ตอนที่แล้วWS บทที่ 321 สู่บทสรุปและช่วงเวลาแห่งความสงบสุข PART 2
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWS บทที่ 323 กระบวนการบูรณาการข้อมูล PART 2

WS บทที่ 322 กระบวนการบูรณาการข้อมูล PART 1


“เชอรีส”

เมอร์ลินกลับมาที่ห้องของเขาและเห็นว่าเชอรีสยังคงรอเขาอยู่ แม้ว่าเธอจะฝืนยิ้มแต่เธอก็ดูเหมือนจะมีภาระหนักอึ้งอยู่ในใจ

“ซีเลียกำลังหลับอยู่ เมอร์ลิน…”

เชอรีสอยากจะพูดมากกว่านี้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกในท้ายที่สุด เมอร์ลินพอจะเดาได้ว่าเธอต้องการจะพูดอะไร เป็นไปได้ว่าเมื่อพวกเขาอยู่ในห้องโถง ความฝันอันไร้เดียงสาของซีเลียในการเป็นนักเวทย์ได้กระตุ้นความกังวลของเธอ

เมอร์ลินมาอยู่ตรงหน้าเชอรีส ดวงตาที่เฉียบคมของเขาจับจ้องมาที่เธอขณะที่เขาพูดเบา ๆ “เชอรีส คุณกังวลเรื่องต่าง ๆ มากเกินไป  ถึงซีเลียไม่มีทางกลายเป็นนักเวทย์ เมื่อเธอโตขึ้น เธอจะมีลูก บางทีทายาทของเธอจะมีคุณสมบัติของนักเวทย์ ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้ฉันเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลัง หากไม่เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝัน ฉันจะสามารถปกป้องตระกูลวิลสันได้หลายร้อยปี ดังนั้นซีเลียก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ของเธอนานหลายทศวรรษ!”

เชอรีสสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของเมอร์ลิน เธอจับมือใหญ่ของเขาเบา ๆ และรู้สึกว่าหัวใจของเธอสงบลงอย่างเงียบ ๆ มันเป็นความจริง ตอนนี้เมอร์ลินเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังและสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายร้อยปี แม้ว่าลูก ๆ ของซีเลียหรือโคซิออนจะเสียชีวิตแล้วแต่เมอร์ลินก็ยังคงมีชีวิตอยู่

เมื่อมีเมอร์ลินอยู่ใกล้ ๆ ตระกูลวิลสันก็จะมีเวลามากพอที่จะขยายออกอย่างช้า ๆ อย่างไรก็ตาม เชอรีสเป็นเพียงคนธรรมดา ดังนั้นลูกของเธอจึงยังคงเป็นความสำคัญอันดับแรกของเธอ

เมื่อเห็นว่าชารีสไม่พูดอะไรและยังคงนิ่งเฉย เมอร์ลินจึงรู้สึกหมดหนทาง เขาไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเข้าใจวิธีคิดของเชอรีส อาจกล่าวได้ว่าความคิดของเมอร์ลินตอนนี้ต่างจากความคิดของเชอรีส, แอวริลและเลห์แมน

เมอร์ลินอาจใช้เวลามากกว่าหนึ่งศตวรรษในการคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คนธรรมดาไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ได้เกินร้อยปี

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมอร์ลินก็ส่ายหัวอย่างไร้เรี่ยวแรงและลูบไล้ผมยาวนุ่ม ๆ ของเชอรีสเบา ๆ และพูดว่า “เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกนาน คุณไม่ต้องการลูกอีกคนเหรอ?”

เมอร์ลินกล่าวพร้อมรอมยิ้มอันแสนซุนซน เขาปลดเชือกกางเกงของเขาออก เขาเอื้อมไปจับต้นขาของเชอรีสแล้วเลิกชายกระโปรงของเธอขึ้นแล้วเอามือสัมผัสบั้นท้ายของเธอ การหายใจของเชอรีสเริ่มหนักขึ้น เธอเริ่มทนไม่ไหวจนเลิกส่งเสียงครางออกมา เมอร์ลินอุ้มเธอไปที่เตียงและขึ้นคร่อมเธอ จากนั้นพวกเขาร่วมบรรเลงเพลงรักอย่างเร่าร้อน เสียงครางแห่งราคะดังก้องกังวานทั่วห้อง...

