ตอนที่ 31 ดอกกุ้ยฮวา
สองวันต่อมา ในยามเช้า หนิงเทียนเหลือเวลาที่จะอยู่ในหมู่บ้านนี้อีกเพียงสองวันเท่านั้นก่อนที่มันจะต้องออกจากหมู่บ้านนี้ไปกับขบวนคาราวาน
เวลานี้หนิงเทียนมองเห็นหมู่บ้านปี้ยี่อีกครั้งหนึ่ง บนใบหน้าของมันยังคงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
มันนั้นใช้เวลาถึงสองวันในการเดินทางจากวัดร้างของเผ่าเฮยกลับมายังหมู่บ้านปี้จุ่ยแห่งนี้อีกครั้ง
แต่ถ้านับกับจริงๆแล้วด้วยพลังในจุดสูงสุดของดินแดนองครักษ์แล้วการเดินทางในระยะแค่นี้ มันสามารถใช้เวลาเพียงหนึ่งวันเต็มเท่านั้น
ในขณะที่หนิงเทียนย่ำเท้าลงบนถนนสายหลักที่ทอดยาวไปสู่หมู่บ้านปี้จุ่ยแล้วนั้น
มันพลันหยุดเท้าลงและหันหลังกลับ ก้าวเดินออกไปทางบริเวณชายป่าพฤกษาทมิฬ มันก้าวเดินพลางชมดูรอบๆด้าน
มันมองเห็นต้นไม้ริมทางเรียงรายเป็นสายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพียงชั่วขณะจิตมันกลับเหม่อมองไปยังต้นไม้ที่ไหวตามกระแสลมต้นหนึ่ง
‘นั้นมัน ดอกกุ้ยฮวา’ หนิงเทียนจับจ้องไปยังดอกกุ้ยฮวาอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่มันจะลอบถอนหายใจออกด้วยความความรู้สึกบางอย่าง
‘ในโลกแห่งนี้ก็ยังมีดอกกุ้ยฮวาอยู่สิน่ะ’หนิงเทียนก้าวเดินเข้าไปใกล้พร้อมกำลังใช้มือหมายจะเด็ดดอกกุ้ยฮวาออกมา ในขณะที่มือของมันกำลังจะสัมผัสนั้น
บังเกิดภาพผู้หญิงนางหนึ่งในห้วงความคิดมัน
‘เซี่ยฮวา เวลานี้ท่านคงจะเป็นฮองเฮาของแผ่นดินฉินอยู่’ภาพในอดีตของหนิงเทียนก่อขึ้นในห้วงความคิดมากมาย
ในชีวิตก่อนที่มันยังเป็นแม่ทัพของอาณาจักรฉิน มันได้เรียนรู้ความรักจากผู้หญิงนางหนึ่ง...
หนิงเทียนสะบัดศีรษะขับไล่ความคิดต่างๆที่เข้ามาออกไป มันเหม่อมองไปยังแม่น้ำสายหนึ่งที่คดเคี้ยวทอดยาว ‘หัวใจของมนุษย์ก็เป็นดั่งเช่นแม่น้ำสายนี้’
ขณะที่หนิงเทียนปล่อยจิตใจล่องลอยไป มันก็ได้ก้าวไปนั่งอยู่ริมแม่น้ำอย่างเชื่องช้า
แม้แต่อู๋ชางที่มักจะพูดมากอยู่เป็นประจำ เวลานี้มันได้เพียงแต่มองไปที่นายของมันอย่างเงียบเฉียบ
หนิงเทียนนั่งอยู่ที่ริมแม่น้ำ มองไปยังหมู่บ้านปี้จุ่ย ผู้คนในหมู่บ้านต่างทำกิจวัตรประจำวันกันอย่างเป็นปกติ บ้างก็กำลังซักเสื้อผ้าอยู่ที่ริมแม่น้ำ บ้างก็กำลังปลูกผักกันอยู่ หนิงเทียนเหม่อมองอยู่เป็นเวลานาน
ไม่มีใครล่วงรู้ว่าตอนนี้หนิงเทียนกำลังคิดอะไรอยู่ โดยปกติแล้วมันจะเป็นคนที่ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก
แต่ในเวลานี้แม้แต่หญิงชราที่นำเสื้อผ้ามาซักห่างจากมันเพียงไม่กี่ก้าว กลับไม่ทำให้มันรู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ
มีเพียงเงาเลือนรางที่ตกกระทบผิวน้ำด้านหน้ามันเท่านั้น ที่ทำให้มันตื่นจากภวังค์
“คุณชายหนิง เป็นท่านใช่ไหมคุณชายหนิง” น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นดังแว่วมาทางด้านหลัง
หนิงเทียนค่อยๆรู้สึกตัว มันหันหน้าไปอย่างช้าๆจึงได้เห็นหญิงสาวในชุดสีฟ้าสดใส
ยืนอยู่ด้านหน้าของมัน “....แม่นางปี้เหยา!” หนิงเทียนเปล่งเสียงออกมาบางเบา
“เป็นท่านจริงๆ คุณชายหนิง” ใบหน้าที่ขาวอมชมพูของปี้เหยาเปล่งประกายขึ้นมาทันที น้ำเสียงของมันไม่อาจข่มความดีใจของตนเองไว้ได้
‘เป็นนาง...มิคาดว่าจะเป็นนาง’ ดวงตาของหนิงเทียนปรากฏอาการสั่นไหวเล็กน้อย
ขณะที่มันกำลังจะเอ่ยคำพูดบางอย่างออกไป
ตุ้บ...
ร่างผอมบางของปี้เหยาโผล่เข้ามากอดมันอย่างทันที เพียงชั่วอึดใจเดียวคล้ายกับว่าปี้เหยานั้นนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
นางจึงผละร่างออกจากหนิงเทียนอย่างรวดเร็วใบหน้าของปี้เหยาเวลานี้แดงราวกับลูกตำลึงความรู้สึกที่ยากจะบรรยายก็พลุ่งพล่านในหัวใจของคนทั้งคู่ ดวงตาของทั้งสองจับจ้องกันและกัน
ทั้งคู่ยืนนิ่งอยู่เนินนานเช่นนี้ กระทั่งน้ำเสียงใสกระจ่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งตะโกนออกมา จึงทำให้ทั้งคู่ รู้สึกตัว ทั้งสองหันมองไปยังต้นตอของเสียงเรียกนั้น
“พี่ชายหนิง พี่ชายหนิง นั้นท่านใช่หรือไม่” ปี้ยี่ที่วิ่งเข้ามาด้วยความดีใจ
หนิงเทียนยิ้มอ่อนๆให้ปี้ยี่ “เป็นข้าเอง หืมม...เด็กน้อยไม่เจอกันเพียง2วัน เจ้ากลับกลายเป็นผู้ฝึกตนในแดนมนุษย์ขั้นที่2ไปแล้ว”
“เป็นเพราะน้ำผึ้งจากบ้านพี่ชายหนิงแน่ๆ ข้ารู้สึกว่าหลังจากกินน้ำผึ้งของท่านมันช่วยให้ร่างกายของข้ามีกำลังมากขึ้น”
ปี้ยี่กล่าวต่อ“เอ่อ พี่ชายหนิง ข้ายังไม่ได้กล่าวขอบคุณท่านเลยที่ได้ช่วยท่านแม่ของข้าในยามที่คนทั้งหมู่บ้านมองพวกเราเป็นเช่นศัตรู” บัดนี้ดวงตาของมันเป็นประกาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเคารพ
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ปี้เหยาขอขอบคุณคุณชายหนิงที่ได้ออกหน้าช่วยเหลือ” ถึงยามนี้ปี้เหยาจึงค่อยๆรู้สึกตัว
