ตอนที่ 32 เผ่าซิแก้แค้น
ทหารในชุดเกราะสีเงินส่องสว่างพวกมันทั้งหมดกำลังเคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้านปี้จุ่ยอย่างรวดเร็ว
“!!!! หนิงเทียน ท่านหลบไปเร็วพวกมันต้องเป็นคนที่เผ่าซิส่งมาเพื่อตามล่าท่านเป็นแน่”
ปี้เหยาบัดนี้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกมันหวาดกลัวว่าหนิงเทียนจะเป็นอะไรไป
“เหยาเอ๋อ เจ้าสงบใจก่อน มิใช่ว่าพวกมันกำลังเดินทางกลับหรอกรึ?” มุมปากของหนิงเทียนยกยิ้มอย่างชั่วร้าย
“แต่ว่า..มันอาจจะกำลังตามหาตัวท่านอยู่” ปี้เหยายังไม่ละความกังวลใจ
“ถ้าเช่นนี้พวกเรา กลับไปที่กระโจมบรรณาการก่อน แล้วจึงสอบถามเรื่องราวทั้งหมดกับพ่อบุญธรรมของเจ้าเป็นอย่างไร”
“พวกเรารีบไปกันเถอะ” ปี้เหยาวิ่งไปที่กระโจมบรรณาการอย่างรีบร้อน หนิงเทียนมองไปยังแผ่นหลังของนาง มันยิ้มอย่างอ่อนโยนและส่ายศีรษะอย่างช้าๆ
จากนั้นจึงค่อยๆเดินตามปี้เหยาไปอย่างไม่เร่งรีบอันใด
“พ่อบุญธรรม พ่อบุญธรรม” ปี้เหยาวิ่งอย่างรีบร้อนเข้ามายังกระโจมบรรณาการใบหน้าของมันตอนนี้ซีดขาว ไปด้วยความหวาดกลัว
“ท่านแม่เกิดอะไรขึ้น” ปี้ยี่ที่กำลังฝึกกระบี่อยู่นั้นถามกลับด้วยความร้อนรน
“เหยาเอ๋อเจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดถึงร้อนรนเช่นนี้?”เสียงอันราบเรียบของซานจื่อดังออกมา
“ท่านพ่อบุญธรรมพวกเผ่าซิ ยกทัพมาเพื่อจะจับคุณชายหนิง พ่อบุญธรรมโปรดช่วยเขาด้วย”
“ท่านแม่นี้มันเรื่องอะไรกันแน่?” ปี้ยี่ฟังคำบอกเล่าจากมารดาของมันด้วยอาการงุนงง
“เหยาเอ๋อเจ้าสงบสติลงก่อน”
เพียงชั่วครู่หนิงเทียนก็ได้เดินตามเข้ามาในกระโจม มันโค้งศีรษะเล็กน้อยไปที่ซางจื่อ เพื่อเป็นการเคารพเจ้าของสถานที่
ซางจื่อที่ละสายตาจากปี้เหยามองไปยังหนิงเทียน มันส่งยิ้มเล็กน้อยให้แก่หนิงเทียน
“เหยาเอ๋อไหนบอกพ่อบุญธรรมมา ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร”
“พ่อบุญธรรมระหว่างทางที่ลูกกลับมาลูกเห็นนักรบเกราะเงินของเผ่าซิมากมายอยู่ด้านหน้าของหมู่บ้าน มันต้องเป็นซิเฟยที่นำกำลังกลับมาแก้แค้น หนิงเทียนแน่นอน”
คิ้วของซานจื่อยกขึ้นสูงมันมองไปยังบุตรบุญธรรมของมัน “ถูกต้องเผ่าซิ ถึงกับนำอาชาเหินหาวเพื่อเร่งเดินทางกลับมาแก้แค้น แต่ผู้ที่นำกำลังมามิใช่ซิเฟยแต่เป็นซิหลางบิดาของมัน”
“หัวหน้าเผ่าซิมาด้วยตนเอง!!!! หนิงเทียนท่านต้องรีบหนีไป” น้ำเสียงของปี้เหยาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“เหยาเอ๋อเจ้าฟังพ่อบุญธรรมพูดให้จบก่อน เมื่อวันก่อนที่พ่อบุญธรรมออกไปทำธุระเร่งด่วน เพราะได้รับข่าวการเสียชีวิตของซิเฟย”
“อะไรนะ...ซิเฟยตายแล้ว สวรรค์ช่างเมตตาจริงๆ”แม้ว่าปี้เหยาจะตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยินแต่มันนั้นยังไม่ลืมขอบคุณสวรรค์ที่จัดการคนชั่วให้แก่แผ่นดิน
ปี้เหยายังคงกล่าวต่อ “พ่อบุญธรรมแล้วทหารพวกนั้นมาที่หมู่บ้านของเราทำไมกัน”
