ตอนที่ 30 วิญญาณร้ายสีดำ
เมื่อสิ้นเสียงอันแหบแห้ง หมอกสีดำคล้ายหมึกแปรเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มอายุราวๆ16ปีเวลานี้มันยืนอยู่เบื้องหน้าของซิเฟยด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
“จ....จะเจ้า เสียงของซิเฟยติดๆขัดๆ ลิ้นของมันผูกมัดกันเป็นปมเพียงต้องตั้งใจฟังอย่างดีถึงจะรู้ว่ามันต้องการจะเอ่ยคำใดออกมา
“เจ้า...คือ...เด็ก....หนุ่มในหมู่บ้านหนิง...หนิง....หนิงเทียน”
“หนิงเทียน” ซิตู่มองไปด้วยสายตาเบิกกว้างมันจำได้ทันที ภูตผีวิญญาณร้ายตรงหน้ามันคือเด็กหนุ่มที่ต่อสู้กับมันในหมู่บ้านเมื่อสามวันก่อน
“จำข้าได้แล้วเช่นนั้น??” ในขณะที่มันกล่าวออกมันใช้เท้าเหยียบไปบนศีรษะที่แห้งกังของศพทหารเผ่าซิ
“เจ้าเป็นใครกันแน่” ซิตู่ตะโกนด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“เจ้าๆเป็นเพียงแค่แดนมนุษย์ขั้นที่9เท่านั้น ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก” ซิเฟยกล่าวออกแต่เสียงของมันแผ่วเบามากเหลือเกิน ขาทั้งสองข้างของมันสั่นด้วยความกลัว
เวลานี้ใบหน้าของทั้งคู่ที่เคยเต็มไปด้วยสีเลือดแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวราวกระดาษพวก มันสองคนนายบ่าวก้าวถอยหลังพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย บรรยากาศภายในวันล้างการเป็นเงียบงันในทันที
หนิงเทียนมองไปที่พวกมันทั้งคู่โดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย มันปล่อยให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปอย่างช้าที่สุด
มันนั้นรู้ดีว่าช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดไม่ใช่เวลาตายแต่เป็นเวลาที่รู้ว่าจะต้องตายแต่ไม่รู้ว่าความตายจะมาหาเมื่อไรต่างหาก
จู่ๆเสียงของซิเฟยก็ดังขึ้นมาทำลายความเงียบหงัน “ซิตู่ ฆ่ามัน มันต้องใช้เล่ห์กลอย่างแน่นอน ไม่มีทางที่แดนมนุษย์ขั้น9จะสังหารดินแดนนักรบ30คนได้ ใช่แล้ว มันต้องวางยาพิษพวกเราอย่างแน่นอน
ไปไปไปฆ่ามัน ฆ่ามันนน” มันตะโกนออกมาอย่างคนเสียสติ
ซิตู่นั้นอยู่ในอาการกลืนไม่เข้าคายก็ไม่ออก มันไร้หนทางที่จะทำ มันไม่สามารถถอยได้ แต่ถ้ามันก้าวไปข้างหน้า ใครจะรับประกันมันได้ว่า มันจะเห็นแสงในวันพรุ่งนี้
“ฆ่ามัน ฆ่ามัน” เสียงของซิเฟยผู้เป็นนาย ตะโกนออกมา ปลุกความกล้าในสายเลือดนักรบเผ่าซิของซิตู่ในทันที
เมื่อความกลัวที่กัดกินอยู่ภายในใจของมันถูกสลัดออกไป ซิตู่พลันเร่งพลังปราณออกมาปกคลุมไปทั่วร่าง
ร่างกายของมันเปลี่ยนเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ ซ้ายปิดชีพปรากฎอยู่ในมือของซิตู่ มันคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง เวลานี้เสียงของมันไม่ใช่เสียงของมนุษย์อีกต่อไป “โฮ๊กกกกกกกกก....”
หนิงเทียนยกยิ้มอย่างเช่นเคย รอยยิ้มของมันดุจดั่งมัจจุราช มันพุ่งตัวอย่างรวดเร็วด้วยเก้าวิญญาณท่องนภา สุดยอดท่าเท้าของโลกหล้านี่
ปังง!!!!
