท่วมทุ่ง
เพียงไม่นานผู้คุ้มกันรวมถึงนักเดินทางมากมายมารวมตัวกันล้อมรอบกลุ่มของเกาซุน
“ดีๆ ข้าชอบการแสดงนี้ ข้าต้องการวางเดิมพัน มีใครกล้ารับเดิมพันหินลมปราณ1000ก้อนของข้า?”
“ใครต้องการเดิมพันกับข้า ข้าเลือกฝั่งจ้าวหยาง แทง10รับเพียง1เท่านั้น”
ผู้คนนับร้อยวางเดิมพันกันอย่างสนุกสนาน ส่วนมาก9ใน10ส่วนจะเดินพันไปทางจ้าวหยางจะมีแต่เพียงพวกละโมบโลภมากเท่านั้นที่เดิมพันฝั่งหนิงเทียนเพราะเห็นว่าเดิมพันเพียง1หินลมปราณแต่จะได้กลับถึง10หินลมปราณ
เกาซุนนั้นนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีวาจาชั่งทองคนหนึ่งในเมืองฉางผิง มันสามารถเปลี่ยนบรรยากาศที่มาคุมาเป็นบรรยากาศที่รื่นเริงเช่นนี้ได้
“ผู้คุ้มกันโจว ไปนำกระดานเหล็กหยินหยางออกมา”เมื่อกล่าวสั่งจบมันเริ่มที่จะอธิบายวิธีการแข่งขันกระดานหยินหยาง
“ตราบใดที่ศิลาขาวดำของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้อมรอบกลืนกินศิลาของอีกฝั่งได้ ผู้นั้นจะเป็นฝ่ายชนะทันที”
“น้องชายหนิงเจ้าเคยเล่นกระดานหยินหยางมาก่อนหรือไม่”หลี่เฟิงดึงหนิงเทียนออกจากลุ่มฝูงชน ก่อนจะถามอย่างร้อนรน
หนิงเทียนพยักหน้า มันนั้นพอจะเข้าใจว่ากระดาน หยินหยางที่พวกมันพูดถึง นั้นไม่ต่างอะไรกับเหวยฉีในโลกเก่าของมัน
อีกทั้งเหวยฉีในยุคของมันก็เปรียบเหมือนการรบที่เดินบนกระดานหมาก
ในอดีตตัวมันมักจะถูกกุนซือเฒ่าคะยันคะยอให้เล่นเป็นเพื่อนอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างไรมันนับได้ว่าเป็นเพียงผู้ที่เล่นเป็นเท่านั้นไม่ได้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด
*เหวยฉี กระดานหมากล้อมจีน