ตอนที่แล้วตอนที่ 33 เริ่มต้นออกเดินทาง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 35 จักรพรรดิมารจันทรา

ตอนที่ 34 กันภัยสกุลหลาน


หนิงเทียนยังกล่าวต่อ “ดูเหมือนพี่ชายหลี่จะไปเดินทางไปทั่วทั้งพื้นที่ราบภาคกลาง”

หลี่เฟิงยิ้มออก “ข้าไม่ได้เก่งกาจถึงเพียงนั้น ข้านั้นเพียงเดินทางไปทั่วทั้งสามเมืองใหญ่เพียงเท่านั้น ความฝันของข้าคือการเดินทางคุ้มกันไปทั่วทั้งพื้นที่ราบภาคกลางทั้งใต้ออกและตก น้องชายมีคนเคยเล่าให้ข้าฟังว่า ทางทวีปตะวันออกของอาณาจักรมายานิรันดร์มีสุราลืมโลกที่เข้มข้นที่สุดในโลกนี้เลย ตัวข้านั้นใฝ่ฝันที่จะได้ลิ้มรสมันมาก”

พวกมันทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ด้วยอุปนิสัยของหลี่เฟิงที่เป็นคนกระตือรือร้นที่จะสร้างความสนิทสนมกับทุกคนๆทำให้มันและหนิงเทียนสนิทกันในเวลาอันสั้น

ในระหว่างที่พวกมันเดินทางเข้าไปด้านในขบวนคาราวาน หลี่เฟิงกล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง“การเดินทางไปเมืองฉางผิงพวกเราต้องผ่านทะเลสาบมายา และ หุบเขาหมื่นอสูร สองที่นี้เป็นที่ๆมีการโจมตีของพวกโจรและสัตว์อสูรจำนวนมาเจ้าต้องระวังตัวให้ดี ทางที่ดีอย่าอยู่ให้ห่างจากข้า”

หนิงเทียนมองไปยังผู้คนที่มากมายผิดปกติ มันจึงอดถามออกไม่ได้ “พี่ชายหลี่ ในการเดินทางคุ้มกันบรรณาการใช้คนเยอะเพียงนี้เลยหรือ”

หลี่เฟิง ส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ครั้งนี้พิเศษกว่าทุกครั้งเนื่องจากมีทั้งนักเดินทาง นายน้อยจากสำนักใหญ่และตระกูลอื่นๆอีกมากที่เดินทางเข้าเมืองฉางผิงอย่างพร้อมเพียงกันในครั้งนี้”

“เหตุใดคนจำนวนมากถึงมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองฉางผิง หรือว่าเมืองฉางผิงจัดงานเลี้ยงฉลองอันใดหรือ” หนิงเทียนถามด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่งานเลี้ยงฉลองหรอก ที่คนจำนวนมากมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองฉางผิงเยอะขนาดนี้เพราะสกุลมู่ได้ป่าวประกาศถึงงานประลองเลือกคู่ของคุณหนูใหญ่”

หลี่เฟิงยังกล่าวต่อ “คุณหนูใหญ่ มู่เสวี่ย นั้นงดงามดั่งเทพธิดามาจุติ นางต้องการหาคู่ด้วยการจัดงานประลองขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า เพราะเหตุนี้ผู้คนมากมายจึงมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองฉางผิง”

หนิงเทียนพยักหน้าอย่างรับรู้ แต่ภายในใจมันหวนคิดเรื่องเมื่อสองปีก่อน

มันถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “เจ้ายังไม่ตายสินะ”

“เราไปทางนั้นกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปแนะนำกับสหายของข้า.....”เสียงของหลี่เฟิงดังออกมาทำลายความคิดของหนิงเทียน

ในระหว่างทางเดินสั้นๆหนิงเทียนพบเจอผู้คุ้มกันในดินแดนนักรบขั้นสูงนับ10คน

หนิงเทียนมองไปยังผู้คุ้มกันที่กำลังเดินตรวจความเรียบร้อยอย่างเคร่งครัด เมื่อเห็นการคุ้มกันที่แน่นหนาเช่นนี้ ความใคร่รู้สงสัยจึงบังเกิดขึ้นมา “พี่ชายหลี่บนขบวนคาราวานนี้มีสิ่งใดอยู่กันแน่ ดูแล้วเหตุการณ์นี้คงไม่ปกตินัก?”