“พวกมันคงจะมาจับกุมครอบครัวของหัวหน้าหมู่บ้านปี้ชี”
“เพราะเหตุใดถึงต้องจับท่านปี้ชีไปด้วย” ปี้เหยากล่าวด้วยอาการตกใจ น้ำเสียงของมันเศร้าลงเล็กน้อย มันยังจดจำภาพที่ปี้ชีช่วยคุกเขาขอร้องแทนมันได้อยู่
ซางจื่อกล่าวตอบว่า “ในเรื่องนี้พ่อบุญธรรมพอทราบเรื่องราวมาบ้างเล็กน้อย ระหว่างการเดินทางกลับของซิเฟย
มันนั้นตกไปในกับดักของเผ่าเฮย จนต้องถอยรนเข้าไปในวัดร้างที่เป็นเขตแดนของเผ่าเฮย
ภายในคืนเดียวทหารทั้งหมดรวมถึงตัวนายน้อยแห่งเผ่าซิ พวกมันตกตายกันหมดจะเหลือรอดเพียงซิตู่คนเดียวเท่านั้น”
“ส่วนต้นตอของเรืองราวทั้งหมดนั้น เป็นเพราะหัวหน้าหมู่บ้านปี้ชีได้ขายข้อมูลการเดินทางของซิเฟยให้แก่เผาเฮยจึงเป็นเหตุให้พวกของซิเฟยทั้งหมดตกอยู่ในกับดักของเผ่าเฮยจนถึงแก่ความตาย”
เมื่อซิหลางได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากปากของซิตู่ มันจึงนำกำลังมาแก้แค้นแทนลูกชาย
ศีรษะของหัวหน้าชีถูกตัดแขวนไว้หน้าหมู่บ้าน ส่วนลูกและหลานของปี้ชีถูกนำตัวกลับไปยังเผ่าซิ”
เมื่อปี้เหยาได้ฟังพ่อบุญธรรมของมันกล่าวจบ ความรู้สึกหวาดกลัวของมันก็รู้สึกเบาบางลงไป
“ที่แท้เป็นข้าที่ห่วงหนิงเทียนจนเกินไป” ปี้เหยาเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ มันหลุดปากพูดออกไปว่า ห่วงหนิงเทียน สามคำนี้ ซางจื่อ ปี้ยี่และหนิงเทียนได้ยินอย่างชัดเจน
ใบหน้าของปี้เหยาแดงขึ้นมาทันที “เอ่อ ท่านพ่อบุญธรรมท่านคงหิวแล้วข้าจะไปเตรียมอาหารให้ท่าน” นางรีบออกจากกระโจมอย่างรวดเร็ว
หนิงเทียนแย้มยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “ท่านซางจื่อ ข้าขอถามอะไรท่านสักอย่าง”
“เด็กน้อย เจ้ามีอะไรจะถามตาแก่เช่นข้า” ซางจื่อตอบกลับด้วยเสียงอบอุ่น
“ท่านฝึกทักษะปราณน้ำแข็งใช่หรือไม่?”
“เด็กน้อย ตาแก่ผู้นี้เพียงฝึกทักษะธรรมดาเท่านั้นไม่มีค่าให้กล่าวถึง” เห็นได้ชัดว่าซางจื่อพยามบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามกับหนิงเทียน
“ถ้าท่านไม่เต็มใจที่จะตอบก็แล้วไปเถอะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ในขณะที่หนิงเทียนกำลังเดินกลับ
ซางจื่อเพียงยิ้มเล็กน้อยและส่งเสียงไล่หลัง หนิงเทียนออกมา “เด็กน้อย พรุ่งนี้ยามอาทิตย์ขึ้นกลางศีรษะขบวนคาราวานจะออกจากหมู่บ้านปี้จุ่ย เจ้าโปรดรักษาเวลาด้วย”
เมื่อกล่าวจบมันมองไปยังแผ่นหลังของหนิงเทียนที่ค่อยๆเล็กลง
มันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างค้างคาอยู่ภายในใจมัน แต่ไม่สามารถพูดออกได้เป็นเพราะสิ่งที่มันสงสัยนั้นไม่มีทางเป็นจริงแน่นอน
เด็กหนุ่มในดินแดนมนุษย์ไม่มีทางจะสังหารกลุ่มนักรบนับสิบคนได้แน่
สงครามที่กำลังจะเกิดระหว่างเฮยและซิ ไม่มีทางที่จะเป็นแผนการของเด็กวัย16ปีได้แน่ มันรีบสะบัดความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไปทันที
....