สองมือของหนิงเทียนนั้นกุมเข้าไปที่ลำคอของซิตู่ ลมปราณราชสีห์ที่คอยคุ้มครองซิตู่อยู่นั้นแตกกระจายราวกับเศษแก้ว มันยกร่างครึ่งคนครึ่งสัตว์ของซิตู่ลอยขึ้นจากพื้น
ซิตู่พยามที่จะใช้เท้าทั้งสองข้างตะกายหาพื้นดิน ตัวมันนั้นไม่สามารถเปล่งเสียงร้องใดๆออกมาได้แม้แต่น้อย
เพียงเพราะมือทั้งสองข้างของหนิงเทียนกุมอยู่ที่หลอดลมของมัน เวลานี้ตัวมันไม่ต่างกับกุ้งที่ถูกหนีบด้วยครีมเหล็กขนาดใหญ่
หนิงเทียนนั้นไม่ได้ออกแรงในมือทั้งสองข้างมากนัก มันจะไม่ปล่อยให้ซิตู่ตายเร็วเกินไปอย่างแน่นอน
ในขณะที่ร่างกายของซิตู่อยู่ในมือของมัน หนิงเทียนมองไปยังซิเฟยพร้อมกล่าวด้วยเสียงที่เย็บเหยียด
“ตัวข้านั้นเป็นคนที่มีหนี้แล้วต้องชำระคืน ถ้าครั้งใดไม่ได้ชำระคืน ข้านั้นจะนอนไม่หลับและเมื่อข้านอนไม่หลับข้าก็อยากที่จะสังหารผู้ที่ทำให้ข้านอนไม่หลับ”
“จะ...เจ้า!” ซิเฟยมองไปด้วยความหวาดกลัว มันพยามที่จะหาทางรอดสุดท้ายของมัน
ถึงอย่างไรมันเองก็เป็นถึงว่าที่หัวหน้าเผ่าคนต่อไป มันรวบรวมความกล้าของมันออกมา
ซิเฟยถีบพื้นพุ่งเข้าหาหนิงเทียนอย่างรวดเร็ว มันเสี่ยงที่จะสู้ดีกว่าจะรอคอยความตาย
ในขณะที่มันพุ่งตัวใส่หนิงเทียน มันรวบรวมพลังปราณทั่วร่างโยกย้ายไปยังฝ่ามือข้างขวา ใช้ออกด้วยกระบ่วนท่า ‘ฝ่ามือราชสีห์คำรน’
ฝ่ามือของมันกระแทกไปยังหน้าอกของหนิงเทียน
กึบบบ!!!! เสียของกระดูกที่แตกหัก มันดังมาจากฝ่ามือของซิเฟย กระดูกข้อมือของมันทิ่มแทงออกมาภายนอก นิ้วทั้งห้าหักไปด้านหลังจนแนบชิดกับแขน
อ้ากกก!!!
ซิเฟยส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด มันทิ้งตัวลงไปนอนดิ้นอยู่กับพื้น ราวกับสุนัขที่โดนน้ำร้อนลวก
ซิตู่ที่เวลานี้อยู่ในกำมือของหนิงเทียนใบหน้าของมันสิ้นหวังถึงขีดสุด
มันมองไปที่ฝ่ามือราชสีห์คำรนของซิเฟยที่แตกหัก อย่าว่าแต่ตัวมันแม้แต่หัวหน้าเผ่าซิถ้าใช้หน้าอกรับตรงๆละก็ไม่ตกตายก็ต้องพิการเป็นแน่
มุมปากของหนิงเทียนยกสูงขึ้น “ยังไม่ถึงตาเจ้าเหตุใดถึงใจร้อนนัก”
หนิงเทียนแย้มยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มง่ายๆที่แสนธรรมดา แต่สำหรับซิเฟยที่มองเห็นนั้น มันรู้สึกถึงความอำมหิตไปยังส่วนลึกของจิตใจ
ซิเฟย กุมข้อมือที่หักของมันมองไปยังหนิงเทียนด้วยความหวาดกลัว บัดนี้เป้ากางเกงของมันนั้นเปียกชุ่มไปด้วยของเหลว
ซิตู่พยามรวบรวมพลังเพื่อจะกล่าวคำพูดออกมาอย่างยากลำบากทั้งๆที่ลำคอของมันถูกฝ่ามือของหนิงเทียนบีบเอาไว้
มันพยามเปล่งเสียงออกอย่างสุดชีวิตราวกับว่าถ้ามันไม่ได้ถามคำถามนี้ออกไป มันจะไม่มีทางตายตาหลับได้ “เจ้าเป็นใครกันแน่”เสียงอันแผ่วเบาของมันดังขึ้น
“เจ้าถามว่าข้าเป็นใคร? ....ข้านั้นจะแสดงความเมตตาแก่เจ้าสักเล็กน้อย เมื่อเจ้าตายไปแล้ว เจ้าจะได้สามารถบอกแก่ จงขุย ได้ว่าผู้ใดเป็นคนฆ่าเจ้า”
*จงขุย เทพเจ้าแห่งนรกของจีน
“ข้าได้รับการว่าจ้างจาก เผ่าเฮยให้มาเอาชีวิตน้อยๆของเจ้า เจ้าคิดหรือว่าเรื่องราวแปลกๆที่เกิดขึ้นกับพวกเจ้าในระหว่างการเดินทางกลับ
และการที่เจ้าต้องเดินทางเข้ามาในภูเขาของเผ่าเฮยลูกนี้เป็นเพราะ เรื่องบังเอิญ?
เปล่าเลยมันเป็นเพราะข้าล่วงรู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าจะเดินในเส้นทางใด จึงได้วางจุดจบของพวกเจ้าให้เป็นวัดร้างแห่งนี้”
หนิงเทียนคลายแรงในมือของมันลงเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวต่อ
“พวกเจ้าคงสงสัยสินะว่าข้าล่วงรู้เส้นทางการเดินพวกของเจ้าได้อย่างไร
ฮ่าๆ สวะที่ชื่อ ปี้ชีนั้นช่างเป็นนกสองหัวโดยแท้จริงเพียงข้าบอกฐานะที่แท้จริงของข้าออกไป พวกมันสองพ่อลูกรีบกระดิกหางขายพวกเจ้าให้กับข้าทันที”
เมื่อได้ยินดังนั้นดวงตาของซิตู่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น การตายด้วยน้ำมือของผู้ที่แข็งแกร่งกว่ามันอาจจะยอมรับได้
แต่การที่มันถูกเจ้าสารเลวสองพ่อลูกขายให้กับเผ่าเฮยนั้นเป็นเรื่องที่มันไม่สามารถรับได้
ซิตู่ได้สาบานไว้ภายในใจ ‘ต่อให้ข้าเหลือเพียงวิญญาณก็จะกลายเป็นวิญญาณอาฆาตสารเลวสองพ่อลูกเช่นเจ้า’
เมื่อหนิงเทียนกล่าวจบ มันพลันออกแรงบีบทันทีแต่แรงนั้นก็ไม่ได้ทำให้ซิตู่ถึงตายแต่อย่างใด
กร๊อบ!! เสียงกระดูกคอของซิตู่แตกหัก มันหมดสติลงทันที
“เปราะบางยิ่งนัก” หนิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงหยามเยียดพร้อมทั้งหันไปยังร่างที่สั่งเทิมอยู่กับพื้น “ต่อไปตาเจ้าแล้ว ท่านนายน้อยเฟยผู้สูงศักดิ์”
“เจ้า เจ้าอย่าเข้ามาน่ะ เจ้าอยากได้อะไรข้าจะหาให้เจ้า เจ้าต้องการหินลมปราณหรือไม่ หรือเจ้าต้องเป็นหัวหน้าเผ่าซิ ข้า...ข้านั้นจะให้เจ้าหมดเลยได้โปรด ได้โปรดอย่าฆ่าข้า”
ด้วยตัวตนของหนิงเทียนที่ดุจดังภูตพราย ทำให้มันสั่นกลัวอย่างสุดแสน
หนิงเทียนยิ้มอย่างสบายใจ “ข้าขอทวงหนี้ ที่เจ้าติดข้าไว้หน่อยละกันนะ ยามอยู่ในหมู่บ้านเจ้าทั้งมองข้าด้วยสายตาเหยียดหยามทั้งก่นด่าข้าต่างๆนาๆ”
“ข้า..ข้าขอร้องโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย” ซิเฟยรีบคลานเข่ามาแทบเท้าของหนิงเทียนก่อนที่จะก้มหัวลงไปเลียที่ปลายเท้าราวกับสุนัข
“มันสายไปแล้ว” รอยยิ้มบนใบหน้าของหนิงเทียนเลือนหายไป แทนที่ด้วยใบหน้าอันเหี้ยมโหมอำมหิตดุจปีศาจ
พร้อมทั้งปล่อยรังสีฆ่าฟันอันมากล้นออก จิตสังหารของมันไม่ใช่ของที่สามารถฝึกได้ด้วยฝีมือ มันเกิดจากการฆ่า ฆ่าเพียงเท่านั้น
จิตสังหารของตัวมันนั้นมิได้เป็นรองบิดามารดาทั้งห้าของมันเลยแม้แต่น้อย
หนิงเทียนมองไปยังปลายเท้าของมันที่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำจากปากของซิเฟยพร้อมทั่งกล่าวออกมา
“ในเมื่อเจ้าทำความสะอาดเท้าให้ข้า อีกทั้งข้าเองก็ไม่ใช่คนใจดำอะไร เจ้าจงรับของขวัญจากข้าไป ของสิ่งนี้เป็นของที่ทั้งชีวิตของเจ้าไม่สามารถแม้แต่ที่จะมองมันด้วยสายตา”
เมื่อกล่าวจบหนิงเทียนหยิบเโอสถเม็ดหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ
“นี้คือยาอันใดเจ้ารู้หรือไม่?”
ไม่มีเสียงใดๆออกจากปากซิเฟยแม้แต่คำเดียว ในจิตใจของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างสูง มันจะไปมีแรงอันใดตอบคำถามหนิงเทียนได้อีก
“ถ้าเจ้าไม่ตอบ ข้าจะบอกเจ้าเอง โอสถเม็ดนี้คือโอสถสวรรค์ ใช่มันคือโอสถสวรรค์ ถ้าเทียบกับสมุนไพรอย่างโสมอายุวัฒนะของเจ้าแล้วมันต่างกันราวไข่มุกกับขี้ควายเลยทีเดียว
ข้าจะให้เจ้าได้มีโอกาสลิ้มรส โอสถระดับสวรรค์” หนิงเทียนมองไปยังโอสถเม็ดสีขาวนวลที่ภายในมือของมัน จากนั้นมันส่งโอสถเข้าปากซิเฟยอย่างรวดเร็ว
ซิเฟยตาเบิกกว้างด้วยความกลัว โอสถพิษอันใดที่มันได้กินเข้าไป
“ไม่ต้องห่วงข้าไม่ได้ใจร้ายถึงกับให้เจ้ากินยาพิษอย่างแน่นอน โอสถที่เจ้าได้กินไปเมื่อครู่มันคือโอสถสวรรค์ปกป้องหัวใจ
เม็ดยานี้แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่สามารถปรุงมันขึ้นมาได้ สรรพคุณมันนั้นดีเป็นอย่างมาก มันช่วยป้องกันหัวใจเจ้า
ภายใน3ชั่วยามตราบเท่าที่หัวใจของเจ้าไม่ถูกทำลาย เจ้านั้นจะไม่ตายอย่างแน่นอน”
ใบหน้าของซิเฟยตอนนี้เต็มไปด้วยความตกตะลึง มันรู้ถึงเหตุผลเป็นอย่างดีว่าเพราะเหตุใดหนิงเทียนจึงให้มันกินโอสถที่มีค่าเช่นนี้ ใช่แล้วแค่เพียงเรียกร้องหาความตาย ตัวมันเองยังไม่มีสิทธิ์
อ๊ากกกกกกกกก!!!!
มีดสั้นขนาดเล็กที่เกิดจากน้ำแข็ง พุ่งตรงไปยังแขนทั้งสองข้างของซิเฟย ประกายโลหิตสาดกระจายไปเต็มพื้น เส้นเอ็นที่ข้อมือของมันถูกตัดขาด
ซิเฟยเปล่งเสียงร้องโหยหวนอย่างอนาถ ยังไม่สิ้นเสียงร้องของซิเฟยประกายมีดที่2ฟันไปยังขาทั้งสองของมัน เส้นเอ็นขาทั้งสองข้างถูกตัดขาดอย่างไร้ปราณี
อ๊ากกกเสียงร้องของซิเฟยแหบแห้ง
“ฆ่า..ฆ่า..โปรด..ฆ่าข้า” ซิเฟยที่เมื่อครู่ก่อนนั้นยังหวาดกลัวต่อความตายอย่างสุดแสนเวลานี้มันกลับเรียกร้องหาความตายแทน
ซิเฟยพยามดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด แต่บัดนี้แขนและขาทั้งสองข้างมันไม่สามารถขยับได้อีกแล้ว มีเพียงส่วนลำตัวเท่านั้นที่ยังขยับส่ายไปมาอยู่
“ฆ่า...ฆ่าข้า” เสียงร้องที่แหบแห้งแผ่วเบาออกมาจากปากซิเฟย
“ข้าไม่อยากฟังเสียงแหบๆของเจ้า” มีดที่สามของหนิงเทียนตัดไปยังลิ้นของซิเฟย
อ้ากกกกกกกกกกกกกเสียงกรีดร้องโหยหวนของมันดังสนั่น
บัดนี้ร่างของซิเฟยแน่นิ่งไปกับพื้น บาดแผลของมันนั้น ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนในแดนปราชญ์เองก็ต้องตกตายไปอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ด้วยความวิเศษของโอสถสวรรค์ กลับทำให้ซิเฟยรอดพ้นจากความตาย มันหายใจแผ่วเบา เจ็บปวดทรมารอย่างแสนสาหัสบังเกิดทั้งบนร่างและจิตใจ
ข้านั้นจะไม่ฆ่าเจ้า หนิงเทียนกวาดมือเบาๆครั้งหนึ่ง แท่งน้ำแข็งขนาดเล็กพุ่งไปยังจุดตันเถียน ศูนย์รวมทะเลปราณของมันทันที ปังง!! ทะเลลมปราณของซิเฟยเหือดแห้งลง
บัดนี้นายน้อยผู้สูงศักดิ์กลับกลายเป็นเช่นตัวพิการไร้ค่าคนหนึ่ง ครั้งนี้มันไม่มีแม้แต่เสียงร้องออกมา
"อู๋ชางส่งมันไปให้ซานซันดูแล จงกำชับแก่มันด้วยว่า ข้านั้นไม่ต้องการให้นายน้อยเฟยตกตายเร็วนัก"
".... ได้ตามที่ต้องการ คุณชาย" ราชาภูตรับคำก่อนที่ส่งปราณมิติสีดำเข้าปะทะกับร่างกายที่คล้ายกับไม่ใช่มนุษย์ เพียงครู่เดียวร่างกายของซิเฟยหายวับไปในทันตา
ในชีวิตเดิม หนิงเทียนนั้นจะเข่นฆ่าทรมานคน เพียงเพราะความแค้นและสงครามเท่านั้น แต่ในครั้งนี้มันกลับเข่นฆ่า ทรมานคนเพียงเพราะความสนุก
นิสัยของมันนั้นแปรเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แม้แต่ตัวมันเองก็ยังไม่รู้สึกถึงอุปนิสัยที่แปลกเปลี่ยนไปเวลาที่มันลงมือฆ่าคน
ตัวมันในตอนนี้ช่างคล้ายคลึงกับบิดาสี่ ‘ทูตแห่งความตาย จูซง’ อย่างไม่ผิดเพี้ยน
จากนั้นหนิงเทียนก็ได้เดินออกไป จากวัดร้างอย่างช้าๆ มันพึมพำเบาๆกับตัวเองว่า ‘ท่านพ่อสี่เคยบอกไว้ ฝ่ามือดูดวิญญาณเมื่อถึงระดับสูงสุดผู้ตายจะไม่เหลือแม้เพียงร่างกาย'
มันหันกลับไปมองยังซากศพที่นอนเกลื่อนกลาดนับ30ศพ พลางส่ายศีรษะ 'ตัวข้ายังห่างไกลคำว่าสำเร็จมากนัก’
ราชาภูตมองไปยังภาพด้านหลังอย่างสยดสยอง เด็กอายุ16กลับโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้แล้วจิตสังหารนั้น
มิใช่จากบุคคลที่อายุ16ปีจะมีได้มันต้องเป็นผู้ที่เคยผ่านการฆ่าฟันมานับแสนนับล้านชีวิต
หนิงเทียนทะยานตัวออกจากวัดร้างอย่าไม่ใส่ใจ ชั่วครูราชาภูตก็เปิดปากของมันออก มันถามหนิงเทียนด้วยความสงสัย
“คุณชาย มนุษย์ตัวเหม็นที่ท่านบีบคอมันยังไม่ตาย ท่านรู้หรือไม่?”
หนิงเทียนไม่ได้สนใจจะตอบคำถามใดๆของราชาภูต มันเพียงแต่ทะยานร่างไปข้างหน้าเท่านั้น
ราชาภูตยังมิคลายความสงสัย มันยังกล่าวต่อไปอีก“คุณชาย ที่ท่านตามพวกมันมาถึง3วันเพียงเพราะต้องการโยนความผิดให้ผู้อื่น?”
หนิงเทียนรู้สึกรำคาญกับคำถามที่ออกจากปาก อู๋ชางอย่างไม่หยุดหย่อน มันจึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบออกมาว่า “อู๋ชาง เจ้ารู้จักคำพูดที่ว่า นั่งบนภูดูพยัคฆ์สู้กันหรือไม่”
“มันเป็นเคล็ดลับทักษะต่อสู้วิชาใด ราชาผู้นี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” ราชาภูตรู้สึกงุนงงกับคำพูดของ หนิงเทียน
หนิงเทียนเพียงแต่ส่งยิ้มจางๆให้กับความโง่ของราชาภูต มันไม่ได้กล่าวอันใดต่อ มันเพียงแต่เร่งความเร็วทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
.............
......