“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด”น้ำเสียงที่มันเปล่งออกมาไม่เหมือนกับคนที่กำลังโกหกอยู่

“หลี่เฟิง ทางนี้” เสียงตะโกนดังออกมาจากคนกลุ่มหนึ่ง

“ทางนั้นคือกลุ่มของเรา” หลี่เฟิงชี้ไปยังต้นตอของเสียง

“เฮ้ หลี่เฟิงทำไมถึงมาช้านัก” บุรุษร่างอ้วนกล่าวถามออกมา

“ข้าพาน้องชายหนิงไปเดินดูรอบๆขบวนคาราวาน”

บุรุษร่างอ้วนปลายตามองไปยังหนิงเทียนพร้อมกล่าวถาม“สหายท่านนี้คือ...”

“เขาคือน้องชายข้า ชื่อหนิงเทียน”หลี่เฟิงทำการแนะนำหนิงเทียนให้แก่บุรุษร่างอ้วน

“ยินดีที่ได้รู้จักสหายน้อย เจ้าเรียกข้าว่า เปาเปาได้ ข้ามั่นใจว่าถ้าเจ้าหิวเมื่อใดเจ้าต้องคิดถึงเปาเปาเป็นอันดับแรกแน่นอน

เวลานี้เจ้าอาจไม่เข้าใจความหมายของข้าก็ไม่เป็นไร ฮาๆ”บุรุษร่างอ้วนกล่าวอย่างติดตลกและเป็นกันเองในครั้งแรกที่พวกมันเจอกัน

หนิงเทียนยิ้มอ่อนๆ “รบกวนท่านแล้ว”

หลี่เฟิงกระซิบกับหนิงเทียนอย่างแผ่วเบาราวกับว่ามันไม่ต้องการให้มีบุคคลที่3ได้ยินสิ่งที่มันพูด “เจ้าอย่าไปฟังอะไรที่เปาเปาพูดนัก มิเช่นนั้นเจ้าจะกลายเป็นบ้า”

เปาเปาเหมือนจะคิดอะไรออกมันรีบกล่าวออกทันที“หลี่เฟิง พี่ใหญ่หลานต้องการพบเจ้า เขารออยู่ด้านในนานแล้ว”

“พอดีเลย ข้าก็ต้องการจะแนะนำน้องชายหนิงกับพี่ใหญ่หลานอยู่พอดี”

เปาเปาไม่ได้ให้ความสนใจแก่หลี่เฟิงมากนัก มันหันไปกล่าวกับหนิงเทียนด้วยความสนใจ “น้องชายหนิงเจ้าอายุ16 เจ้าช่างกล้าหาญมากมายที่ออกมาผจญภัยเช่นนี้”

“น้องชายหนิงเจ้ามาจากตระกูลใด”

“น้องชายหนิงเจ้ามีคนรักหรือยัง ต้องการให้พี่ชายคนนี้หาให้หรือไม่”

“น้องชายหนิง เจ้าชอบกินอาหารอันใด??”

แค่เพียงระยะทางไม่กี่ก้าวเท่านั้น เปาเปายิงคำถามมากมาย มันเป็นคำถามที่ไม่เว้นช่องว่างให้ตอบ ราวกับตัวมันต้องการจะถามโดยไม่สนใจคำตอบใดๆของอีกฝ่าย

หนิงเทียนทำได้เพียงยิ้มเจื้อนๆไปทางเปาเปาโดยมิได้เอ่ยตอบคำถามใดสักข้อ

“หลี่เฟิง มารายงานตัวครับ” เวลานี้เบื้องหน้าของทั้งสาม เป็นชายในชุดคลุมยาวนั่งอยู่บนเก้าอี้มีพนัก กำลังเหม่อมองออกไปภายนอกหน้าต่าง