..... ..
บ้านหลังเล็กๆภายในมิติอนันตเวคี หนิงเทียนเหยียดกายลงบนเตียง
ศีรษะหนุนแขนทั้งสองข้าง มองไปยังเพดานด้วยท่าทีเหม่อลอย
ตั้งแต่เกิดมันกลับมาที่หมู่บ้านนี้เป็นครั้งที่สอง จิตใจของมันไม่อยู่กับตัวเลยแม้แต่การฝึกฝนลมปราณมันยังไม่มีสมาธิที่จะทำ
เมื่อหนิงเทียนครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ ดวงตาของมันก็หม่นหมองลง ความรู้สึกอันแปลกประหลาดพลุ่งพล่านภายในจิตใจของมัน
‘พรุ่งนี้.....นางจะพาข้าไปไหน’หนิงเทียนนึกถึงคำพูดก่อนที่จะแยกทางกันกับปี้เหยา
มันสลัดความรู้สึกใคร่รู้ออกไปทันที ภายในใจของมันตอนนี้ขัดแย้งกันอย่างยิ่ง
รุ่งเช้าวันต่อมา วันนี้นั้นครบกำหนด10วันที่กองคาราวานจากเมืองฉางผิงจะวนมาเก็บบรรณาการอีกครั้ง
หนิงเทียนและปี้เหยาทั้งสองมาถึงริมแม่น้ำดั่งเช่นเมื่อวานอีกครั้ง แต่คร่านี้ปี้เหยานั้นมาถึงก่อนเกือบชั่วยาม
หนิงเทียนเร่งฝีเท้าเดินไปหาปี้เหยาพร้อมกล่าว“เหยาเอ๋อ ขอโทษด้วยที่ข้ามาสาย”
เดิมทีตอนแรกนั้นหนิงเทียนไม่คิดจะมาตามนัด มันจึงทิ้งเวลานับชั่วยามแต่ไม่คาดคิดว่าปี้เหยายังจะรอมันอยู่โดยไม่ไปไหน
สีหน้าของหนิงเทียนแปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อมันได้เห็นรอยยิ้มของปี้เหยา
ปี้เหยายิ้มอย่างอ่อนโยน “หนิงเทียน ข้าจะพาท่านไปยังสถานที่หนึ่ง โปรดตามข้ามา”
ปี้เหยาก้าวเท้าช้าๆอย่างรวดเร็ว มุ่งไปยังชายป่าพฤกษาทมิฬ
ต้นไม้ บุปผาและสายน้ำ มันเป็นบรรยากาศที่ทำให้หนิงเทียนรู้สึกผ่อนคลายและเบิกบานใจ มันครุ่นคิดอยู่สักพักว่าสิ่งที่ทำให้มันเบิกบานใจนั้นเป็นบรรยากาศรอบๆหรือเป็นคนที่อยู่ข้างๆกันแน่...
“นั้นลูกวิหคสีฟ้า”ปี้เหยาชี้ไปด้วยอาการตื่นเต้น
“เจ้าชอบมันหรือ?”
ปี้เหยาพยักหน้าด้วยกิริยาอันน่ารัก
หนิงเทียนทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า สองมือของมันจับกุมไปยังลูกวิหคสีฟ้าทันที
“ข้าให้เจ้า” หนิงเทียนยื่นวิหคตัวน้อยสีฟ้า ให้กับปี้เหยา
ปี้เหยาส่ายหน้าช้าๆ “ข้าเพียงชอบมันเท่านั้น ธรรมชาติของวิหคนั้นย่อมต้องอยู่บนท้องฟ้า มันสมควรมีชีวิตที่โบยบินได้อย่างเสรี
ข้านั้นชอบมันเพียงเพราะความน่ารักของมัน แต่ข้าไม่สามารถจับมันขังไว้ในกรงแย่งชิงอิสระของมันได้ หนิงเทียนท่านปล่อยมันไปเถอะ”
หนิงเทียนคลายมือออกวิหคน้อยสีฟ้าบินหนีไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านช่างใจดีจริงๆ” หนิงเทียนมองไปที่หญิงสาวตรงหน้ามัน
พวกมันทั้งสองเดินกันต่อไป แต่ด้วยระยะทางที่ไกลพอสมควร มนุษย์ธรรมดาอย่างปี้เหยานั้น จึงมีอาการเหนื่อยเล็กน้อยเหงื่อใสๆเกาะกุมบนหน้าผากอันขาวบริสุทธิ์ของนาง
หนิงเทียนใช้มือของมันเช็ดออกอย่างอ่อนโยน แม้แต่ตัวมันเองยังไม่รู้ว่าเหตุใดถึงทำเช่นนี้
“ขอบคุณ หนิงเทียน”
น้ำเสียงของปี้เหยาช่างไพเราะกว่าทุกครั้งที่มันเคยได้ยิน
“เหยาเอ๋อ เจ้าเหนื่อยหรือไม่?”
“ข้าไม่เหนื่อย เราไปกันต่อเถอะในยามเที่ยงท่านก็จะจากหมู่บ้านนี้ไปแล้ว ข้าไม่อยากเสียเวลาแม้ลมหายใจเดียว” แม้นางจะกล่าวด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่หนิงเทียนรู้สึกถึงความเศร้าในน้ำเสียงของนางได้เป็นอย่างดี
ระหว่างทางเดินนั้นปี้เหยาเอ่ยขึ้นมาว่า “หนิงเทียน ท่านรู้จักดอกหอมหมื่นลี้หรือไม่?”
หนิงเทียนได้ยินดังนั้น หัวใจของเขาวูบหล่นลงมาทันที มันกล่าวอย่างตะกุกตะกัก
“ข้าไม่รู้จัก”
“ในหมู่บ้านของเรา มีความเชื่อว่าดอกหอมหมื่นลี้ มันสามารถส่งกลิ่นหอมไปได้ไกลถึงหมื่นลี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายอยู่ไกลเพียงใด เมื่อได้กลิ่นหอมนี้ จะเข้าใจถึงความคิดถึงของอีกฝ่ายได้”
เมื่อปี้เหยากล่าวจบ มันเดินต่อมาเพียงชั่วครู่ ข้างหน้าของมันเป็นทางราบยาว สองข้างทางปกคลุมไปด้วยดอกหอมหมื่นลี้
ปี้เหยานำมืออันขาวพ่องไปเด็ดดอกหอมหมื่นลี้ พร้อมกับกล่าว
“หนิงเทียนข้าอยากให้ท่านเก็บดอกไม้นี่ไว้ เมื่อท่านได้กลิ่นของมันขอให้ท่านคิดถึงข้าบ้าง”
“…..” ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบ
สายลมพัดโชนผ่านทั้งคู่ไป เส้นผมของปี้เหยาพลิ้วสะบัดไปสัมผัสใบหน้าของหนิงเทียน
ปี้เหยายิ้มอย่างเอียงอายพลางใช้มือรวบผมทัดไว้ที่หลังหู
“หนิงเทียนขอบคุณท่านมาก..” ปี้เหยาเอ่ยอย่างแผ่วเบาทำลายความเงียบลงขณะที่ดวงตาจับจ้องไปยังต้นหอมหมื่นลี้ที่กำลังพัดส่ายตามแรงของลม
“ข้าบอกเจ้าแล้วตัวข้าไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเลย พ่อบุญธรรมของเจ้าต่างหากที่ยื่นมือเข้าช่วย”
“ข้าหมายถึงขอบคุณที่ท่านมาเป็นเพื่อนข้าในวันนี้ต่างหากและขอบคุณที่ท่านได้มายังหมู่บ้านแห่งนี้ ท่านรู้อะไรหรือไม่?
ตอนที่ท่านแม่ของข้าจากไป ตอนนั้นข้าอายุเพียง8ปีเท่านั้น ข้าต้องพยามอย่างมากเพื่อที่จะเอาชีวิตรอดจากความหิวโหย อีกทั้งข้ายังต้องเรียกดูปี้ยี่ตั้งแต่เล็ก” นางกล่าวขณะใช้มือเล่นไปกับดอกหอมหมื่นลี้เบื้องหน้านาง
ปี้เหยากล่าวต่ออย่างเชื่องช้า “ในตอนที่ข้า8ขวบ ปี้ยี่ไม่สบายมากในเวลานั้นข้ากลัวมาก กลัวเขาจะเป็นอะไรไป
ข้านั้นรักเขาเหมือนลูกแท้ๆของข้าเอง ข้าไม่สามารถทิ้งเขา ไปได้” เวลานี้น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ปี้เหยาหยุดไปชั่วขณะนาง รวบรวมความกล้าของนางทั้งหมดแล้วจึงกล่าวต่อ
“หนิงเทียนท่านไม่ไปเมืองฉางผิงได้หรือไม่? ท่านอยู่หมู่บ้านปี้จุ่ยกับพวกเราต่อได้หรือไม่?” นางรู้แม้ว่าคำกล่าวของนางจะเป็นการเห็นแก่ตัว แต่มันเป็นสิ่งที่มาจากหัวใจของนางทั้งหมด
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นหัวใจของหนิงเทียนคล้ายกับถูกเข็มนับร้อยเล่มเข้ามาทิ่มแทง
มันมองไปยังดอกหอมหมื่นลี้ที่ได้มาจากปี้เหยาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“แม่นางปี้เหยา”ในครั้งนี้มันเรียกแม่นางปี้เหยา มิใช่เหยาเอ๋อ แบบทุกครั้ง หนิงเทียนยังคงกล่าวต่อ “สำหรับตัวข้าในทุกๆคืนมีแต่เพียงเงาของกระบี่เท่านั้นที่เป็นเพื่อน
ข้ามุ่งไปสู่เส้นทางของความแข็งแกร่งเพื่อที่จะอยู่เหนือผู้คนทั่วหล้าและเส้นทางที่ข้าจะมุ่งไปนั้นไม่อาจมีผู้ใดเดินร่วมทางได้ ฉะนั้นขอให้ท่านโปรดลืมข้าไปเถอะ”
เรื่องราวในครั้งนี้มันอาจจะเป็นเศษเสี้ยวความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาของหนิงเทียนเท่านั้น
ในชีวิตก่อนของหนิงเทียนมันได้ใช้ดาบตัดทุกสิ่งทิ้ง แม้ความรักจากคนที่รักมันเพียงเพราะชีวิตนักรบอย่างมันอาจเกิดในตอนเช้าแต่ไม่อาจล่วงรู้ชะตากรรมในยามเย็นได้
ปี้เหยาแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนมาที่หนิงเทียน “ข้าคิดแล้วว่าท่านต้องตอบเช่นนี้ ตัวท่านเป็นดั่งวิหคสีฟ้าตัวนั้นที่บินบนท้องฟ้าอย่างอิสรภาพเสรี”
นางเว้นระยะอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะกล่าวต่อ“พวกเรากลับกันเถอะเดียวจะไม่ทันยามเที่ยง” ปี้เหยาเพียงแต่ลุกขึ้นยืนเดินนำหน้าอย่างเงียบๆ
บรรยากาศระหว่างทางกลับนั้นเต็มไปด้วยความเงียบ เมื่อมาถึงหน้าหมู่บ้านเสียงของหนิงเทียนได้ทำลายบรรยากาศมาคุนั้นทิ้ง
“แม่นางปี้เหยาข้าขอตัวก่อน ถ้าเรามีโชคชะตาต้องกันสักวันหนึ่งเราจะพบกันอีก รักษาตัวด้วย”
“คุณชายหนิงท่านโปรดรักษาตัวด้วย”
สิ้นเสียงของปี้เหยาหนิงเทียนเดินจากไปช้าๆด้วยท่าทีเหม่อลอยในมือของมันยังถือดอกกุ้ยฺฮวาไว้อยู่
ปี้เหยาที่มองดูหนิงเทียนค่อยๆเดินจากไปดวงตาของนางมีประกายน้ำใสๆหยดจากดวงตาของนางลงสู่พื้นดิน
สองมือของนางจับกุมไปที่หยกสีเขียวกระจางนิ้วมือของนางลูบไปที่ตัวอักษรที่สลักคำว่า “เลือด” ที่ด้านหลังของแผ่นหยก
“เวลานี้ข้าไม่สามารถที่จะเดินเส้นทางเดียวกับท่านได้ ข้าจะพยามให้มากกว่านี้และวันหนึ่งข้าจะไปเดินบนเส้นทางเดียวกับท่าน...” นางพึมพำกับตนเองก่อนจะหันหลังเดินจากไป....
หลังจากแยกทางกับปี้เหยา หนิงเทียนเดินออกมาด้วยท่านิ่งเฉยแต่ภายในใจของมันนั้นสับสนเป็นอย่างมาก
นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันรู้สึกเช่นนี้ แต่มันก็ไม่เคยชินสักครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
มันสลัดความสับสนในหัวทิ้งไป ก่อนจะเดินตรงเข้าไปภายในหมู่บ้านปี้จุ่ย นี้เป็นเพียงก้าวแรกในเส้นทางการฝึกฝนของมันเท่านั้น