WS บทที่ 321 สู่บทสรุปและช่วงเวลาแห่งความสงบสุข PART 2
*ซ่า… ซ่า… ซ่า… ครืน…*
“อ๊บ อ๊บ”
หยาดฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง กบสองสามตัวกระโดดออกมาจากสระพร้อมกับเสียงร้องระงม เสียงของพวกมันทำลายบรรยายกาศอันเงียบสงัดของปราสาทวิลสัน
เชอรีสสวมกระโปรงยาวสีขาวบริสุทธิ์กำลังเล่นกับซีเลียในห้องโถง แต่จิตใจของเธอดูเหมือนจะอยู่ที่อื่น บางครั้งเธอจะมองออกไปนอกห้องโถง
“นี่มันหลายวันแล้ว ทำไมเมอร์ลินยังไม่กลับมา? มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า?”
เชอรีสค่อนข้างกังวล ส่วนแอวริลไปนอนแล้วพักผ่อนแล้วโดยปล่อยให้เชอรีสรออยู่ที่ห้องโถงเพียงลำพัง ยิ่งเวลาผ่านไป เธอก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ
คราวนี้ เมอร์ลินจากไปอย่างกะทันหัน แม้ว่าเขาจะอธิบายสั้น ๆ ว่า จะไปแก้ไขปัญหาของตระกูลวิลสัน แต่เขาไม่ได้ระบุว่าเรื่องนี้คืออะไร แม้แต่เลห์แมนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปทำอะไร
แอวริลยังคงเป็นคนเดิมที่ไร้เดียงสาและไร้กังวล เธอไม่กังวลกับสิ่งใด ๆ ถึงกระนั้น เชอรีสยังคงกังวลอยู่ลึก ๆ เธอจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ปราสาทวิลสันถูกคุกคาม ผู้โจมตีไม่ใช่พวกคนธรรมดา แต่เป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังแทน ถ้าผู้เฒ่างูไม่มาช่วย ปราสาทวิลสันคงตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง
ดังนั้น เธอเดาว่าการจากไปของเมอร์ลิน ในตอนนี้คงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหล่านักเวทย์ที่บุกโจมตีปราสาทวิลสันก่อนหน้านี้
เชอรีสมีความเข้าใจในตัวนักเวทย์ดีกว่าเลห์แมน เธอมาจากราชวงศ์แห่งแสง ดังนั้นเธอจึงรู้ดีว่านักเวทย์นั้นน่ากลัวเพียงใด
*เปรี้ยง!*
ในท้องฟ้าด้านนอกปราสาท เสียงฟ้าร้องดังอย่างรุนแรง ทำให้ซีเลียตกใจจนเธอร้องไห้ออกมา หลังจากเสียงฟ้าร้อง ฝนก็เริ่มตกหนักข้างนอก
เมื่อเชอรีสเห็นว่าข้างนอกมืดท่กแค่ไหน เธอคิดว่ามันดึกเกินไปแล้วและคิดว่าเมอร์ลินคงจะไม่กลับมาในวันนี้ ดังนั้น เธอจึงพาซีเลียเข้าข้างใน ในขณะที่เธอเตรียมตัวที่จะพักผ่อนในคืนนี้
*แอ๊ด…*
ประตูบานใหญ่ของปราสาทถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ และมีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านนอก ยังคงมีฝนตกลงมาอย่างหนัก
“เชอรีส ดึกป่านนี้คุณยังไม่นอนอีกเหรอ?”
ร่างที่เข้ามาคือเมอร์ลิน เขารีบกลับไปที่ปราสาท แม้ว่าเขาและพ่อมดแบมมูจะเร็วมากแต่พวกเขาก็ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะกลับมาถึง ยิ่งกว่านั้น พวกเขาต้องเผชิญกับฝนและเสื้อคลุมของพวกเขาก็เปียกโชก
“เมอร์ลิน คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
เมื่อเห็นเมอร์ลินเปียกฝน รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเชอรีส หลังจากนั้น เธอรีบเรียกสาวใช้คนหนึ่งให้นำชุดเสื้อผ้าแห้งและสะอาดมามอบให้เมอร์ลิน
“ซีเลีย ทักทายพ่อของลูกสิ”
ดูเหมือนเมอร์ลินจะไม่ทันสังเกต เชอรีสจึงบอกซีเลียอย่างแผ่วเบา
ซีเลียกะพริบตาเบิกกว้างและมองเมอร์ลินอย่างเขินอาย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เชอรีสกระตุ้นแล้ว ซีเลียก็ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “ยินดีต้อนรับกลับเจ้าค่ะ ท่านพ่อ หนูได้ยินมาว่าท่านพ่อเป็นนักเวทย์ที่ยอดเยี่ยม ท่านพ่อสามารถสร้างลูกไฟเหมือนคุณปู่ฮิลล์ได้ไหมเจ้าคะ?”