ในขณะที่เสียงของหลี่เฟิงดังขึ้น สายตาของมันเปลี่ยนมาจ้องมองไปที่คนทั้งสาม

“หลี่เฟิง เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องจะหารือกับเจ้า” เพียงชั่วครู่มันก็รู้สึกตัวว่ามีคนแปลกหน้ายืนอยู่ข้างๆหลี่เฟิงและเปาเปา

“ข้างๆเจ้าคือใคร….” ชายในชุดคลุมยาวถามออก

“พี่ใหญ่หลาน นี้คือน้องชายหนิงเทียน เขาเป็นหลานของผู้เฒ่าซาง ท่านหัวหน้าเกาจึงได้ฝากเขาไว้กับข้า”

มันพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าชื่อหลานเหลียง เป็นหัวหน้ากลุ่มกันภัยนี้”

หลานเหลียงอายุราวๆ สามสิบปี รูปร่างสูงใหญ่ ไว้เครายาว ใบหน้าแห้งกร้าน แววตาของเขาดูตลกยิ่งนัก เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจตนเองเท่าไรนัก

“พี่ใหญ่หลาน เด็กคนนี้อยู่ในแดนมนุษย์ขั้น9เท่านั้น จะไม่กลายเป็นตัวถ่วงของกลุ่มเราอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มด้านข้างเขาส่งเสียงเตือน ชายหนุ่มคนคือ เหลียวเหยียน มันเป็นรองหัวหน้ากลุ่ม

เหลียวเหยียนรีบกล่าวต่อ “หลี่เฟิง เจ้าแน่ใจว่าจะสามารถคุ้มกันเด็กนี่ในยามคับขันได้ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังนำภาระมาเพิ่มให้แก่พี่น้องของเราหรือ?” ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของหลี่เฟิงและเหลียวเหยียนจะไม่ค่อยดีนัก

ได้ยินคำกล่าวของเหลียวเหยียนสมาชิกในกลุ่มเริ่มพูดคุยกันเสียงดัง พวกเขาเริ่มพิจารณาถึงตัวตนของเด็กหนุ่มที่เป็นเพียงมนุษย์ขั้น9

“เหลียวเหยียน เจ้าอย่าได้กล่าวเช่นนั้น ในเมื่อหลี่เฟิงบอกว่าเขาเป็นน้องชาย เช่นนั้น เขาก็เป็นน้องชายของพวกเราทุกคนด้วยเช่นกัน”

น้ำเสียงที่ใหญ่ทุ้มของหลานเหลียงดังออกมา ด้วยความพูดที่เปี่ยมไปด้วยน้ำใจนั้น มันยิ่งทำให้ลูกน้องซาบซึ้งในตัวมันมากขึ้นไปอีก

ถึงแม้เหลียวเหยียนจะเป็นรองหัวหน้ากลุ่ม แต่ด้วยนิสัยใจคอและความมีน้ำใจของหลี่เฟิง ทำให้สมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มมักจะให้ความเคารพแก่หลี่เฟิง มากกว่ามัน

กระทั่งตัวพี่ใหญ่หลานเองยังให้น้ำหนักแก่คำพูดของหลี่เฟิงเป็นอย่างมาก

ที่เหลียวเหยียนได้เป็นรองหัวหน้ากลุ่มนั้น เพียงเพราะมันติดตามหลานเหลียงมาแต่แรกเริ่มก่อนที่หลานเหลียงจะสร้างกลุ่มคุ้มภัยขึ้นมา

ตัวตนของหลี่เฟิงนั้นมีผลกระทบต่อตำแหน่งของมันอย่างมาก ช่วยไม่ได้ที่เหลียวเหยียนจะเห็นหลี่เฟิงเป็นศัตรู

“คนๆนี้คือ...” หนิงเทียนหันหน้าไปถามแก่เปาเปา มันใช้น้ำหนักเสียงที่จงใจจะให้คนอื่นได้ยิน

“ข้าเป็นรองหัวหน้าของที่นี้ ชื่อ เหลียวเหยียน” ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส

มุมปากของหนิงเทียนยิ้มออกมาเล็กน้อย ภายในใจมันขบขันกับคนตรงหน้ามันมาก

เจ้านี้คงภูมิใจในตำแหน่งรองหัวหน้าของมันเสียเหลือเกินถึงขนาดกล่าวตำแหน่งนำชื่อของมัน “เหลียวเหยียนหรือ...เจ้าพูดได้ถูกต้องแล้ว”