วันรุ่งขึ้น เมอร์ลินถามคนรับใช้และพบว่าเฟลินดาถูกส่งไปยังปราสาทวิลสันเมื่อสองวันก่อน ในขณะนี้เธออยู่คนเดียวในห้องรับแขก

“เฟลินดา!”

ตอนที่เมอร์ลินได้พบเธอ เธอเต็มไปด้วยความเศร้าโศกไร้ทางไป จนสุดท้ายเธอเลือกที่จะใช้วิธีชีวิตแลกชีวิต แต่ตอนนี้มันได้กลายเป็นอดีตไปแล้วและเธอจะมาเริ่มต้นใหม่ที่ปราสาทวิลสัน

"โอ้? ท่านไวเคานต์!”

เฟลินดามีหนังสืออยู่ในมือและกำลังอ่านหนังสือด้วยความสนใจ เมื่อเห็นว่าเป็นเมอร์ลิน เธอจึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและโค้งคำนับด้วยความเคารพ ถึงตอนนี้ เธอได้รู้ถึงตัวตนของเมอร์ลินในฐานะไวเคานต์แห่งเมืองปรากาช

“ทำตัวสบาย ๆ ไม่ต้องเคร่งขนาดนั้น ฉันมาวันนี้เพื่อดูว่าคุณเป็นอย่างไรบ้าง คุ้นเคยกับที่นี่แล้วรึยัง?”

เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวที่แข็งทื่อของเฟลินดา เมอร์ลินก็ยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน

“ท่านไวเคานต์ ความเป็นอยู่ในปราสาทวิลสันนั้นดีมาก ไม่ติดขัดอะไรเลยเจ้าค่ะ ถึงกระนั้น ท่านไวเคานต์ ฉันต้องการเรียนรู้ความรู้เกี่ยวกับนักเวทย์ให้เร็วที่สุด”

หลังจากเฟลินดาพูดจบ เธอมองไปที่เมอร์ลินด้วยความคาดหวัง

จากหางตาของเขา เมอร์ลินเห็นว่าหนังสือที่เฟลินดาหมกมุ่นอยู่กับมัน มันเป็นหนังสือเบื้องต้นเกี่ยวกับนักเวทย์ เขาไม่รู้ว่าเธอพบมันที่ไหน ในอาณาจักรแบล็กมูนมีนักเวทย์อยู่มากมายและพบเห็นได้ทั่วไปแต่หนังสือเกี่ยวกับนักเวทย์มันค่อนข้างหายาก

เขาเห็นว่าเฟลินดาไม่สามารถรอที่จะเป็นนักเวทย์ได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ทักษะการร่ายคาถาของเธอและแม้แต่พลังจิตของเธอยังขาดอยู่ซึ่งน้อยกว่าพลังจิตของเมอร์ลินเมื่อเขาเริ่มต้น

นอกจากนี้ การสร้างแบบจำลองคาถาไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น เฟลินดาไม่มีความรู้เกี่ยวกับคาถาและต้องใช้เวลานานในการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการสร้างคาถาแก่เธอ

“คุณสามารถสร้างโครงสร้างคาถาได้ในตอนนี้แต่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับนักเวทย์ก่อน ฉันจะขอให้พ่อมดแบมมูสอนคุณ”

ในเรื่องของการสอน เมอร์ลินนึกถึงพ่อมดแบมมูเป็นอันดับแรก องค์กรของนักเวทย์ส่วนใหญ่จะไม่ ‘ฟุ่มเฟือย’ ถึงขนาดส่งนักเวทย์ระดับเจ็ดที่ยอดเยี่ยมและทรงพลังเพื่อสอนความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับนักเวทย์ อย่างไรก็ตาม สำหรับเมอร์ลิน พ่อมดแบมมูคือตัวเลือกที่ดีที่สุด ยิ่งกว่านั้น ณ ตอนนี้ พ่อมดแบมมูเป็นนักเวทย์เพียงคนเดียวในตระกูลวิลสันนอกจากเมอร์ลิน

*หวู่ม!*

ไม่นานนัก พ่อมดแบมมูก็ปรากฏข้างตัวเมอร์ลินและถามด้วยความเคารพ “นายท่าน ท่านต้องการสิ่งใดขอรับ?”