เมอร์ลินตกใจเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินซีเลียเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ ความอบอุ่นที่อธิบายไม่ถูกแผ่ขยายในอกของเขา เขาได้เข้ามาในโลกนี้โดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เขามีทั้งภรรยาและลูก ตอนนี้เขาเป็นของโลกนี้โดยสมบูรณ์แล้ว!
‘คุณปู่ฮิลล์’ ที่ซีเลียพูดถึงจะต้องเป็นพ่อมดฮิลล์ ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาที่เมอร์ลินไม่อยู่ เขาจะมาที่ปราสาทเมื่อมีเวลาและคุ้นเคยกับซีเลียและโคซิออน
อาจเป็นไปได้ว่าในสายตาของซีเลีย ความสามารถในการสร้างลูกไฟก็เพียงพอที่จะกลายเป็นนักเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่
“แน่นอน พ่อสามารถสร้างลูกไฟได้ทีละหลายลูกเลยนะ”
เมอร์ลินคุกเข่าลงและมองลึกไปยังซีเลีย จากนั้นเขาก็ใช้นิ้วชี้และลูกไฟขนาดเล็กห้าลูกก็ปรากฏขึ้นในอากาศโดยรอบทันที
ลูกไฟทั้งห้าลอยอย่างเงียบ ๆ กลางอากาศ เผาไหม้ด้วยอุณหภูมิอบอุ่น ภายใต้การควบคุมของเมอร์ลิน พวกมันไม่อันตรายซีเลียกับเชอรีส
“ว้าว! มันเป็นลูกไฟจริง ๆ ด้วย พวกมันใหญ่กว่าที่คุณปู่ฮิลล์สร้างซะอีกแถมยังน่ารักกว่าด้วย ท่านพ่อเจ้าคะ หนูอยากจะเป็นนักเวทย์ ที่ยอดเยี่ยมและสร้างลูกไฟที่สวยงามเหล่านี้!”
ซีเลียใฝ่ฝันถึงอนาคตว่าเธอจะกลายเป็นนักเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่และ ‘สร้าง’ ลูกไฟที่สวยงามเหล่านี้
เมอร์ลินบีบแก้มเล็ก ๆ ของซีเลียเบา ๆ ในตอนนี้ มีเพียงความรู้สึกอุ่น ๆ ที่เลือนลางเหลืออยู่ในหัวใจของเขา อารมณ์อันโกรธที่เกิดขึ้นในตัวเขาในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ซีเลียเป็นเด็กฉลาด ในอนาคตลูกจะกลายเป็นนักเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน!”
เมอร์ลินยิ้มด้วยรอยยิ้มที่หายาก เชอรีสก็มองด้วยท่าทางที่ซับซ้อน ซีเลียไม่มีคุณสมบัติของนักเวทย์เลย ดังนั้นเธอจึงถูกลิขิตให้ป็นคนธรรมดา
“เชอรีส ตอนนี้ท่านพ่อนอนแล้วหรือยัง?” เมอร์ลินยืนขึ้นและมองไปยังชั้นสองของปราสาทขณะที่เขาถามเบา ๆ
เชอรีสส่ายหัวเล็กน้อย “แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดแต่ความจริงแล้วพ่อของคุณก็เป็นห่วงคุณเช่นกัน ทุกวันนี้เขานอนดึกมาก ตอนนี้เขาน่าจะยังรอคุณอยู่”
“เข้าใจแล้ว คุณช่วยพาซีเลียเข้านอนก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยกับท่านพ่อ”
ด้วยเหตุนี้ เมอร์ลินจึงมุ่งหน้าไปยังห้องของเลห์แมน
…
"ท่านพ่อขอรับ ผมกลับมาแล้ว!"
เมอร์ลินมาที่ห้องของเลห์แมน อย่างที่คาดไว้ เขาเห็นว่าห้องนั้นยังสว่างไสวด้วยแสงเทียน
“เมอร์ลิน?”
เลห์แมนเปิดประตูอย่างเร่งรีบ เมื่อเห็นเมอร์ลินข้างนอก ใบหน้าของเขาก็ผ่อนคลายในขณะที่เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างที่เชอรีสได้กล่าไว้ แม้ว่าเลห์แมนจะไม่แสดงความวิตกกังวลอย่างเปิดเผย แต่จริง ๆ แล้วเขากังวลเกี่ยวกับเมอร์ลินอยู่ลึก ๆ
“เป็นอย่างไรบ้าง นักเวทย์เหล่านั้น…”
เลห์แมนแทบรอไม่ไหวจึงถามขึ้นมาทันที แม้ว่าเขาจะไม่ทราบแน่ชัดว่าทำไมเมอร์ลินจึงออกจากปราสาทไป แต่เขาก็สามารถเดาคร่าว ๆ ได้
เมอร์ลินหัวเราะ “ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดี ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีใครดูถูกตระกูลวิลสันได้อีก!”
แม้ว่าเมอร์ลินจะพูดอย่างสงบแต่เสียงของเขาก็เผยให้เห็นถึงความมั่นใจอย่างชัดเจน
เลห์แมนคาดเดาจากการแสดงออกของเมอร์ลิน เมอร์ลินคงจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสม วิกฤติแบบครั้งก่อนคงจะไม่เกิดขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม เลห์แมนยังคงมีความกังวลอยู่บ้างแต่เขาไม่สามารถพูดออกมาได้ ตอนนี้เขาไม่ใช่เลห์แมนที่เต็มไปด้วยอำนาจแบบตอนที่อยู่ในเมืองแบล็กวอเตอร์อีกต่อไป
ตัวเขาได้เห็นนักเวทย์หลายคนในอาณาจักรแบล็คมูน บางทีหลังจากประสบกับวิกฤตที่ปราสาทวิลสันเผชิญอยู่ ทำให้เขาได้รู้ว่าถึงจะฝึกฝนกระบวนท่าลึกลับและกลายเป็นนักดาบธาตุขั้นกลางที่ทรงพลังแต่เขาก็ยังคงอ่อนแอเมื่ออยู่ตอนหน้านักเวทย์
“เมอร์ลิน สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มันอันตรายเกินไป มีเพียงลูกเท่านั้นที่เป็นนักเวทย์…”
เลห์แมนคิดเกี่ยวกับอนาคตของตระกูลวิลสัน หากพวกเขาเป็นตระกูลทั่วไป ทางตระกูลก็สามารถเจริญรุ่งเรืองต่อไปได้ด้วยการพึ่งพาความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามของเลห์และกองอัศวินเกราะเหล็กที่เขาฝึกฝนด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินตอนนี้เป็นนักเวทย์ดังนั้นตระกูลวิลสันจึงได้รับภาระหนักจากการถูกตราหน้าว่า ‘นักเวทย์’ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นตระกูลธรรมดา แม้ว่านั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ
เมอร์ลินค่อย ๆ เคร่งขรึม และเขาพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านพ่อ ผมกลับมาเพื่อหารือเกี่ยวกับตระกูลวิลสันกับท่าน ท่านพ่ออาจสังเกตเห็นว่าตระกูลวิลสันไม่สามารถเป็นตระกูลคนธรรมดาได้อีกต่อไป ดังนั้นผมจึงตัดสินใจพัฒนาตระกูลวิลสันให้เป็นตระกูลนักเวทย์”
“ตระกูลนักเวทย์?”
เลห์แมนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวด้วยความยินดีว่า “เมอร์ลิน ลูกคือผู้ที่ได้รับฐานันดรสูงสุดในตระกูลวิลสัน ลูกไม่ใช่แค่นักเวทย์แต่ลูกยังเป็นไวเคานต์เมอร์ลินด้วย!
ลูกมีอำนาจเต็มที่ในการดูแลตระกูล เมื่อลูกคิดแผนนี้ขึ้นมา พ่อจะสนับสนุนมันอย่างสุดใจ แม้ว่าพ่อจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของนักเวทย์มากนักแต่พ่อรู้ว่ามันยากมากที่จะหาคนที่มีคุณสมบัติของนักเวทย์ หากไม่มีคุณสมบัติก็ไม่สามารถเป็นนักเวทย์ได้
จนถึงตอนนี้ ในตระกูลวิลสันมีเพียงโคลเท่านั้นที่มีคุณสมบัติของนักเวทย์ แล้วเราจะพัฒนาเป็นตระกูลนักเวทย์ได้อย่างไร”
คุณสมบัติของนักเวทย์เป็นปัญหาใหญ่และประชากรของตระกูลวิลสันมีน้อยเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาเพิ่งมีมีทายาทสายตรงเพียงแค่ ซีเลีย โคซิออน และโคล เท่านั้น
ถึงกระนั้น ตระกูลนักเวทย์ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความสัมพันธ์ทางสายเลือดสำหรับสมาชิกอย่างแน่นอน ตระกูลนักเวทย์จำนวนมากในช่วงเริ่มต้นของพวกเขาต้องรับสมัครบุคคลภายนอกที่มีคุณสมบัติของนักเวทย์เพื่อสร้างตระกูลของพวกเขา
หากพวกเขาสามารถฟูกฟักนักเวทย์ที่ทรงพลังได้สองสามคน เมื่อเวลาผ่านไป ตระกูลจะค่อย ๆ กลายเป็นตระกูลนักเวทย์และมั่นคงอย่างช้า ๆ สุดท้ายก็จะส่งต่อไปยังคนรุ่นหลังอย่างไม่ขาดสาย
นี่คือสิ่งที่เมอร์ลินตัดสินใจทำ เขาพาทหารหญิงเฟลินดาในเมืองควินโนมิโดยคำนึงถึงแผนนี้
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ บางทีหลังจากลงทุนทรัพยากรจำนวนมากในพวกเขา นักเวทย์เหล่านั้นอาจตัดสินใจออกจากตระกูลโดยไม่ได้ตั้งใจที่จะกลับมา เรื่องพวกนี้สามารถพบได้ทุกที่
ดังนั้น ในการรับสมัครบุคคลภายนอกที่มีคุณสมบัติของนักเวทย์ จะต้องผูกพันธะบางอย่าง การลงนามสัญญาเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด!
“อ่า เอกสารสัญญา พวกมันไม่ใช่ของถูก ๆ เลยนะ!”
เมอร์ลินค่อนข้างลำบากใจ ก่อนหน้านี้ เมื่อเขาอยู่คนเดียว เขายังคิดว่าหินธาตุไม่มีประโยชน์ขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาวางแผนที่จะพัฒนากลุ่มวิลสันให้เป็นตระกูลนักเวทย์ ปัญหาต่าง ๆ ก็เริ่มก่อตัวขึ้น
การสรรหาบุคคลภายนอกที่มีคุณสมบัติของนักเวทย์ เป็นแผนที่สามารถทำได้และเมื่อพวกเขาลงนามในสัญญา ก็ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะทรยศต่อกลุ่มหลังจากกลายเป็นนักเวทย์
อย่างไรก็ตาม เอกสารสัญญามีราคาแพงมาก เมอร์ลินนึกขึ้นได้ว่าหอสมุด เขาสามารถแลกเปลี่ยนเอกสารสัญญาได้ เพียงแต่ว่าจำนวนแต้มสนับสนุนที่ต้องใช้นั้นมากเกินไป หนึ่งแผ่นมีค่าใช้จ่ายอย่างน้อยมากกว่าร้อยแต้ม
นอกจากนี้ นี่เป็นเพียงเอกสารสัญญาทั่วไป ถ้าเมอร์ลินต้องการลงนามสัญญาระดับสูงสุด มันจะมีราคาแพงมาก แม้ว่าเขาจะตัดสินใจรับสมัครคนเพียงสิบคนที่มีคุณสมบัตินักเวทย์ซึ่งหมายความว่าเขาต้องการเอกสารสัญญาอย่างน้อยสิบแผ่น ถ้าเขาต้องการให้พวกเขาลงนาม เขาต้องใช้แต้มสนับสนุนประมาณพันแต้ม
แม้แต่นักเวทย์ระดับสี่ที่สามารถสร้างหอคอยแต่ละแห่งในดินแดนมนต์ดำก็อาจจะไม่สามารถมอบแต้มสนับสนุนได้มากมายขนาดนั้น
เมอร์ลินให้เรื่องนี้ครุ่นคิด แม้ว่าจะมีราคาแพงแต่เอกสารสัญญาก็เป็นสิ่งที่จำเป็น ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหาเวลากลับไปที่ดินแดนมนต์ดำเพื่อแลกแต้มกับเอกสารสัญญา
ข้างนอกมืดมากแล้ว ดังนั้น เมอร์ลินจึงไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเลห์แมนอีก และขอตัวออกจากห้องไป
ตอนแรกเมอร์ลินคิดว่าจะไปพบกับเฟลินดา นับตั้งแต่ที่เขาขอให้ผู้เฒ่างูส่งเธอกลับมาที่นี่ เมอร์ลินก็ไม่รู้ว่าเธอจะปรับตัวกับที่นี่ได้หรือไม่ เธอเป็นก้าวสำคัญในแผนของเมอร์ลิน
ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาตระกูล เมอร์ลินจะต้องทุ่มเทความพยายามของเขาในการเลี้ยงดูใครก็ตามที่มีคุณสมบัติของนักเวทย์
“ไว้พรุ่งนี้ฉันจะไปพบเธอ”
หลังจากที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เมอร์ลินก็ตัดสินใจกลับไปที่ห้องของเขา