มุมปากของเหลียวเหยียนกระตุกทันที เจ้าเด็กคนนี้กล้าเรียกชื่อของมันห้วนๆได้อย่างไร

กร๊อบ...มันกำนิ้วมือทั้งห้าของมันด้วยโทสะจนได้ยินเสียงลั่นของกระดูกนิ้วมือแต่ก่อนที่มันจะกล่าวอะไรออกมา เสียงของหนิงเทียนดังขึ้นกระทบสองหูของมัน

“ชีวิตของข้า ข้าดูแลเองได้ ชีวิตของใคร มันผู้นั้นที่เป็นเจ้าของสมควรดูแลด้วยตนเอง”คำพูดของหนิงเทียนนั้นสร้างความงุนงงให้กับผู้คนที่ได้ยินอย่างมาก

ผู้คนรอบๆสามารถเข้าใจในคำกล่าวของประโยคแรกได้ แต่ประโยคหลังนั้นพวกมันไม่รู้ถึงความหมายของหนิงเทียน

“บัดซบ เจ้ากล้าที่จะเถียงข้าอีกทั้งยังกล้าที่จะเรียกชื่อข้าด้วยความไม่เคารพ”เหลียวเหยียนก้าวไปหาหนิงเทียนหมายจะใช้สองมือตบเอาเลือดปากของเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นนี้

มุมปากของหนิงเทียนยกยิ้มขึ้น นิ้วมือที่อยู่ด้านหลังแปรเปลี่ยนคล้ายกับกรงเล็บราชสีห์ ดูเหมือนว่าหนิงเทียนจะถูกใจอยู่ไม่น้อยกับทักษะวิชาของเผ่าซินี้

ขณะเดียวกันร่างของบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้นขั้นกลางระหว่างหนิงเทียนกับเหลียวเหยียน

บุคคลนี้ไม่ใช่ใครอื่นมันคือหลี่เฟิงนั้นเอง “รองหัวหน้าเหลียว ข้าได้รับคำสั่งให้ปกป้องน้องชายหนิงไม่ว่าเขาจะทำอะไร

ข้านั้นมีหน้าที่เพียงปกป้องเขา ถ้าท่านยังต้องการจะทำร้ายน้องชายหนิง ก็อย่าได้หาว่าข้าเป็นพวกไม่เคารพผู้อาวุโส”

“นี้เจ้า....หลี่เฟิงเจ้าเป็นเพียงองครักษ์ขั้น4กล้าที่จะต่อกรกับข้าที่เป็นองครักษ์ขั้น5 ช่างไม่เจียมตัวนัก” ดวงตาของเหลียวเหยียนดำมืดลงมันนั้นหาโอกาสที่จะสั่งสอนเจ้าเด็กหลี่เฟิงมานานแล้ว

นี้เป็นโอกาสดีที่จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าใครกันแน่คือรองหัวหน้าตัวจริง

เสียงอันหนักทุ้มดังออกมา “พวกเจ้าหยุดได้แล้ว เอาละ หลี่เฟิง เหลียวเหยียนพวกเจ้าทั้งสองนั่งลงก่อนข้ามีเรื่องจะปรึกษาหารือด้วย”

หลานเหลียงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่าพวกมันกำลังมีปัญหาอันใดกันอยู่ มันไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นฝ่ายผิดฝ่ายถูก

มันเพียงแต่สั่งให้นั่งลง มีเพียงผู้ที่ยืนอยู่เท่านั้นที่จะกลายเป็นฝ่ายผิดในสายตาของมัน

เมื่อทั้งสองได้ยินเช่นนั้นพวกมันนั้นรีบนั่งลงโดยไว เหลียวเหยียนสะกดความไม่พอใจลงไปทันที มันไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของพี่ใหญ่หลางแต่อย่างใด ในขณะที่หลี่เฟิงนั้นทำตามอย่างว่าง่าย

หลานเหลียงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เส้นทางข้างหน้านั้น เราต้องผ่าน หุบเขาผีเสื้อ ทะเลสาบมายาและหุบเขาหมื่นอสูร