“พวกเจ้าทั้งสองกล่าวเกินไปตัวข้านั้นไม่ได้ช่วยอะไรพวกเจ้าเลย เป็นเฒ่าซางต่างหากที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเจ้าทั้งสอง”
“แต่ว่าถ้าไม่มีคุณชายหนิง ตัวข้านั้นไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร”ปี้เหยากล่าวด้วยความซาบซึ้ง
“ในเมื่อเราเจอพี่ชายหนิงแล้ว ท่านแม่พวกเรากลับไปคุยกันที่กระโจมดีไม่ ข้านั้นหิวจะแย่อยู่แล้ว” ปี้ยี่เอ่ยด้วยความซุกซนเช่นทุกครั้ง
เวลานี้ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้วที่มันได้กลับมาในกระโจมบรรณาการอีกครั้ง
หนิงเทียนที่นั่งอยู่หน้าประตูกระโจม มองไปยังผู้คนที่เดินผ่านไปมาในใจนั้นครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่าง
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง ปลุกให้หนิงเทียนรู้สึกตัว หนิงเทียนมองเห็นปี้เหยาเดินเข้ามาพร้อมอาหารในมืออย่างเชื่องช้า
บัดนี้หนิงเทียนจ้องมองไปยังปี้เหยาอย่างไม่ละสายตา ด้วยเสื้อผ้าสีฟ้าสดใส
เอวที่คอดกิ่ว ผมยาวสลวยทอดมายังบ่าของนาง ใบหน้าของนางงดงามยิ่งขึ้นทุกครั้งที่ได้จ้องมอง
มุมปากของนางปรากฏรอยยิ้มจางๆ “คุณชายหนิง ท่านลองชิมอาหารของข้า ข้ารับรองได้ว่าจะไม่เป็นเหมือนโจ๊กผักข่มที่ท่านได้ทานครั้งแรก”
“พี่ชายหนิง ท่านแม่ของข้าสวยใช่หรือไม่?” หนิงเทียนถูกปลุกขึ้นจากภวังค์ด้วยคำพูดของปี้ยี่ มันมองไปที่หนิงเทียนด้วยแววตาไร้เดียงสา
ใบหน้าของปี้เหยาแดงซ่านมันกล่าวด้วยเสียงเชิงตำหนิไปยังปี้ยี่ “เจ้าเป็นเด็กกลับแก่แดดเช่นนี้ได้อย่างไร”
“คุณชายหนิงท่านอย่าได้สนใจคำพูดของเด็กคนนี้เลย ว่าแต่สองวันมานี้ท่านหายไปไหนมา
ปี้เหยากลัวพวกสารเลวเผ่าซิจะผิดคำพูดย้อนกลับทำร้ายท่าน” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเป็นห่วงปนความโกรธแค้นเมื่อกล่าวถึงเผ่าซิ
‘นางเป็นห่วง....ไม่ ข้ากำลังคิดอะไรอยู่? แม้ว่านางจะคล้ายแต่นางไม่ใช่เซี่ยฮวา” มันพยามขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปโดยเร็ว
“พี่ชายหนิง ท่านใจลอยอีกแล้ว” ปี้ยี่ร้องเตือนพร้อมกับหัวเราะออก “คิก คิกๆ พี่ชายหนิงท่านกำลังตะลึงในความงามของท่านแม่อยู่ละสิ”
“นี้เจ้า...” ปี้เหยามองไปยังปี้ยี่ด้วยสายตาเชิงตำหนิ ก่อนจะหันมากล่าวกับหนิงเทียน
“คุณชายหนิง ท่านอย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของปี้ยี่เด็ดขาดนะ”
หนิงเทียนยิ้มรับพร้อมกล่าวต่อ“ว่าแต่เหตุใดข้าจึงไม่เห็นเฒ่าซาง” มันเอ่ยถามออกไป เหตุเพราะตัวมันนั้นยังติดใจทักษะกระบี่สีครามของซางจื่ออยู่ไม่น้อย
“ท่านปู่มีงานด่วน” ปี้ยี่เอ่ยในขณะที่จิตใจของมันอยู่ที่อาหารของปี้เหยาหมดแล้ว
“คงเป็นวันพรุ่งที่ท่านจะกลับมา”ปี้เหยากล่าวเสริมอีกคนหนึ่ง
หนิงเทียนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจแต่อย่างไร เพียงชั่วครู่ท้องของปี้ยี่ก็คำรามออกมาเป็นดั่งสัญญาณในการเริ่มทานอาหาร
เวลาผ่านไปทั้งสามรับประทานอาหารกันด้วยรอยยิ้มและสีหน้าที่เปี่ยมสุข
หนิงเทียนส่งยิ้มไปทางปี้เหยา “แม่นางปี้เหยาอาหารของท่านอร่อยมากๆ ข้าขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้”
“ถ้าคุณชายหนิงชอบ ท่านสามารถมารับประทานอาหารที่กระโจมนี้ได้ทุกวัน”
“ท่านแม่ อีกสองวันพี่ชายหนิงก็จะไปกับขบวนคาราวานแล้ว เขาจะมากินอาหารของท่านแม่ทุกวันได้อย่างไร’ ด้วยคำพูดที่ไร้เดียงสาของปี้ยี่นั้นทำให้ความอึดอัดเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว
ดวงตาของปี้เหยาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ทั้งสองเงียบอยู่ชั่วครู่
“นี้ข้าพูดอะไรผิดหรือท่านแม่ พี่ชายหนิง” ปี้ยี่มองไปยังทั้งสองสลับกันไปมาอย่างช้าๆ
มันไม่รู้แม้แต่น้อยว่ามันพูดอะไรที่ไม่สมควรออกไป
“วันนี้ก็ใกล้จะมืดแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”หนิงเทียนรีบกล่าวลาก่อนที่บรรยากาศมันจะอึมครึ่มไปมากกว่านี้
“เอ่อ.. คณชายหนิงพรุ่งนี้ท่านมีเวลาว่างพอที่จะดื่มชาร่วมกันหรือไม่” ปี้เหยากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายกับว่ามันเป็นคำที่พูดออกไปอย่างยากลำบาก
หนิงเทียนพยักหน้าอย่างช้า พร้อมกลับหันหลังเดินจากไป
ภายในมิติ อนันตเวคี หนิงเทียนทรุดกายลงในบ้านหลังเล็กๆที่สร้างขึ้นมาเพื่อมันโดยเฉพาะ มือข้างหนึ่งของมันก่ายไปที่หน้าผาก อีกข้างหนึ่งหยิบดอกกุ้ยฮวาออกมาจากชายเสื้อ
มันจับจ้องไปดอกกุ้ยฮวาในมืออย่างดำลึก ภายในจิตใจบังเกิดเรื่องราวในอดีตขึ้นมา
‘ท่านแม่ทัพนี้คือดอกกุ้ยฮวา ท่านรู้จักอีกชื่อหนึ่งของมันหรือไม่
มันถูกเรียกว่าหอมหมื่นลี้ ตราบใดที่แม่ทัพซือได้กลิ่นของมัน ขอให้ท่านรับรู้ไว้เสมอ ว่าเซี่ยฮวา คิดถึงท่านอยู่ทุกขณะจิต’ หนิงเทียนค่อยๆปิดตาลง จมลึกสู่ห้วงนิทรา....
เช้าวันรุ่งภายในบริเวณรอบๆหมู่บ้านปี้จุ่ย ทางเข้าไปสู่ป่าพฤกษาทมิฬ หนิงเทียน ปี้เหยาและปี้ยี่ ทั้งสามนั่งลงบนพื้นหญ้าสีเขียวขจี
“แย่แล้วท่านแม่ ข้าแย่แล้ว” ปี้ยี่กล่าวด้วยความตื่นตระหนกอย่างมาก
“มีเหตุอันใดหรือเจ้าถูกพวกปี้ฟานรังแกมาอีก” ปี้เหยาถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
หนิงเทียนมองไปยังปี้ยี่ราวกับกำลังรอฟังคำตอบของมันอยู่
“ท่านแม่ ข้าลืมไปได้ยังไง เย็นนี้ท่านปู่จะกลับมาข้าต้องรีบไปเตรียมตัวฝึกกระบี่ก่อน พวกท่านค่อยๆดื่มชากันไปก่อนไม่ต้องรอข้านะ” สิ้นคำกล่าวของปี้ยี่มันไม่รอให้ทั้งสองเอ่ยคำใดออกมา
มันรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้หนิงเทียนและปี้เหยานั่งอยู่เพียงสองคน
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของปี้ยี่ หนิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมามันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงขบขัน “ปี้ยี่คงมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ จึงรีบร้อนถึงเพียงนี้”
ใบหน้าของปี้เหยาขณะนี้แดงซ่านด้วยความอาย มันมิคาดคิดมาก่อนเลยว่าปี้ยี่จะใช้วิธีนี้ทิ้งให้มันอยู่ด้วยกันตามลำพัง
ปี้เหยาคลี่ห่อผ้าที่มันเตรียมมา พร้อมนำถ้วยชาส่งใส่มือของหนิงเทียน ปี้เหยารินชาให้แก่หนิงเทียนอย่างสุภาพพร้อมทั้งกล่าวว่า
“ข้านั้น ต้องการขอบคุณท่านอีกครั้งก่อนที่ท่านจะไปจากหมู่บ้านนี้ ถ้าวันนั้นท่านไม่ก้าวเข้ามายืนข้างข้าในวันที่โลกถล่มทับใส่ ตัวข้านั้นคงจะยอมตายเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตนเองไปแล้ว”
หนิงเทียน วางถ้วยชาในมือของมันลง พร้อมกล่าวด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้
“อย่าได้ขอบคุณอะไรข้าเช่นนี้อีกเลยแม่นางปี้เหยา การที่ข้าช่วยเหลือเจ้า เพราะว่าเจ้าเป็นผู้หญิงที่มีน้ำใจ
ในวันที่ข้ามาถึงหมู่บ้านนี้ครั้งแรก ถึงแม้เราจะเข้าใจผิดกันเล็กน้อย แต่ก็เป็นเจ้าที่ให้ความช่วยเหลือข้าต่างๆนาๆ
การที่ข้าช่วยเหลือเล็กๆน้อย นั้นไม่สามารถนับว่าเป็นบุญคุณอันใดได้”
“แต่มันได้สร้างความลำบากแก่คุณชาย ทั้งยังทำให้ท่านเป็นศัตรูกับเผ่าซิอีกด้วย”
ปี้เหยากล่าวต่ออย่างเศร้าสร้อย “ยามนั้นมีผู้คนมากมาย แต่มีเพียงท่านที่ยืนอยู่ข้างข้า คุณชายหนิงท่านโปรดระวัง อิทธิพลของเผ่าซินั้นมีมากมายนัก
ระหว่างการเดินทางไปเมืองฉางผิงของท่านคนชั่วซิเฟย อาจจะหวนกลับมาเล่นงานท่านก็ได้”ประโยคหลังของนางนั้นแผ่วเบายิ่ง
ปี้เหยายังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด “เผ่าซินั้นมีอิทธิพล อย่างมากในพื้นที่รอบนอกแห่งนี้ แต่ท่านกลับยินยอมล่วงเกินเผ่าซิเพื่อข้า มันช่างไม่คุ้มกันเลยจริงๆ”
ได้ยินคำพูดของปี้เหยา หนิงเทียนลอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
“แม่นางปี้เหยาเรื่องพวกนี้ไม่ได้สลักสำคัญอันใดอีกทั้งวันพรุ่งข้าจะจากที่นี้ไปยังเมืองฉางผิงแล้ว”
“คุณชายหนิงท่านจะเรียกข้าว่า เหยาเอ๋อได้หรือไม่” ปี้เหยาแย้มยิ้มกล่าวด้วยเสียงค่อย
หนิงเทียนเห็นใบหน้าหญิงสาวตรงหน้าของมันแดงซ่านเล็กน้อยขณะกล่าววาจาในใจออกมา ตัวมันไม่คาดคิดว่านางจะอยากให้เรียกหาอย่างใกล้ชิดเช่นนี้
น้ำชาในมือของหนิงเทียนที่เย็นตามกาลเวลา เวลานี้มันกับอุ่นขึ้นมาทันที ความรู้สึกที่อบอุ่นและยากที่จะอธิบายในใจได้นี้คือ.....
หนิงเทียนถือถ้วยชาอย่างครุ่นคิดบางอย่าง มันเอ่ยปากถามออก “เหยาเอ๋อ เจ้ามีความคิดจะทำเช่นไรต่อไป”
“เวลานี้ข้าเพียงติดตามท่านพ่อบุญธรรมและเลี้ยงดูปี้ยี่ต่อไปจนเมื่อปี้ยี่อายุครบ10ปี ข้าจะนำพาเขาไปหา ครอบครัวที่แท้จริง”
“ครอบครัวที่แท้จริง?”
“เรื่องนี้ตัวข้าเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมายนัก ปี้ยี่หยิบหยกสีเขียวกระจ่างออกมา นี้คือจี้หยกที่ติดตัวปี้ยี่มาตั้งแต่เกิด
ท่านแม่ของข้าได้สั่งเสียก่อนที่ท่านจะจากไปว่าเมื่อปี้ยี่อายุครบ10ปี ให้เขาสวมจี้หยกนี้และเดินทางไปยังหมู่บ้านหนึ่งฤดู ท่านแม่ได้สั่งเสียไว้เพียงเท่านี้”
“หมู่บ้านหนึ่งฤดูคือที่ใด?”หนิงเทียนถามอย่างสงสัย
“ข้าก็เคยถามท่านแม่เช่นนั้น ท่านได้เพียงแต่ตอบว่าเมื่อปี้ยี่อายุครบ10ปีจะมีคนมานำทางไปเอง”
หนิงเทียนมองไปยังใบหน้าของปี้เหยา “เรื่องนี้สำคัญเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงบอกแก่คนนอกเช่นข้า”
ปี้เหยาจ้องมองกลับไป ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “ข้าเองไม่คิดว่าท่านเป็นคนนอก”
“แค่กๆ แค่ก เมื่อได้ยินคำพูดของปี้เหยา หนิงเทียนหนิงเทียนกระแอมออกมาไม่หยุดยั้ง” มันซึ่งเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่กลับมีอาการประหม่าเช่นนี้
‘คิกๆๆ’ ปี้เหยาหัวเราะออกกับท่าทีที่หนิงเทียนแสดงออก
“จริงสิคุณชายหนิง พรุ่งนี้คุณชายพอจะมีเวลาหรือไม่ ข้าจะพาท่านไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง”
“พรุ่งนี้ข้าพอจะมีเวลาว่างเล็กน้อยในช่วงเช้า อีกอย่างเจ้าเรียกข้าว่าหนิงเทียนเถอะ”
วันพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายในหมู่บ้านปี้จุ่ยของหนิงเทียน มันคงจะเป็นวันที่มันต้องตัดสินใจ
ปี้เหยายิ้มอย่างมีความสุข “ท่านรับปากข้าแล้วน่ะ พรุ่งนี้ยามเช้าเรามาพบกันที่นี้”
หนิงเทียนพยักหน้าช้าๆ “เช่นนั้นให้ข้าเดินไปส่งเจ้าเถอะ”
เมื่อทั้งสองเดินออกมาจากริมแม่น้ำ เป็นเวลาพลบค่ำก่อนที่จะถึงกระโจมบรรณาการ
ทั้งสองเห็นกลุ่มผู้ฝึกตนนับ50คน สวมใส่ชุดเกราะสีเงินส่องแสงสว่างแม้ยามมืด
พวกมันทั้งหมดขี่อาชาเหินเวหาที่เป็นสัตว์ป่าระดับหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงแสนยานุภาพอย่างสูงล้น