ตอนที่ 33 เริ่มต้นออกเดินทาง
ในระหว่างที่หนิงเทียนเดินผ่านหมู่บ้านไปยังกระโจมบรรณาการเสียงพูดคุยกันระหว่างชาวบ้านดังขึ้นตลอดทั้งทาง บ้างก็กล่าวในเรื่องของหัวหน้าหมู่บ้าน
บ้างก็กล่าวถึงสงครามระหว่างภูเขาของซิและเฮย อย่างไม่หยุดหย่อน อีกทั้งเวลานี้ภายในหมู่บ้านยังมีผู้คนมากหน้าหลายตาเดินสวนกันอย่างพลุกพล่าน
วันนี้เป็นวันที่กองคาราวานจะมาวนกลับมารับบรรณาการที่หมู่บ้านอีกครั้ง มันจึงคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนจากที่ต่างๆเดินทางเข้ามาโดยมีจุดหมายไปยังสามเมืองใหญ่ของทวีปฟ้าสวรรค์
การค้าขายผักผลไม้กับผู้ฝึกตนจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ผู้คุ้มกันมากมายกระจัดกระจายอยู่ในเมือง พวกมันทำการซื้อขายเสบียงกับชาวบ้านอย่างคึกคัก
คนอื่นๆก็เริ่มที่จะหลั่งไหลเข้ามา และ พากันหลั่งไหลออกไป
ในขณะที่หนิงเทียนกำลังเดินชมอยู่ภายในหมู่บ้านนั้น มีชายชราที่หน้าตาเกียจคร้านกับเด็กน้อยที่แย้มยิ้มอยู่ตลอดเวลา ทั้งสองเดินตรงมาทางหนิงเทียน
“พี่ชายหนิง พวกเรากำลังตามหาท่านอยู่พอดี”เสียงตะโกนดังออกมาก่อนที่เด็กน้อยหน้าตายิ้มแย้มจะเดินมาถึงเสียอีก
“เด็กน้อยเจ้าอยู่นี่เอง ตามข้ามาระหว่างทางข้ามีเรื่องที่จะพูดกับเจ้า”
ชายชราหน้าตาเกียจคร้านผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นมันคือซานจื่อ หัวหน้าคุมกองบรรณาการแห่งหมู่บ้านปี้จุ่ยนั้นเอง
หนิงเทียนได้ยินเช่นนั้นก็บังเกิดความสงสัยขึ้น ก่อนที่มันจะเดินตามชายชราซางไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางชายชราซางก็ได้กล่าวขึ้นว่า
“เนื่องเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เด็กน้อย เจ้ามีความเห็นอย่างไร ถ้าหากข้าจะให้เจ้ารอขบวนคาราวานในอีกสิบวันข้างหน้า”
“มีเรื่องอันใดหรือ” หนิงเทียนถามออกอย่างสงสัย แต่จะอย่างไรก็ตามมันจะไม่รออีกต่อไปมันต้องการที่จะออกจากหมู่บ้านนี้ให้เร็วที่สุด
ซางจื่อกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง “จากประสบการณ์ของข้าบอกได้แค่เพียงว่ากองคาราวานมีสิ่งผิดปกติ มันจะต้องมีของบางอย่างที่ไม่สามารถจินตนาการถึงมันได้ ถูกลำเลียงมาด้วยแน่
เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?’
หนิงเทียนขมวดคิ้วเข้าหากัน “ท่านกำลังจะบอกข้าว่ายิ่งกองคาวานขนส่งของสำคัญมากเพียงใดมันจะยิ่งทวีความอันตรายมากขึ้นเท่านั้น”
“เด็กน้อย เจ้าเข้าใจได้ถูกแล้ว ยิ่งเป็นของสำคัญ ความอันตรายของมันยิ่งสูงขึ้น”
หนิงเทียนกล่าวอย่างไม่แยแส“ไม่จำเป็นต้องเลื่อนการเดินทาง ข้าต้องการออกจากหมู่บ้านในวันนี้”
ชายชราซางถอดถอนลมหายใจออกมา “เจ้ายังเยาว์นัก จงรักชีวิตน้อยๆของเจ้าบ้าง” ชายชราซางยังอธิบายต่อเพื่อหวังจะให้หนิงเทียนตัดใจ
“หัวหน้าในการคุมขบวนบรรณาการครั้งนี้ คือ เกาซุน หนึ่งในสามผู้พิทักษ์แดนฟ้าของเมืองฉางผิง เพราะมันเป็นภารกิจที่สำคัญ ผู้พิทักษ์แดนฟ้าอย่างท่านเกาซุนจึงลงมารับหน้าที่นี้โดยตนเอง”
มันเว้นช่องว่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจ ตัวข้าขอรับรองอีกสิบวันข้างหน้าเจ้าจะได้ออกจากหมู่บ้านนี้อย่างปลอดภัยแน่นอน”
“ข้าตัดสินใจแล้ว ท่านอย่าได้เสียเวลาโน้มน้าวข้าอีกเลย มันไม่มีผลใดๆ”
‘เฮ้อออ’ เสียงระบายลมหายใจของชายชราซางดังขึ้นอีกครั้ง
“เช่นนั้นเจ้าจงตามข้ามาข้าจะพาเจ้าไปพบกับท่านเกาซุน”
“ผู้พิทักษ์แดนฟ้า?” ดวงตาของหนิงเทียนหรี่ลงเล็กน้อยมันไม่คาดคิดว่าชายชราซางตรงหน้ามันจะมีความกว้างขวางเช่นนี้
“เมื่อตอนที่ข้ายังอยู่ภายในตระกูลซาง ข้าพอจะมีความสนิทกับท่านเกาอยู่บ้างเล็กน้อย
สิ่งที่ตาแก่จะทำได้ก็มีเพียงฟากฝั่งเจ้าแก่ท่านเกาเท่านั้น”
“ข้าขอบคุณในความปรารถนาดีของท่านมาก”หนิงเทียนรู้ดีว่าการที่ชายชราซางพยามช่วยเหลือมันอย่างมากนั้นเป็นเพราะแม่นางปี้เหยา มันจึงเอ่ยขอบคุณออกมาด้วยใจจริง
ในขณะเดียวกันซางจื่อได้หันไปกล่าวกับปี้ยี่ที่เดินอยู่ข้างๆ “เด็กน้อยกลับไปรอข้าที่กระโจมก่อนปู่มีเรื่องที่จะต้องพาพี่ชายหนิงของเจ้าไปทำ”
ปี้ยี่พยักหน้ารับคำแต่โดยดีมันใช้สองมือน้อยๆจับไปที่ฝ่ามือของหนิงเทียนก่อนจะกล่าวออก “พี่ชายหนิง พวกเราจะได้พบกันอีกไหม?”
หนิงเทียนนำมือของมันไปวางไว้ที่ศีรษะปี้ยี่ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ในวันที่ข้าพบเจ้าอีกครั้ง ข้าหวังว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นจนทำให้ข้าตกใจเลยนะ”
“ฮี่ฮี่ แน่นอน”ฟันขาวที่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบของปี้ยี่เผยออกมาให้หนิงเทียนเห็น
เมื่อกล่าวจบหนิงเทียนและซางจื่อทั้งคู่เดินตรงเข้ามาที่จุดจอดของขบวนบรรณาการ
หนิงเทียนมองไปยังคาราวานสามกองที่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่
คาราวานสามกองนั้นผูกติดกับสัตว์อสูรขนาดยักษ์ ดวงตาของมันเป็นสีเขียวมรกต
ลักษณะเป็นหมาป่าสีดำร่างยักษ์ หมาป่าตัวนี้มีขนาดประมาณมนุษย์ร่างใหญ่สิบถึงสิบห้าคนโอบ ลักษณะเด่นชัดที่สุดของมันคือปีกคู่ขนาดใหญ่
“มันคือ‘สัตว์อสูรลมปราณขั้นที่1 หมาป่าปีกดำ มันเป็นสัตว์เลี้ยงของเมืองฉางผิงที่ถูกฝึกฝนมาเพื่อการขนส่งสิ่งของที่มีความสำคัญโดยเฉพาะ”ชายชราซางที่เดินอยู่ข้างๆอธิบาย
หนิงเทียนจ้องมองไปยังหมาป่าปีกดำ สายตาสีเขียวมรกตของมันจับจ้องมายังหนิงเทียน หนึ่งคนหนึ่งอสูรจับจ้องไปที่กันและกันอยู่สองสามลมหายใจ
ทันใดนั้น ดวงตาสีเขียวมรกตของมันหลบลงในทันทีคล้ายกับว่ามันกำลังตกใจอะไรบางอย่าง
โครกก!!! หมาป่าปีกดำพยามที่จะสะบัดตัวออก ท่าที่ของมันแปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย สองปีของมันกางออกราวกับต้องการที่จะบินหนีออกไปจากที่แห่งนี้ทันที
“นี้มันเกิดอะไรขึ้น” ผู้คนที่อยู่รอบๆตะโกนอย่างตื่นตะหนัก
“มันกำลังกลัวอะไรบางอย่าง” เสียงของอีกคนหนึ่งดังขึ้น
เมื่อสิ้นเสียงทั้งสอง ผู้คุ้มกันในดินแดนนักรบนั้น ส่งเสียงฮือฮาแตกตื่น มันวิ่งหลบออกไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
หมาป่าปีกดำนั้นมีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนในแดนองครักษ์ขั้น9 ผู้คุ้มกันในระดับดินแดนนักรบนั้นไม่ใช่ตัวตนที่จะไปยืนอยู่เบื้องหน้าของมันได้ในเวลาที่มันคุ้มคลั่ง
ในขณะที่มันพยามกระพือปีกอย่างบ้าคลั่ง ปรากฎเงาของบุรุษหนุ่มทะยานออกมาจากกองคาราวานที่สองอย่างรวดเร็ว ท่าทางที่มันแสดงออกคล้ายกับว่ามันสามารถเดินบนอากาศได้
“นั้นมัน ท่าเท้าผนึกอากาศ” ผู้คุ้มกันที่ยืนอยู่รอบๆตะโกนด้วยความตกใจ
“วิ...วิชา ระดับมนุษย์ขั้นสูง คนผู้นั้นเป็นใครกัน”
“เจ้าโง่ เจ้าไม่รู้จัก ซินเฉา หรือไง”
“นั้นคือประกายสีขาวแห่งฉางผิง”
ผู้คนที่ยืนอยู่รอบๆทั้งสามขบวนคาราวานต่างส่งเสียงพูดคุยถึงบุรุษหนุ่มผู้นี้อย่างไม่หยุดหย่อนกระทั้งผู้คนที่อยู่ภายในกองคาราวานยังเดินออกมาดูเหตุการณ์เบื้องหน้ากันอย่างไม่ขาดสาย
พรึ่บ!! บุรุษหนุ่มที่ทะยานอยู่บนอากาศบิดตัวหลบปีกสีดำอันแหลมคมของหมาป่าปีกดำ
สองมือที่แปรเปลี่ยนเป็นเหล็กกล้า กดลงไปที่หัวของหมาป่าปีกดำ
ด้วยร่างกายอันใหญ่โตและพละกำลังที่มากล้นของหมาป่าปีกดำอสูรลมปราณขั้นที่1 กลับถูกมนุษย์ตัวเล็กๆ กดหัวลงไปแนบกับพื้นอย่างง่ายดาย
เพียงชั่วครู่ หมาป่าปีกดำที่คลุ้มคลั่งก็เริ่มที่จะสงบลง.. ..
“นั้นคือ ดินแดนแห่งปราชญ์ใช่หรือไม่”
“ใช่ที่ไหน คุณชายซิน นั้นอยู่ในระดับองครักษ์ เท่านั้น”
“เจ้าบ้าไปแล้ว องครักษ์ จะสู้กับสัตว์อสูรขั้นที่1ได้อย่างไร”
“เจ้าโง่ เจ้าไม่เห็นท่าเท้าผนึกอากาศและกายาเหล็กไหลทักษะระดับมนุษย์ขั้นสูงหรือไง ผู้คุ้มกันรอบๆต่างถกเถียงกันเสียงดัง
ผู้คุ้มกันที่มองเหตุการณ์อยู่บางคนอยู่ในอาการตกตะลึง บาง แสดงอาการดีใจ บางคนก็โห่ร้องปรบมือ ตะโกนชื่อ ‘ซินเฉา’ออกมาไม่ขาด
ดวงตาของซานจื่อมองไปยังซินเฉาอย่างเปล่งประกาย พร้อมกับอุทานออกมา
“อัจฉริยะจริงๆ ทายาทของตระกูลซิน ช่างมีพรสวรรค์น่ากลัวนัก”
หนิงเทียนมองไปยังซานจื่อ “ท่านรู้จักเขา?”
“ไม่มีใครในเมืองฉางผิงไม่รู้จักซินเฉา เขาเป็นผู้สืบทอดของสำนักคุ้มกันไป๋หลง ด้วยวัยเพียง19ปี สามารถเข้าสู่ดินแดนองครักษ์ขั้นที่9ได้ ความแข็งแกร่งของเขาติดหนึ่งในสามของผู้เยาว์เมืองฉางผิง”
หนิงเทียนพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะละสายตาไปอย่างไม่สนใจ หนิงเทียนไม่ได้ให้ความสนใจแก่ซินเฉานัก
ซานจื่อและหนิงเทียนเดินผ่านกองคาราวานทั้ง3มาเล็กน้อย ปรากฏชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมหรูหรา เพียงการมองชั่วครู่
หนิงเทียนก็รู้ได้ว่า ชายวันกลางคนนี้เป็นผู้นำขบวนคาราวานทั้งสาม คิ้วของหนิงเทียนยกขึ้นสูงเล็กน้อย มันไม่สามารถที่จะบอกระดับฝึกตนของชายตรงหน้ามันได้
ด้วยสัญชาตญาณของหนิงเทียน รวมกับการที่มันพิจารณาภาพพยัคฆ์ทมิฬกลืนจันทรา ทำให้การรับรู้ในระดับฝึกตนของหนิงเทียนมีสูงมาก
จะมีเพียงแต่ผู้ที่อยู่ในดินแดนที่สูงกว่ามันเท่านั้น ที่หนิงเทียนไม่สามารถบอกถีงระดับฝึกตนได้
“ท่านเกา” ซางจื่อโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ
“ผู้เฒ่าซางมีเรื่องใดถึงมาหาข้าด้วยตนเอง”มันกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มไม่ได้แสดงถึงความเหย่อหยิ่งเลยแม้แต่น้อย
“ชายแก่ผู้นี้มีเรื่องจะขอร้องท่านเกาเล็กน้อย”
“เรื่องอันใดท่านโปรดเอ่ยมา เราเองก็รู้จักกันมาหลายสิบปีอย่าได้เกรงใจ”
ซางจื่อมองไปยังหนิงเทียนก่อนจะกล่าวว่า “ท่านเกา นี้คือหลานชายของข้า ชายแก่ผู้นี้หวังเพียงให้เขาไปถึงเมืองฉางผิงโดยปลอดภัยเท่านั้น”
เกาซุนมองไปที่หนิงเทียน “หืมมนุษย์ขั้น9ด้วยอายุ15-16ปีนับว่าพรสวรรค์ดีกว่าผู้คนในชนเผ่าเล็กน้อย”
หนิงเทียนหัวเราะแล้วกล่าว “แม้ว่าพลังข้านั้นจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม ข้าก็ยังเป็นผู้ฝึกตนพอที่จะมีประโยชน์ต่อท่านแน่นอน ตัวข้าไม่ได้หวังรางวัลใดๆเพียงแค่ต้องการร่วมทางด้วยเท่านั้น”
“ฮ่าฮ่า ดีหนุ่มน้อย ข้านั้นชอบคนเช่นเจ้า จงอย่าตกตายไประหว่างทางแล้วกัน”
เมื่อกล่าวจบ มันตะโกนชื่อ หลี่เฟิง ดังไปด้านนอก
ชั่วครู่เดียว บุรุษหนุ่มอายุราว 17ปีเดินเข้ามา “หัวหน้าเกามีเรื่องใดให้ข้ารับใช้”
เกาซุนมองไปที่หนิงเทียนก่อนจะกล่าว“หลี่เฟิงนี้หลานชายผู้เฒ่าซาง ข้าขอฝากให้เจ้าดูแลเขาจนถึงเมืองฉางผิงด้วย”
หลี่เฟิงก้มศีรษะให้หนิงเทียนเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าชื่อ หลี่เฟิง ยินดีที่ได้รู้จัก เจ้าจะให้ข้าเรียกว่าพี่ชายหรือน้องชายดี?”
หนิงเทียนพิจารณาหลี่เฟิงอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
“ท่านเรียกข้าว่าหนิงเทียนเถอะ ปีนี้ข้ามีอายุ16ปีเห็นทีข้าคงต้องเป็นน้องชายแล้วละ”
มีไม่มากนักที่ผู้ฝึกตนในดินแดนองครักษ์จะก้มศีรษะทักทายคนในดินแดนมนุษย์ หลี่เฟิงเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนที่ไม่มากนั้น
มันจึงทำให้หนิงเทียนรู้สึกถูกชะตากับหลี่เฟิงอยู่ไม่น้อย
เกาซุนยังคงกล่าวกำชับอีกว่า “เจ้าหนุ่มหน้าที่เจ้าเพียงแต่ต้องดูแลตนเองและช่วยเหลือ ปกป้องกลุ่มมนุษย์ธรรมดาที่เป็นแรงงานทั่วไปของคาวานนี้เท่านั้น
ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งชั่วยามเจ้าจงไปเตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อกล่าวจบ มันเอ่ยลาชายชราซางก่อนที่จะเดินจากไปยังขบวนคาราวานที่หนึ่ง
“น้องชายหนิง ข้าขอตัวไปจัดเตรียมของก่อน อีกหนึ่งชั่วยามพวกเรามาเจอกันที่นี้อีกครั้ง”
เมื่อ หลี่เฟิงจากไป หนิงเทียน ก็ได้เอ่ยคำลาแก่ชายชราซางพร้อมได้ฝากน้ำผึ้งหยกเย็นสองขวดไว้ให้ปี้ยี่และปี้เหยา
จากนั้นมันก็รอคอยเวลาในการเดินทางอยู่เพียงคนเดียว
“อู๋ชาง” หนิงเทียนเรียกราชาภูตอย่างแผ่วเบาราวกระซิบ
ราชาภูตโผล่ศีรษะออกมานอกแขนเสื้อเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ“คุณชายเรียกข้ามีเรื่องอันใด”
“เจ้าสัมผัสถึงพลังฝึกตนของเกาซุนได้หรือไม่?”
“แดนแห่งปราชญ์ขั้น8”ราชาภูตเอ่ยตอบอย่างไม่แยแส
ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนไม่ได้ให้ความสนใจแก่อู๋ชางอีกมันเพียงแต่นั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียว
ในทวีปฟ้าสวรรค์นี้ การใช้พาหะนะสัตว์อสูรในการเดินทางนั้นจะใช้ได้เพียงบุคคลของอาณาจักรฟ้าสวรรค์เท่านั้นกฎข้อนี้ไม่เว้นแม้แต่บุคคลที่มีอำนาจจากทวีปอื่น
จึงทำให้ผู้คนส่วนมากที่ต้องการจะเดินทางจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง
มักจะเดินทางโดยการเข้าร่วมขบวนคาราวาน จะมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เลือกการเดินทางด้วยตนเอง
เนื่องจากเส้นทางจากอาณาจักรหนึ่งไปยังเมืองหนึ่งนั้น มันไกลมากอาจจะใช้เวลาเดินเท้าถึงครึ่งปีและที่สำคัญมันมีอันตรายอย่างมาก
ในทุกครั้งของการเดินทางโอกาสที่จะเผชิญกับสัตว์อสูรและโจรนั้นมีถึงครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว
...
หนึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“น้องชายหนิง ทางนี้” เสียงของหลี่เฟิงตะโกนออกมาพร้อมกับกวักมือเรียกหนิงเทียน
“ที่พักของพวกเราจะอยู่ในกองคาราวานที่สาม” พวกมันทั้งคู่กระโดดขึ้นกองคาราวานเพียงชั่วครู่ล้อของขบวนคาราวานก็หมุนออก
หนิงเทียนมองไปยังคาราวานที่หนึ่งด้านหน้าของมันใช้หมาป่าปีกดำในการลากมีเพียงสองคนเท่านั้นที่คอยควบคุมอยู่บนหลังของมัน
ในรอยต่อระหว่างขบวนจะมีเหล็กกล้าเชื่อมยึดติดกันระหว่างขบวนคาราวานให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
ขบวนคาราวานเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วด้วยการลากของหมาป่าปีกดำ หนิงเทียนและหลี่เฟิงทั้งคู่เดินเข้ามาภายในกองคาราวาน ทั้งสองตกเป็นเป้าสายตาของผู้คุ้มกันจำนวนมากโดยเฉพาหนิงเทียน
หลายคนจ้องมองไปยังหนิงเทียนอย่างสงสัยแต่ก็ไม่มีผู้ใดสนใจที่จะพูดคุยกับพวกมัน
นอกเหนือจากกลุ่มผู้คุ้มกันแล้วยังมีผู้เดินทางอีกมากมายหลายกลุ่มในกองคาราวานที่สามนี้ พวกมันต่างจับกลุ่มเป็นกลุ่มใครกลุ่มมันอย่างไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
ผู้คุ้มกันที่อ่อนแอที่สุดในกองคาราวานนี้ต่ำสุดก็อยู่ในแดนนักรบขั้นที่3 มีพวกชนชั้นสูงจำนวนมากที่ร่วมเดินทางมากับคาราวานนี้แม้ว่ามันจะอันตรายต่างจากคาราวานบรรณาการทั่วๆไป
แต่พวกมันทั้งหมดล้วนไว้วางใจเพียงเพราะผู้ที่นำขบวนเป็นถึง1ใน3ผู้พิทักษ์แดนฟ้าของเมืองฉางผิง พวกมันนั้นมั่นใจว่าจะได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี
“ด้วยความเร็วระดับนี้ อีกเพียง30วันเราจะถึงเมืองฉางผิง” หลี่เฟิงกล่าวออกมามันเริ่มที่จะพูดคุยกับหนิงเทียนก่อน
มันยังอธิบายต่ออย่างกระตือรือร้น “ขบวนด้านหน้าสุดเป็นของท่านเกา ส่วนตรงกลางนั้นสำนักคุ้มกันไป๋หลงเป็นผู้ดูแลอยู่ ในส่วนขบวนสุดท้ายกลุ่มกันภัยตระกูลหลานของพวกเราเป็นผู้ดูแลอยู่
ตระกูลหลานกับสำนักไป๋หลงนั้นไม่ถูกกันนัก น้องชายหนิงถ้าไม่จำเป็นอย่าได้เข้าไปยังขบวนคาราวานที่สอง พวกมันจะสร้างปัญหาให้แก่เจ้า”
หนิงเทียนพยักหน้ารับรู้ในคำเตือนของหลี่เฟิง เวลานี้มันหันไปมองรอบๆทุกทิศทาง
เมื่อหลี่เฟิงสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนเปลี่ยนทางใบหน้าของหนิงเทียน มันจึงถามออก
“น้องชายหนิง เจ้าออกเดินทางครั้งแรกใช่หรือไม่”
มันไม่รอให้หนิงเทียนได้ตอบ มันกล่าวต่อ “ในทวีปฟ้าสวรรค์นั้นถึงจะบอกว่ามี3เมืองใหญ่ก็จริง
แต่ทุกๆเมืองใหญ่จะปกครองเมืองเล็กๆหรือเผ่าต่างๆอีกจำนวนมาก ที่แห่งนี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆของทวีปฟ้าสรรค์เท่านั้น
ถ้าเจ้ามีโอกาส เจ้าสามารถไปยังอาณาจักรฟ้าสวรรค์ ที่นั้นเป็นเมืองหลวงของทวีปฟ้าสวรรค์ มีทั้งสัตว์อสูรลมปราณที่ใช้เดินทางอากาศมากมายและยังมีประตูมิติที่เชื่อมระหว่างอีกสามทวีปที่เหลือ ”
“แน่นอนพี่ชายหลี่ ข้านั้นต้องจะท่องไปทั่วพื้นที่ราบภาคกลาง” หนิงเทียนหัวเราะออก ตั้งแต่ออกเดินทางมา หนิงเทียนนั้นยิ้มบางๆ อย่างไม่หยุดมาตลอด
ในตอนที่มันยังเด็กมันมักจะออกมาบริเวณชายป่าพฤกษาทมิฬเพื่อมองออกไปยังโลกภายนอกอยู่เสมอ ในเวลานี้มันไปออกเดินทางอย่างแท้จริงแล้ว