ชัยภูมิรอบๆพื้นที่ทั้งสามนั้นเหมาะสมแก่การรอบโจมตีอย่างมาก

ข้าคิดว่าพวกเราต้องเตรียมรับมือให้ดี การเดินทางครั้งนี้ คงไม่ราบรื่นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา”

“พี่ใหญ่หลานท่านอย่าได้กังวลไป เรามีผู้พิทักษ์แดนฟ้าอย่างท่านเกาซุนนำขบวน จะมีโจรที่ไหนกล้าปล้นพวกเรา” เหลียวเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความประมาท

หลานเหลียงส่ายหน้าให้กับความคิดนี้ มันอธิบายต่อถึงสถานการณ์“หุบเขาผีเสือ เป็นป่าใหญ่เต็มไปด้วยพื้นที่ต่างระดับแต่ก็มีเพียงสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่เท่านั้น

แม้จะอันตรายในการถูกสุ่มจู่โจมแต่เราระวังเพียงโจรเท่านั้น เราไม่ต้องกังวลถึงสัตว์อสูร

ส่วนทะเลสาบมายาเป็นพื้นที่โล่งยากแก่การถูกสุ่มจู่โจม แม้จะเต็มไปด้วยสัตว์อสูรก็เป็นเพียงอสูรสายพันธุ์น้ำเท่านั้น ถ้าเราไม่ย่างกายลงไปในน้ำ คงไม่เป็นอันตรายใดๆ

ส่วนหุบเขาหมื่นอสูร เรานั้นต้องระวังสัตว์อสูรเป็นอย่างยิ่ง มันเต็มไปด้วยสัตว์อสูรมากมาย ข้าคิดว่าพวกโจรคงไม่กล้าที่สุ่มรอเรา” เวลานี้น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความกังวล

“พี่ใหญ่หลาน ถ้าข้าเป็นโจรธรรมดา ข้าจะสุ่มโจมตีที่ หุบเผาผีเสือนี้ แต่ถ้าข้าไม่ใช่โจรธรรมดาละก็ ข้าจะเข้าโจมตีที่หุบเขาหมื่นอสูร” หลี่เฟิงแสดงความคิดเห็น

คิ้วของหลานเหลียงยกสูง พูดต่อ ข้าต้องการฟังความเห็นเจ้า

“พี่ใหญ่หลาน เรื่องที่ผู้พิทักษ์แดนฟ้าเป็นผู้นำขบวนคาราวานนี้ เป็นเรื่องที่ทุกคนนั้นรู้ดี

สำหรับพวกโจรที่จะกล้าปล้นขบวนคาราวานนี้จริงๆ มันจะต้องมีความมั่นใจในระดับหนึ่งถึงขนาดที่ไม่หวั่นเกรงชื่อเสียงของท่านเกาซุน”

“หึ หลี่เฟิง เจ้าคิดมากเกินไป ทีนี้คือทวีปฟ้าสวรรค์โจรมีชื่อที่ไหนจะกล้าหาญเช่นนั้น” เหลียวเหยียนกล่าวขัด มันไม่ค่อยพอใจในความคิดของหลี่เฟิง

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ” ครั้งนี้หลี่เฟิงกล่าวเห็นด้วยกับคำพูดของเหลียวเหยียน มันยอมรับว่าตัวเองอาจจะคิดมากเกินไป ใครจะขวัญกล้าถึงกับขโมยสมบัติที่จะต้องถูกส่งให้ถึงมือราชวงศ์เย่

จู่ๆมีเสียงดังออกมาแทรกกลางระหว่างที่พวกมันกำลังหารือกันอยู่

“แต่ ถ้าพวกเจ้าทั้งหมดตกตายในหุบเขาหมื่นอสูร ข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนคงไม่เหลือแม้แต่ซากศพให้คนของอาณาจักรฟ้าสวรรค์มาพิสูจน์ว่า เป็นฝีมือของโจรหรือสัตว์อสูรกันแน่”