เมอร์ลินชี้ไปที่เฟลินดา “แบมมู เฟลินด้ามีคุณสมบัติของนักเวทย์ แม้ว่าเธอจะไม่สามารถสร้างคาถาได้ในตอนนี้แต่คุณสามารถสอนความรู้เกี่ยวกับนักเวทย์ให้กับเธอได้ เพื่อที่เธอจะได้มีพื้นฐาน”

ใบหน้าของแบมมูเปลี่ยนไปเล็กน้อยและเขารู้สึกไม่เต็มใจ แม้ว่าจะค่อนข้างหดหู่ใจที่นักเวทย์ระดับเจ็ดต้องทำเรื่องแบบนี้แต่พ่อมดแบมมูเป็นทาสของเมอร์ลิน แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจ เขาก็ทำได้เพียงตกลงเท่านั้น

“นายท่าน ข้าจะอุทิศตนเพื่อสอนเฟลินดา ข้าควรเริ่มต้นด้วยความรู้ด้านใดขอรับ?”

ดูเหมือนว่าพ่อมดแบมมูไม่เคยมีลูกศิษย์มาก่อน แม้ว่าเขาจะมีความรู้ลึกซึ้งและกว้างขวางแต่เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นสอนที่ไหน นักเวทย์ทุกคนจะได้รับความรู้จำนวนมากซึ่งครอบคลุมภาพรวมทั้งหมด การสร้างคาถาเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของความรู้ของนักเวทย์เท่านั้น

“สอนพื้นฐานให้เฟลินดาก่อน จากนั้นคุณอาจอธิบายให้เธอฟังโดยใช้วิจารณญาณของคุณเอง ส่วนพวกความรู้บางอย่างเกี่ยวกับอักษรรูน ปรุงยาหรือการเล่นแร่แปรธาตุ ดูว่าเธอมีความสนใจในด้านใด หลังจากนั้น เราสามารถมุ่งความสนใจไปที่สิ่งนั้นในการเรียนรู้ของเธอ”

เมอร์ลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจว่าเฟลินดามีฝีมือในด้านใดบ้าง

ด้วยคุณสมบัติของนักเวทย์ของเฟลินดา มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หากเธอมีพรสวรรค์ในด้านอื่น พวกเขาก็สามารถจัดลำดับความสำคัญในการศึกษาของเธอได้

ตระกูลวิลสันเพิ่งเริ่มต้นและต้องการนักเวทย์ทุกประเภท โดยเฉพาะนักเวทย์ที่เชี่ยวชาญศาสตร์อักษรรูน เมอร์ลินเพิ่งได้รับแผ่นวงเวทย์รูนของพ่อมดฟิเนลโล่มาซึ่งมีเพียงนักเวทย์ที่เชี่ยวชาญด้านอักษรรูนเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ ทั้งเมอร์ลินและพ่อมดแบมมูไม่ได้เชี่ยวชาญด้านอักษรรูน

ดังนั้นแม้ว่าเขาจะมีแผ่นวงเวทย์รูน เขาก็ไม่มีทางใช้มันได้

ตระกูลนักเวทย์ควรขยายนักเวทย์ที่เชี่ยวชาญศาสตร์ต่าง ๆ อย่างครอบคลุม การให้พ่อมดแบมมูสอนเฟลินดาเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น แบมมูรู้เรื่องอักษรรูนและการปรุงยาเพียงเล็กน้อย ดังนั้นการสอนนักเวทย์ระดับเริ่มต้นจึงไม่เป็นปัญหา หากจะเจาะลึกลงไปอีก พวกเขาต้องการคนที่มีความรู้ที่ลึกซึ้งมาสอนพวกเขา

แม้นี่จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นแต่มันก็ท้าทายมาก บางครั้งเมอร์ลินรู้สึกว่าเขามีพลังงานไม่เพียงพอ เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าในอนาคตเขาจะไม่เหนื่อยไปกว่านี้อีกหรือไม่?

ขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมอร์ลินก็ทิ้งเฟลินดาให้พ่อมดแบมมูและไปหาห้องที่เงียบสงบ เขาเริ่มแยกของที่เขาเก็บเกี่ยวจากช่วงเวลาของการสังหารหมู่ครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนหน้านี้

อย่างแรกคือแหวน เมอร์ลินได้รับแหวนมากเกินไปที่อาจใช้เป็นเงินสำรองของตระกูลวิลสัน เมอร์ลินไม่ได้ตรวจดูของข้างในแหวนทั้งหมดอย่างพิถีพิถัน

เจ้าของแหวนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพ่อมดพเนจรซึ่งไม่ร่ำรวย ดังนั้นจึงมีหินธาตุอยู่ไม่มากนักในแหวน ส่วนใหญ่ มีเพียงคาถาระดับศูนย์และระดับหนึ่งเท่านั้น โดยมีคาถาระดับสองและระดับสามเป็นส่วนน้อย

ส่วนสำหรับคาถาที่อยู่เหนือระดับสี่ขึ้นไป พวกมันแทบจะไม่มีเลย

เมอร์ลินไม่สนใจเวทมนตร์เหล่านี้มากนัก ตัวเขามีคาถาจากดินแดนมนต์ดำที่ดีกว่า แม้แต่คาถาในหนังสือแห่งนิรันดร์ก็ยังเหนือกว่าเวทมนตร์ของพ่อมดพเนจรเหล่านี้อยู่มาก

เมอร์ลินยังตัดสินใจที่จะไม่เก็บคาถาเหล่านี้ไว้ในตระกูลวิลสัน แม้ว่าพวกมันจะเป็นเพีนงคาถาพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม คาถาของพ่อมดพเนจรบางส่วนมีข้อบกพร่องโดยสิ้นเชิง มันสร้างขึ้นอย่างไม่ระมัดระวังและผ่านการปรับปรุงแบบผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากใครฝืนสร้างมันขึ้นมาก็จะจบลงเหมือนพ่อมดฮิลล์ แม้ว่าคาถาจะถูกสร้างขึ้นสำเร็จแต่ก็จะทำให้รูปแบบคาถาไม่เสถียรและจะต้องทนทุกข์ทรมานจากโครงสร้างคาถาที่ไม่เสถียรไปตลอดชีวิต

ดังนั้น เมอร์ลินจึงตัดสินใจใช้เวทมนตร์ชั้นหนึ่งสองสามอย่าง แม้ว่าคาถาบางอย่างของดินแดนมนต์ดำจะต้องไม่ถูกเปิดเผยอย่างง่ายดาย แต่คาถาในหนังสือแห่งนิรันดร์นั้นค่อนข้างดีและสามารถใช้เป็นคาถาสำรองของตระกูลวิลสันได้

สำหรับคาถามากมายที่เป็นของพ่อมดพเนจรเหล่านี้ เมอร์ลินไม่ได้คิดจะทิ้งพวกมันให้สูญเปล่า สำหรับเมอร์ลิน คาถามากมายเหล่านี้มีหน้าที่เดียวคือเติมฐานข้อมูลของเดอะเมทริกซ์

“เดอะเมทริกซ์ บันทึกโครงสร้างคาถาเหล่านี้ทั้งหมด!”

เมอร์ลินเปิดใช้งานเดอะเมทริกซ์ทันที เดอะเมทริกซ์เริ่มสแกนและบันทึกโครงสร้างคาถาแต่ละอันทันที คาถาจำนวนมากก็เพียงพอที่จะเติมฐานข้อมูลของเดอะเมทริกซ์

เมอร์ลินมีแผนเสมอว่าเมื่อใดที่จะเติมฐานข้อมูลของเดอะเมทริกซ์ เมื่อจำนวนและประเภทของคาถาเพียงพอ เขาจะใช้กระบวนการรวมข้อมูลของเมทริกซ์ด้วยความหวังว่าจะสามารถได้รับคาถาใหม่ เช่นเดียวกับนักเวทย์ระดับเจ็ดที่ได้รับคาถาใหม่ซึ่งเหมาะสำหรับตัวนักเวทย์คนนั้น

เมื่อนักเวทย์ถึงระดับที่เจ็ดแล้ว พวกเขาจะต้องสร้างโครงสร้างคาถาใหม่ด้วยตัวเองซึ่งไม่มีใครเคยใช้มาก่อน พวกเขาจะกลายเป็นนักเวทย์ระดับเจ็ดได้โดยการทำเช่นนั้นเท่านั้น!

พ่อมดลีโอติดอยู่ในขั้นตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเป็นนักเวทย์ระดับเจ็ดได้แม้ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม

อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่แค่นักเวทย์ระดับเจ็ดเท่านั้นที่สามารถได้รับคาถาใหม่ ในช่วงยุครุ่งโรจน์ที่สุดของนักเวทย์ นักเวทย์อัจฉริยะอย่างแท้จริงบางคนใช้คาถาที่พวกเขาสร้างขึ้นเองในขณะที่พวกเขาสร้างคาถาระดับสี่

นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าอัจฉริยะที่แท้จริง พวกเขาสามารถเปล่งประกายได้แม้ในยุคทองของนักเวทย์ มันเหมือนกับต้นแบบของแม็กซิมแห่งไฟที่เมอร์ลินได้รับ

ย้อนกลับไปตอนที่จอมเวทย์นิโคล่าเป็นนักเวทย์ระดับสี่ เขาสามารถฆ่าคาถาระดับเจ็ดได้ เมอร์ลินสงสัยว่าอาจเป็นไปได้ว่านิโคล่าสามารถได้รับคาถาของเขาเองมานานแล้ว

ดังนั้น เมอร์ลินจึงทำงานหนัก พยายามเติมฐานข้อมูลของเดอะเมทริกซ์ น่าเสียดายที่หลังจากผ่านไปหลายปี ฐานข้อมูลก็ยังขาดอยู่

บางทีสำหรับนักเวทย์ส่วนใหญ่ คาถาจำนวนนี้ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว อย่างไรก็ตาม หากเขาต้องการดำเนินการตามกระบวนการรวมข้อมูล เขาจะต้องมีข้อมูลนับพันหรือหลายหมื่นเพื่อทำหน้าที่เป็นฐานข้อมูลของเขา

ในขณะนี้ ฐานข้อมูลของเดอะเมทริกซ์ประกอบด้วยคาถาไม่เกินสองร้อยคาถาและส่วนใหญ่เป็นคาถาระดับศูนย์ พวกมันเหล่านี้เป็นคาถามากมายที่เมอร์ลินได้รับหลังจากที่เขาสังหารนักเวทย์นับไม่ถ้วน

“อันที่จริง ฉันสามารถลองดูเผื่อเดอะเมทริกซ์สามารถดำเนินกระบวนการรวมข้อมูลสำเร็จและได้รับคาถาใหม่มา”

หลังจากที่เมอร์ลินเติมฐานข้อมูลของเดอะเมทริกซ์ด้วยคาถาทั้งหมดแล้ว เขารู้สึกถึงความคาดหวังบางอย่าง แม้ว่าคาถาสองสามร้อยคาถายังห่างไกลจากคาถานับพันแต่บางทีเขาอาจได้รับบางสิ่งที่ไม่คาดคิด?

เมอร์ลินอยากจะลองเสี่ยงโชค เขาจึงออกคำสั่งให้เดอะเมทริกซ์ หลังจากนั้น เขาอยู่ในห้องเงียบ ๆ รอผลจากมัน

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด