ตอนที่ 28 ต่อสู้อย่างสุนัข
“หนิงเทียนหนีไปอย่าได้เข้ามายุ่งเรื่องของข้าเลย” น้ำเสียงที่ปนสะอื้นของปี้เหยาเต็มไปด้วยความห่วงใย
ทุกคนในลานกว้างที่ได้เห็นการปะทะกันของซิตู่และหนิงเทียน ต่างตกตะลึงจนถึงกับอุทานออกมา “เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใครสามารถปะทะกับท่านซิตู่ได้”
“ท่าน...ท่านพ่อ มันเป็นใครกัน” ปี้ฟางถามพ่อของมันอย่างตกตะลึง
“…”ดวงตาของปี้ชีพลันหดแคบลง เด็กนี่อายุเพียง15-16ปี กลับมีพลังฝึกตนในระดับเดียวกันตัวมัน
ซิเฟยมองไปยังหนิงเทียนอย่างตกตะลึง แดนมนุษย์ขั้น9 พรสวรรค์ของหนิงเทียนเหนือกว่าตัวมันในช่วงอายุเดียวกันอย่างมาก ยิ่งคิดเช่นนั้นภายในใจของซิเฟยมีแต่ความโกรธ มันตะโกนย้ำไปยังซิตู่ “ฆ่า...ฆ่ามัน”
ใบหน้าของซิตู่เวลานี้เต็มไปด้วย จิตสังหาร“แม้ข้าจะเสียดายพรสวรรค์ของเจ้า แต่วันนี้คือวันตายของเจ้า”
ซิตู่คำรามกึกก้อง โคร้กกก!!! สิ้นเสียงคำรามของราชสีห์ ร่างกายของซิตู่พลันเปลี่ยนไปเส้นผมของมันสยายขึ้น เล็บอันแหลมคมงอกจากนิ้วมือของมัน
“นั้นมัน ทักษะกรงเล็บราชสีห์” ปีชี้มองไปด้วยแววตาที่เป็นประกาย
ตัวมันนั้นติดอยู่ในดินแดนมนุษย์ขั้นที่9มานับ50ปีเพียงเพราะมันไร้ซึ่งวาสนาได้อ่านทักษะบ่มเพาะเช่นนี้
‘กรงเล็บราชสีห์’ ซิตู่ยกนิ้วอันใหญ่โตของมันขึ้น แสงสีขาวพุ่งออกจากปลายนิ้วทั้งห้า มันดูอ่อนแอและเปราะบาง ทว่ามันยังพุ่งแหวกอากาศเข้าหาหนิงเทียนอย่างรวดเร็ว
แม้จะเป็นทักษะระดับต่ำแต่ซิตู่นั้นฝึกมันถึงระดับเชี่ยวชาญแล้ว มันจึงแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
“พลังโจมตีนั้นไม่เลวมีทั้งความแข็งกล้าและรังสีสังหาร น่าเสียดายที่มันเป็นเพียงทักษะมนุษย์ระดับต่ำ” หนิงเทียนวิเคราะห์การโจมตีอย่างไม่สนใจ
ในขณะเดียวกันหนิงเทียนยกมือขึ้นมาชี้ไปยังร่างกายของซิตู่ นิ้วอันเรียวเล็กของหนิงเทียนแปรเปลี่ยนเป็นอ้วนใหญ่คล้ายนิ้วของพญาราชสีห์
เล็บที่แหลมคมงอกออกมาจากปลายนิ้วของหนิงเทียน ด้านหลังของมันปรากฏภาพเลือนลางคล้าย ราชสีห์กำลังขู่คำราม
หนิงเทียนจงใจตะโกนเสียงดังกระบ่วนท่า“กรงเล็บลูกสุนัข” กระบวนท่าของหนิงเทียนนั้นแตกต่างจากซิตู่เล็กน้อย
ตรงที่ร่างกายของมันไม่ได้แปรเปลี่ยนภาพลักษณ์เป็นน่าเกลียดเหมือนเช่นซิตู่ แต่กลับมีภาพอวตารเลือนลางของพญาราชสีห์ปรากฎขึ้นด้านหลัง
ฝูงชนทั้งหลายพยามขยี้ตา ราวกับว่าเรื่องภาพเลือนลางของพญาราชสีห์ที่ปรากฎให้พวกมันเห็นตรงหน้าไม่ใช่ความจริง
แสงสีขาวที่ดูอ่อนโยนแต่แข็งกร้าวของหนิงเทียน พุ่งเข้าปะทะพลังที่ซิตู่ปล่อยออกมา เกลียวของแสงทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ มันเป็นการปะทะกันระหว่างสองกระบวนท่าที่คล้ายคลึงกัน
ปัง!!!!!!!!! คราวนี้เป็นซิตู่ที่กระเด็นถอยออกไปถึงหกก้าว
เห็นได้ชัดว่ากระบ่วนท่าที่มันทั้งคู่ใช้นั้นคล้ายกันอย่างมากจะต่างก็เพียงชื่อเรียกเท่านั้น แต่ที่น่าอดสูยิ่งกว่าคือ ท่ากรงเล็บลูกสุนัขของหนิงเทียนกลับมีพลังร้ายกว่ากรงเล็บราชสีห์ของซิตู่
เวลานี้ดวงตาของซิเฟย เบิกกว้าง ตัวมันนั้นรู้ดีกว่าใคร กระบวนท่าที่หนิงเทียนใช้เป็นกระบ่วนท่ากรงเล็บราชสีห์ของเผ่ามันอย่างแน่นอน
และแม้แต่บิดาของมันยังไม่สามารถสร้างภาพอวตารให้ปรากฎขึ้นได้ มันเริ่มรู้สึกถึงลางร้ายจางๆจากเด็กหนุ่มตรงหน้ามัน
ทหารในชุดเกราะของเผ่าซิบางคนถึงกับเอ่ยออกมา “นั้นมันกรงเล็บราชสีห์”
ด้วยคำพูดที่เผลอตัวของทหารในชุดเกราะ มันดึงความสนใจของฝูงชนไม่น้อย
แม้แต่คนโง่ก็ดูออกว่าทักษะของหนิงเทียนนั้นอยู่ในระดับที่สูงกว่าซิตู่อย่างเห็นได้ชัด เวลานี้มันยากที่จะบอกว่า ใครกันแน่เป็นเจ้าของทักษะที่แท้จริง
ซิตู่นั้นตกตะลึงกับภาพอวตารราชสีห์อย่างมาก มันที่ทุมเทฝึกฝนทักษะกระดูกราชสีห์มานับ100ปี แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างภาพอวตารได้เหมือนเช่นเด็กหนุ่มตรงหน้ามัน
ในเวลานั้นภายในสมองของมันมีเพียงอย่างเดียวคือ “ฆ่า....เด็กนี้ยังไม่โตเต็มวัยอีกทั้งยังมีพลังแค่แดนมนุษย์เท่านั้น จะต้องตัดไฟแต่ต้นลมให้สิ้นซาก”
ซิตู่หยิบกรงเล็บเหล็กออกมาจากแหวนมิติสีขาว กรงเล็บเหล็ก มันมีปลายแหลมสามแท่งยาวครึ่งเมตร ส่องแสงสีเงินวาว “เจ้าอย่าฝันว่าแค่นี้จะชนะข้าได้ ดินแดนมนุษย์ก็ยังเป็นเพียงขยะวันยังค่ำ”
เมื่อเห็นกรงเล็บเหล็ก ทหารในชุดเกราะของเผ่าซิระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ทหารอีกคนกล่าวออกมา “มันจบแล้ว เมื่อผู้อาวุโสซิตู่ นำซ้ายปลิดชีพ อาวุธลมปราณในแดนนักรบออกมาก็ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตไปจากมันได้”
ปีชี้ถึงกับพึมพำเสียงเบาออกมา “ขวาปลิดวิญญาณและซ้ายปลิดชีพเป็นสองกรงเล็บชั้นนักรบที่สร้างชื่อเกรียงไกรให้กับเผ่าซิ ขวาปลิดวิญญาณนั้นเป็นอาวุธประจำกายหัวหน้าเผ่าซิ
ส่วนซ้ายปลิดชีพ เวลานี้มันได้ปรากฎตรงหน้าของข้าแล้ว”
หนิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก มันกล่าวออกด้วยเสียงแผ่วเบา ‘อู๋ชาง เจ้าได้ทำสิ่งที่ข้าสั่งแน่แล้วหรือ’
‘แน่นอนสิ คุณชายข้านำข้อความของท่านไปทิ้งไว้ในกระโจมตามที่ท่านบอกแล้ว’
‘เหตุใดมันยังไม่ออกมา หรือข้าจะเข้าใจผิดไปเอง’
ในขณะที่หนิงเทียนกำลังคิดเรื่องบางอย่าง แสงสีขาวสามสายขนาดเท่านิ้วก้อยมันพุ่งเข้าใส่มันอย่างรวดเร็ว ภาพที่ทุกคนเห็นคือ ศีรษะของหนิงเทียนถูกแทงด้วยกรงเล็บเหล็ก
ทุกคนกรีดร้องออกมาด้วยควาดสยดสยองกับภาพตรงหน้า แต่เพียงชั่วครู่มันแปรเปลี่ยนเป็นเงาจางๆเท่านั้น
“นั้น ภาพติดตา ใช่ภาพติดตาหรือไม่” ฝูงชนที่กรีดร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“เจ้าคงเป็นพวกที่เอาดีในวิชาท่าร่างสินะ ข้าไม่แปลกใจที่เจ้าจะหยิ่งยโสเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่เจ้ามาเจอกับซ้ายปลิดชีพของข้า” สีหน้าของซิตู่เฉยชาก่อนที่มันจะใช้พลังลมปราณปกคลุมร่างกายของมัน
ในขณะที่ลมปราณของซิตู่ปกคลุมไปทั่วร่าง จู่ๆรูปลักษณ์มนุษย์ของมันแปรเปลี่ยนเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ เวลานี้ใบหน้าของมันคล้ายสัตว์เดรัจฉานเช่นสิงโต
ร่างกายขยายใหญ่โตกว่าเดิมถึงสามเท่า มันวาดกรงเล็บเข้าใส่หนิงเทียน ลมปราณสีขาวที่แหลมคมมันเต็มไปด้วยรังสีแห่งความตาย แปรเปลี่ยนเป็นตาข่ายปราณสีขาวที่เฉือดเฉือนทุกอย่างที่ไปสัมผัสมัน
ตาข่ายปราณสีขาวร่วงหล่นลงมาในทิศทางเดียวกับร่างกายของหนิงเทียน เสียงอึกทึกทั้งหมด พลันเงียบลง
เวลานี้คมแสงสีขาวอยู่ห่างศีรษะของหนิงเทียนเพียงไม่กี่นิ้ว หนิงเทียนมองไปที่แสงนั้นด้วยสายตาเหยียดยาม มุมปากของมันยกขึ้นอย่างน่ากลัว
แต่ร่างกายของมันไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย มันกลับลดพลังปราณทั่วร่างของมันลง แม้แต่กายาเทพอสูรก็มิได้ใช้ออก
“ลาก่อน พ่อพระเอก” ซิเฟยเห็นภาพตรงหน้ามันแย้มยิ้มขึ้นอย่างมีสุข
ในขณะที่ตาข่ายแสงจะกระทบร่างของหนิงเทียน กลับมีรังสีกระบี่สีครามพุ่งปะทะคมเขี้ยวสีขาวของซิตู่ ส่งผลให้ตาข่ายปราณกลายเป็นน้ำแข็งค้างอยู่กลางอากาศชั่วครู่ก่อนจะสลายกลายเป็นละอองน้ำในชั่วพริบตา
แม้ว่าหนิงเทียนจะรู้ถึงผู้ที่มา แต่ดวงตาของมันยังต้องหรี่ลงเมื่อมองไปยังรังสีกระบี่สีครามที่ปกคลุมไปด้วยไอเย็นเช่นนี้
ซิตู่มองคมแสงของมันที่สลายไปด้วยความตกตะลึง ผู้ที่จะทำเช่นนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่อยู่ ในดินแดนองครักษ์เท่านั้น
บุคคลในแดนองครักษ์ มีแต่ เพียงผู้ฝึกตนในเมืองหลวงเท่านั้น
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันมันสร้างความแตกตื่นแก่ผู้คนอย่างมาก ทุกสายตามองไปที่ต้นตอของรังสีกระบี่สีคราม อย่างพร้อมเพียง
มันเห็นเพียงชราหน้าตาเหี่ยวย่น สวมเสื้อถัก เนื้อตัวสะอาดในมือถือกระบี่เล่มเล็ก แววตาเกียจคร้าน
ชายชราใช้สายตาเพ่งพินิจ ก่อนจะมองไปยังหนิงเทียนอย่างอดไม่ได้ที่จะชมเชยในใจ
“เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ยิ่งนัก สามารถต่อสู้กับดินแดนนักรบได้โดยที่ยังครองสติอยู่ได้
และมองไปยังร่างของปี้ยี่ที่นอนหนุนตักของปี้เหยาอย่างไร้สติด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย
“ยกโทษให้ชายชราผู้นี้ด้วย ชายชราผู้นี้มาช้าไป”
ไม่เพียงแต่คนทั้งหมู่บ้าน กระทั้งซิเฟยนั้นยังรู้จักชายชราตรงหน้ามันเป็นอย่างดี
มันคือ ปู่ซางที่วันๆจะเอาแต่หลับอย่างขี้เกียจอยู่ในกระโจม ทุกคนรู้ดีว่าปู่ซางนั้นเป็น บุคคลในตระกูลใหญ่ของเมืองฉางผิง
การที่มันมาประจำอยู่หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้เพียง เพื่อป้องกันภัยในจุดพักของกองคาราวานบรรณาการเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วคงไม่มีเหตุผลใดให้ผู้คนจากเมืองหลวงมาอาศัยในดินแดนบ้านนอกเช่นนี้
“ท่านปู่ซาง” ปี้เหยาตะโกนออกมาด้วยอาการดีใจ ราวกับว่าชายชราผู้นี้เป็นขอนไม้ที่ช่วยทั้งตัวมันและหนิงเทียนไม่ให้จมลงไปในน้ำลึกได้
ปู่ซางไม่ตอบอันใด เพียงแต่ใช้สายตามองไปยังซิเฟย เวลานี้สายตาที่เต็มไปด้วยความเกียจคร้านกลับแปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่คมราวกับกระบี่
“ท่านซางจื่อ เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของพวกเรา ขอให้ท่านอย่าได้ลดตัวลงมาเลย”ซิเฟยกล่าวด้วยความเคารพ คนที่หยิ่งยโสอย่างมันกับก้มศีรษะให้ชายชราตรงหน้า
ด้วยยศศักดิ์ของชายชราผู้นี้แล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเผ่าซิ แม้กระทั่งคนของทุกๆชนเผ่าจะมีความกล้าหาเรื่องกับคนตระกูลใหญ่ในเมืองฉางผิงได้อย่างไร
แล้วตัวตนอย่างมันจะกล้าอวดดีต่อหน้าคนเช่นนั้นได้อีกหรือ?
ชายชรายิ้มบางๆแล้วกล่าว “นายน้อยเฟยเหตุการณ์เมื่อครู่อาจถึงขั้นตายได้ ในเมื่อท่านได้ทักษะบ่มเพาะคืนแล้วอีกทั้งท่านยังไม่ติดใจเอาความเรื่องโสมอายุวัฒนะ เช่นนั้นแล้วให้เรื่องราวมันจบๆไปได้หรือไม่”
ซิเฟยนั้นยืนตะลึงอยู่เป็นเวลานานกับคำขอร้องง่ายๆของชายชราตรงหน้ามัน มันไม่คิดว่าตัวตนเช่นนี้จะเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องเล็กน้อยในหมู่บ้าน
“ท่านซางจื่อ เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร? สารเลวหนุ่มคนนี้เป็นสายลับจากเผ่าอื่นที่ส่งมาหมายจะยุแยงให้ เผ่าซิกับหมู่บ้านปี้จุ่ยแตกแยกกัน
เรื่องของหญิงสาวที่ขโมยทักษะบ่มเพาะ ข้าอาจทำเป็นมองไม่เห็นได้ แต่กับสารเลวหนุ่มคนนี้ต้องตายเท่านั้น”
แม้ว่าตัวมันจะหวาดกลัวชายชราซางอยู่ไม่น้อย แต่ในใจลึกๆของมันไม่เชื่อว่า ชายชราซางจะออกหน้าเพื่อปกป้องสวะเช่นนี้
“นายน้อยเฟยตาแก่คนนี้ไม่ได้ความสัมพันธ์ใดๆกับหมู่บ้านปี้จุ่ย ตาแก่นั้นมาพำนักที่นี้เพียงเพราะท่านประมุขสั่งมาเท่านั้น
ฉะนั้นตัวของตาแก่คนนี้ถือว่าเป็นคนนอก แต่นายน้อยเฟยท่านเองก็เช่นกัน แม้ท่านจะบอกว่า เป็นเรื่องยุแยงให้แตกแยกกันก็ตาม
แต่ที่ข้าเห็นเด็กหนุ่มคนนี้เพียงเพื่อจะปกป้องแม่นางปี้เหยาเท่านั้นจริงหรือไม่?”
มันไม่เว้นช่วงให้ซิเฟยได้กล่าวแทรก “ตัวตาแก่ผู้นี้เป็นคนนอกยังไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว นายน้อยเฟยท่านเองก็ไม่ใช่คนของหมู่บ้านนี้เหมือนกัน
เหตุใดเราสองคนไม่ไปดื่มสุรากันปล่อยเรื่องราวเล็กน้อยเช่นนี้ให้หัวหน้าชีตัดสินใจเป็นอย่างไร”
ซางจื่อมองไปยังปี้ชี “ท่านเป็นหัวหน้าหมู่บ้านปี้จุ่ย ท่านจะจัดการเรื่องราวของคนของผู้กระทำผิดในหมู่บ้านนี้อย่างไร”
ปี้ชีกล่าวด้วยความเคารพ“ท่านปู่ซาง หากคนในหมู่บ้านกระทำผิดประพฤติตนเองเป็นโจร สถานเบาคือห้ามแลกเปลี่ยนอาหารหนึ่งปี สถานหนักคือการขับไล่ออกจากหมู่บ้าน
แต่ว่าเรื่องนี้เกือบจะทำให้เผ่าซิและหมู่บ้านของเราเป็นศัตรูกันจึงถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างมาก ดังนั้นนางและลูกของนางจะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน”
“ดี ดี ท่านหัวหน้าชี เป็นผู้มีความสามารถยิ่งนัก ตาแก่เช่นข้าก็ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจใดๆของท่าน
แต่เมื่อพวกท่านขับไล่เขาทั้งสองออกจากหมู่บ้านแล้ว อย่างนั้นชายชราคนนี้เห็นถึงพรสวรรค์ของเด็กน้อยปี้ยี่ จึงต้องการจะรับเขาไปเป็นศิษย์
และตัวข้านั้นไม่มีลูกหลาน ข้านั้นยังอยากได้แม่นางปี้เหยาไปเป็นบุตรบุญธรรม หัวหน้าชีท่านคงไม่ขัดข้องหรอกนะ”
สายตาของมันทั้งคู่ประสบกัน ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นภายในใจของปี้ชีทันที มันจึงรีบกล่าว “ไม่....ไม่มีแน่นอนท่านปู่ซาง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฝูงชนในหมู่บ้านทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบทันที ราวกับทุกคนเป็นใบ้ขึ้นมา
แม้แต่ปี้ชีและซิเฟยก็ไม่กล้าจะมีคำกล่าวใดๆออกจากปากพวกมันแม้แต่น้อย
ใบหน้าของปี้ชีกลายเป็นบิดเบี้ยวอย่างหน้าเกลียด บุคคลที่มันพึ่งขับไล่ออกไปหมายจะทำลายชีวิตให้พังทลาย กับพานพบประสบโชคอย่างรวดเร็วเช่นนี้
แต่อย่างไรมันก็ไม่สามารถกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้แม้แต่ประโยคเดียว มันเข้าใจดีว่า ซางจื่อ นั้นเป็นถือว่าเป็นตัวตนที่เหนือกว่าเผ่าซิอย่างมากมาย
ซิเฟยมองไปที่ซางจื่ออย่างไม่มีคำกล่าวใดๆออกมา มันทำได้เพียงแต่มองอย่างปราศจากคำพูดใด ด้วยตัวของมันจะสามารถทำอะไรได้
แม้กระทั้งต่อให้บิดาของมันมาด้วยตนเองผลก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
หนิงเทียนยกมุมปากขึ้นมาอย่างขบขัน “แบบนี้สิถึงจะได้ชื่อว่าหมู่บ้านคนใบ้จริงๆ”