ทุกคนที่ได้ยินหันไปมองยังต้นตอของเสียง ปรากฏเป็นเด็กหนุ่มแดนมนุษย์ขั้นที่9คนนั้นใช่แล้วมันคือหนิงเทียนนั้นเอง

“ใครใช้ให้เด็กอย่างเจ้าเข้ามาสอด ไร้มารยาทสิ้นดี” เหลียวเหยียนทุบไปที่โต๊ะพลางตะโกนใส่หนิงเทียนอย่างดุร้าย

หลานเหลียงยกมือขึ้นเชิงห้ามไปยังเหลียวเหยียนพร้อมกล่าวว่า “น้องชายหนิงที่เจ้ากล่าวมานั้นมีเหตุผล ให้พี่ใหญ่หลานได้ฟังถึงความเห็นของเจ้าเป็นอย่างไร”

“ถ้าข้าเป็นโจร ข้าจะเลือกโจมตีภายในหุบเขาหมื่นอสูรและ....”กล่าวจบประโยคนี้หนิงเทียนหยุดคำพูดของมัน

พร้อมกับเหยียดยิ้มขึ้นสูงและมองไปยังรอบๆผู้คนนับร้อยที่อยู่ในขบวนคาราวาน

“และถ้าข้าคิดจะปล้นจริงๆ ข้าจะส่งสายเข้ามาปะปนกับนักเดินทางหรืออาจะส่งสายลับเข้ามาร่วมกลุ่มกับพวกผู้คุ้มกันทั้งสามขบวน”

เมื่อได้ยินคำกล่าวของหนิงเทียน ผู้คนในกลุ่มของพวกมันบังเกิดอาการขนลุกเกรียวร่างกายเย็บเหยียบด้วยความกลัว

ไม่เว้นแม้กระทั่งหลี่เฟิง พวกมันทั้งหมดจ้องมองไปที่กันและกันอย่างช่วยไม่ได้ราวกับว่ามันจะหาคนแปลกหน้าในหมู่ของพวกมันให้พบ

หลานเหลียงได้ฟังเช่นนั้นถึงกับตกตะลึงในความคิดอ่านของเด็กหนุ่มวัย16ปี มันจับจ้องไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาเป็นประกาย

“บัดซบ เจ้าพูดจาไร้สาระเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าจะทำลายขวัญและความสามัคคีของพี่น้องเราหรือไง” เหลียวเหยียนทุบไปที่โต๊ะพลางตะโกนใส่หนิงเทียนอย่างดุร้าย

“เหลียวเหยียนเจ้าหยุดได้แล้ว คำพูดของน้องชายหนิงใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ยังไงซะพวกเราก็ต้องระวังตัวให้มาก

เหลียวเหยียนเจ้าจงนำคนของเราแบ่งเวลาคุ้มกันกระทั่งเวลานอนถึงแม้กองกำลังหลักของท่านเกาจะส่งผู้คุ้มกันมาแต่ข้ายังไม่สบายใจเท่ากับพวกเจ้าเป็นคนทำหน้าที่เอง”

หลานเหลียงยังคงทำการสั่งการต่อ

“ส่วนหลี่เฟิงเจ้าไม่ต้องเข้าร่วมเวรคุ้มกัน ข้าจะให้เจ้าดูแลน้องชายของเจ้า ยังไงเขาก็เป็นเพียงมนุษย์ขั้นที่9 เจ้าคอยปกป้องเขาข้างๆ เพื่อกันเรื่องที่ไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้น”

“ข้าเข้าใจแล้วพี่ใหญ่หลาน” หลี่เฟิงก้มศีรษะรับคำ

เหลียวเหยียนนั้นไม่พอใจและเตรียมที่จะพูดขึ้น แต่เมื่อมันเห็นสายตาของหลานเหลียงที่จ้องมองอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

มันจึงได้แต่กลืนคำพูดกลับลงไปในคอ ความไม่พอใจในของเหลียวเหยียนต่อหลี่เฟิงและหนิงเทียนยิ่งมากขึ้นทุกที

หนิงเทียนมองไปที่พี่ใหญ่หลาน พร้อมกล่าวขอบคุณ หลานเหลียงถือว่าเป็นคนมีน้ำใจคนหนึ่งทีเดียว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด