ตอนที่ 24 อุบัติเหตุกลางหมู่บ้าน 1
ตราประทับทาสนั้นเป็นสัญญาระดับต่ำที่ชนชั้นสูงมักจะใช้กับมนุษย์ธรรมดา
มันอาจจะน่าหวาดกลัวสำหรับมนุษย์ธรรมดาแต่มันไม่ได้เป็นอันใดสำหรับผู้ฝึกตนเลยเพราะแค่มีพลังฝึกตนในดินแดนนักรบก็สามารถที่จะลบล้างมันด้วยตัวเองได้แล้ว
แต่ว่าสำหรับผู้ที่ติดอยู่ในแดนมนุษย์ตลอดกาลอย่างราชาภูตนั้น นับว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงอย่างแท้จริง
“บัดซบ ไม่มีทางที่ราชาผู้นี้จะยอมทำสัญญาทาส” เวลานี้มันโวยวายเสียงดังแสดงท่าทีไม่ยอมรับท่าเดียว
“ถ้าเช่นนั้นก็แล้วไป.....ข้าสามารถทำสัญญากับซานซันเพียงสองคนได้” หนิงเทียนหาได้สนใจอะไรกับท่าทางเต้นแร้งเต้นกาของราชาภูตไม่
กิเลนสวรรค์เดินไปกระซิบกับสหายของมันเล็กน้อย “ตามความเห็นข้า มนุษย์ตัวน้อยผู้นี้มีความคล้ายท่านหวงตี้อยู่หลายส่วน เมื่อเขาเติบโตพวกเราอาจได้รับประโยชน์มากมายจากเขาก็ได้”
“ใช่สิ เฒ่าซานเจ้าไม่ใช่คนที่จะต้องประทับตราสัญญาทาสนี้” มันตอบสหายของมันด้วยเสียงขุ่นเคือง
“การพบกันครั้งแรกของพวกเรากับเขาไม่ใช่สิ่งทีน่าจดจำนักก็จริง แต่ถ้าพวกเราปล่อยผ่านโอกาสนี้สิ่งที่พวกเราทั้งห้ายอมเสียสละเมือหมื่นปีก่อนก็จะสูญเปล่าทันที
เจ้าอย่าได้ลืมเหตุผลว่าทำไมเจ้าถึงเป็นคนเดียวในหมู่พวกเราที่มีกายเนื้อ” กิเลนสวรรค์พยามกล่าวเตือนสติสหายของมัน
‘“เฮ๊อะ เฒ่าซานเจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้ถึงเหตุผลนั้นดีกว่าใคร” ในที่สุดมันก็ยอมโอนอ่อนลง
มันหันไปกล่าวกับหนิงเทียน “คุณชายตอนแรกไม่ใช่ว่าพวกเราจะทำสัญญาจิตวิญญาณกันหรอกหรือ เร็วเข้าเถอะตัวราชาต้องการทำมันแล้ว”
มันกลืนความไม่พอใจลงไปและเพียงพริบตาเดียวมันเปลี่ยนอารมณ์และท่าทางเป็นยิ้มแย้มอย่างรวดเร็ว
“เจ้าไม่ต้องห่วง เมื่อข้าประทับตราสัญญาทาสลงไปที่ร่างเจ้าแล้ว ข้าต้องทำสัญญาจิตวิญญาณกับพวกเจ้าแน่นอน อย่าได้โทษข้า พวกเจ้านั้นเป็นตาเฒ่าหมื่นปี ข้านั้นต้องระมัดระวังตัวหน่อย”
ตราประทับทาสนั้นไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่สัญญาจิตวิญญาณมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทั้งคู่ยอมฟังคำสั่งของหนิงเทียน
เห็นได้ชัดว่าเรื่องตราประทับทาสในครั้งนี้หนิงเทียนทำมันจากความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ
ราชาภูตจำใจยอมให้หนิงเทียนประตาทาสลงบนร่างกายของมัน เมื่อเสร็จสิ้นวิธีการแล้วพวกมันทั้งสามเริ่มทำสัญญาจิตวิญญาณกันต่อทันที
หนิงเทียน ราชันภูตและกิเลนสวรรค์ ทั้งสามเผ่าพันธุ์ หยดเลือดรวมกันพร้อมกล่าว คำสัญญา สิ้นเสียงทั้งสาม เงาเลือนรางของหนังสือขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งสาม
เมื่อพวกมันกล่าวสัจจะวาจา ตัวอักษรมากมายปรากฏบน หนังสือขนาดยักษ์ราวกับมันถูกเขียนขึ้นจากอากาศธาตุ
เมื่อสิ้นพิธีการหนังสือเล่มใหญ่นั้นกับกลายเป็นแสงเล็กๆสามสายพุ่งเข้าใส่จิตวิญญาณของมัน
หนิงเทียนระบายลมหายใจออกมา ‘นี้คงเป็นโชคชะตา ในอนาคตเรื่องวุ่นวายคงจะถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุด’
หลังจากนี้ไปสถานะของหนิงเทียนเปลี่ยนไปแล้ว มันไม่จำเป็นต้องขุ่นเคืองหรือข้องใจกับพวกมันทั้งสองอีก หนิงเทียนจึงเริ่มที่คิดถึงเรื่องภายนอกมิติ
“อู๋ชาง ข้าสลบไปกี่วัน”
คิ้วของราชาภูตกระตุกเล็กน้อย มันนั้นไม่คุ้นชินกับการที่มนุษย์มาเรียกชื่อของมันห้วนๆแบบนี้แต่อย่างไรมันก็เอ่ยตอบแต่โดยดี “คุณชายท่านสลบไป3วัน”
‘หืม 3วัน ใช่แล้ววันนี้เป็นวันประลองของเจ้าเด็กนั้น’ ในชั่วขณะมันกลับนึกถึงใบหน้าของปี้เหยาขึ้นมา
“ข้ามีละครที่ต้องรีบไปดู” อู๋ชางจงนำข้าออกไปจากมิติแห่งนี้ทันที
“ไม่มีปัญหาคุณชาย ราชาจะส่งท่านออกไปเดียวนี้ ......”
...........
ณ.หมู่บ้านปี้จุ้ย บัดนี้การประลองมาถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว
ปี้ยี่นั้น สามารถเอาชนะรอบที่2มาได้อย่างไม่ยากนัก ด้วยน้ำผึ้งหยกเย็นความแข็งแกร่งของมันตอนนี้เกือบจะเท่า ผู้ฝึกตนดินแดนมนุษย์ขั้นที่2
ในส่วนปี้ฟานยังคงเหมือนเช่นเดิมทุกๆรอบ คู่แข่งของปี้ฟานจะยอมแพ้ก่อนที่จะเริ่มการต่อสู้เสมอ
“พวกเจ้าทั้งสองก้าวขึ้นมาบนเวที” เสียงของซิตู่ ดังก้องไปทั่วลานประลอง
“ปี้ฟานนั้นมีความแข็งแกร่งมาก บางทีเขาจะก้าวเข้าสู่ดินแดนมนุษย์ขั้นที่2ไปแล้วก็ได้”ปี้เหยากล่าวอย่างกังวล
และนางยังกำชับปี้ยี่อีกว่า “ลูกอย่าได้ทำอะไรที่เสี่ยงเกินไป ถ้าเห็นว่าเป็นอันตราย จงยอมแพ้ทันที” น้ำเสียงของปี้เหยาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ท่านแม่มิต้องเป็นห่วง ข้าจะเอาชนะปี้ฟานให้ได้และเมื่อข้าได้เข้าเผ่าซิ ข้าจะให้ท่านแม่กินอิ่มทุกๆวัน” มันพูดจบพลางเดินขึ้นเวที
“ปี้ยี่ เจ้าขยะ นับว่าเป็นโชคของข้าที่ให้เจ้ามาถึงรอบนี้ได้ ข้าสาบานจะทำให้เจ้ากลายเป็นคนพิการอย่างแน่นอน” ปี้ฟานคำรามออกมาอย่างโกรธแค้น
ปี้ยี่นั้น หาได้ฟังอันใดไม่ ตัวมันพยามทำความเข้าใจกับ กระแสพลังแปลกๆที่เคลื่อนไปตามร่างกายมัน ด้วยพลังแปลกๆนั้น ทำให้มันชนะรอบ2มาได้ แม้มันจะเคลื่อนไหวมากมายเพียงใดกลับไม่รู้สึกเหนื่อยหอบเลย
“พวกเจ้าทั้งสองเตรียมพร้อม” ซิตู่ที่มองไปยังปี้ยี่ ด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก...
ขณะที่พวกมันทั้งคู่กำลังจะเข้าห้ำหั่น ชิงชัยครั้งสุดท้าย พลันได้เสียงตะโกนอย่างแตกตื่นเข้ามาขัดการต่อสู้ของพวกมัน
‘นั้นเสียงท่านพ่อ’ ปี้ฟานหันกลับไปมองยังต้นต่อของเสียง
“นายน้อยเฟย นายน้อยเฟยยยย” ปี้ฟางวิ่งมาด้วยสีหน้าหวาดผวา น้ำเสียงที่มันเรียกซิเฟยนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ข้า...ข้าน้อยสมควรตาย ทักษะบ่มเพาะกระดูราชสีห์และโสมอายุวัฒนะที่นายน้อยเฟยได้ฝากไว้กับข้า มัน..มันหาย...หายไปแล้ว”
เสียงฮือฮาของคนที่มาดูการต่อสู้กัน กลับกลายเป็นสับสนวุ่นวายในทันที
ซิเฟยลุกขึ้นยืน มันตะโกนออกมาราวกับเสียงของสายฟ้า ผ่าก้องลงมากลางงานประลอง “สารเลว!!เจ้าบังอาจทำสมบัติวิเศษของเผ่าซิหาย?!!!”
ฝูงชนทั่วทั้งลานประลองมองไปยังปี้ฟางทันที ปี้ฟางนั้นแม้จะไม่ได้เดินในเส้นทางผู้ฝึกตนเช่นเดียวกับบิดาของมันปี้ชี แต่ปี้ฟางเองก็ได้รับยกย่องว่ามีพรสรววค์ในด้านการค้า
อีกทั้งมันได้เป็นผู้ควบคุมสิ่งของบรรณาการของหมู่บ้านมานับ20ปี ความละเอียดรอบครอบ ระมัดระวังของมันเป็นนิสัยที่ทุกคนในหมู่บ้านรู้กันเป็นอย่างดี
‘แล้วเพราะเหตุใดครั้งนี้ปีฟางถึงได้พลาดทำของสำคัญหายไป’
ทุกๆคนในหมู่บ้านส่งสายตาอันเวทนาไปยังปี้ฟาง ไม่ต้องพูดถึงทักษะบ่มเพาะกระดูกราชสีห์แค่เพียงโสมอายุวัฒนะอย่างเดียว ต่อให้มีสิบปี้ฟางทำงานอย่างหนักอีกสัก100ปีก็ยังไม่มีปัญญาชดใช้ได้
ฝูงชนมองไปที่ปี้ฟางด้วยความเป็นห่วง ทุกสายตานั้นแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมันในตัวปี้ฟางเป็นอย่างมาก แม้แต่ปี้เหยาเองก็ตาม ถึงเด็กๆจะมีความขัดแย้งกัน แต่ผู้ใหญ่อย่างพวกมันนั้นหาได้เกี่ยวกันไม่
“ท่านพ่อ” ปี้ฟานตะโกนออกมาด้วยความเป็นห่วงพ่อของมัน
บัดนี้สีหน้าของซิเฟย แปรเปลี่ยนเป็นดำมืดอย่างที่สุด ร่างกายของมันปลดปล่อยพลังปราณที่อยู่ในระดับนักรบขั้นที่2ปกคลุมไปทั่วทั้งลานประลอง
ด้วยอายุเพียง21ปีแต่ไปถึงแดนนักรบขั้นที่2 ในละแวก3ภูเขา1แม่น้ำตัวมันนับว่าเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง
ชายหนุ่มในเกราะสีเงินจ้องมองไปที่ปี้ฟางอย่างดุร้ายก่อนจะกล่าวว่า
“มันหายไปได้อย่างไร จงอธิบายแก่ข้ามา?”
“ข้า...ขขขข้าไม่ทราบ....ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ยกโทษให้ข้าด้วย” ปี้ฟางก้มศีรษะกราบแทบพื้นดิน ท่าทางของมันหวาดกลัวต่อพลังที่ซิเฟยปล่อยออกมาอย่างที่สุด
เวลานี้ท่าทางของมันเหมือนดั่งคนที่ยอมทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อร้องขอชีวิตน้อยๆต่อหน้าพญามัจจุราช
“ถ้าแค่เพียงโสมอายุวัฒนะ ข้าต้องการที่จะมอบมันให้พวกเจ้าอยู่แล้ว....แต่คาดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะหวังสูงถึงขนาดต้องการขโมยทักษะบ่มเพาะของเผ่าซิไปเป็นของตนเอง”
ซิเฟยสูดลมหายใจอย่างแรง สีหน้าของมันยิ่งมืดดำลง ท่าทางแสดงออกราวกับว่ามันพร้อมที่จะล้างความบริสุทธิ์ของหมู่บ้านนี้ด้วยเลือด
มันจะสังหารจนกว่าจะเจอทักษะบ่มเพาะของเผ่ามันและคงมีแต่คนตายเท่านั้นที่ไม่สามารถแพร่งพรายเคล็ดลับทักษะของเผ่ามันออกไปได้
“นายน้อยเฟย ปี้ฟางเองคงไม่คาดคิดว่าหมู่บ้านของเรา จะมีโจรขวัญกล้าที่หวังขโมยทักษะบ่มเพาะของเผ่าซิ….นายน้อยเฟยท่านเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าโปรดช่วยพวกเราหาหัวขโมย เพื่อล้างบาปให้แก่ลูกชายข้าด้วย”
ปี้ชีรีบคุกเขาขอร้องขึ้นแทนบุตรของมัน
“ประเสริฐ!! คนในหมู่บ้านต่ำต้อยเช่นนี้ กลับมีคนกล้าขโมยของๆข้า
เดิมทีตัวข้าหวังให้พวกเจ้าเชื่อมันในเผ่าซิจึงได้ยอมให้ลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนเก็บรักษาของวิเศษไว้แต่ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะทรยศความหวังดีของข้าโดยการขโมยมันไป พวกเจ้าช่างขวัญกล้าจริงๆ”
อำนาจของจิตสังหารของนักรบระดับ2 ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มนุษย์ธรรมดาหวาดกลัว
ทุกคนในลานประลอง ได้ยินคำที่ซิเฟยกล่าวอย่างเต็มสองหู ‘พวกเจ้า’ มันใช้คำว่าพวกเจ้า
นี่แสดงว่าทุกคนที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ จะได้รับโทษทัณฑ์ไปกับปี้ฟางด้วยกันทั้งหมด พวกมันทุกคนรีบก้มศีรษะลงด้วยความกลัวที่จะสบตากับซิเฟย
ดวงตาอันชั่วร้ายของซิเฟยมองไปยังปี้ฟาง “ข้าจะให้โอกาสรอดแก่เจ้า ถ้าสามารถหาทักษะบ่มเพาะกระดูกราชสีห์มาคืนแก่ข้าได้”
“ได้ๆ ได้...ต้องหามาคืนได้แน่นอนขอรับ” ปี้ฟางรีบกล่าวต่ออย่างรวดเร็วจนลืมที่จะหายใจไปชั่วขณะ “นายน้อยเฟยข้าคิดว่าหัวขโมยจะต้องเป็นคนในหมู่บ้านของเราแน่นอน เช่นนั้นทุกคนในหมู่บ้านล้วนเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งหมด”
เมื่อได้โอกาสปี้ฟางรีบผลักภาระไปให้กับฝูงชนที่มามองดูการประลองครั้งนี้อย่างรวดเร็ว
ฝูงชนรอบๆลานประลองมองไปที่ปี้ฟางด้วยสายตาที่เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด เวลานี้พวกมันแปรเปลี่ยนความเห็นใจกลายเป็นสาปแช่งด้วยสายตาอย่างอาฆาต
ปี้ฟางมันคิดจะเอาตัวรอดและโยนความผิดมาให้คนในหมู่บ้าน แม้ความคิดของทุกคนจะเป็นเช่นนั้น แต่เวลานี้ไม่มีใครกล้าที่จะเปล่งเสียงออกมาทำลายบรรยากาศอันอึมครึม
เวลานี้พวกมันรู้สึกว่าแค่เสียงผายลมก็สามารถทำให้มันตายได้แล้ว
-
“หึ เผ่าซิของเราเป็นหนึ่งในสองเผ่าใหญ่ของเมืองฉางผิง กลับถูกคนในหมู่บ้านเล็กๆของพวกเจ้าเล่นตลกเอา พวกเจ้าจงรู้ไว้ ในสายตาของพวกเราเผ่าซิ
แค่เพียงบุคคลในดินแดนนักรบ10คน ก็สามารถฆ่าล้างหมู่บ้านของพวกเจ้าได้ภายในครึ่งวัน
พวกเจ้าคิดหรือว่าการอยู่ใต้อาณัติ ของเผ่าเฮยจะปกป้องพวกเจ้าได้ เผ่าเฮยนั้นไม่ยอมก่อสงครามกับพวกเราเพียงเพราะหมู่บ้านเล็กๆของพวกเจ้าแน่นอน”
ซิเฟยมองไปยังฝูงชนที่ก้มหน้าด้วยความหวาดกลัว พร้อมกล่าวต่อ
“พวกเราเผ่าซินั้นมีความเมตตานำเนื้อสัตว์มาทำการแลกเปลี่ยนกับหมู่บ้านเล็กๆของพวกเจ้า และในครั้งนี้พวกเรายังจะมอบทักษะบ่มเพาะและโสมอายุวัฒนะให้แก่ผู้เยาว์ของหมู่บ้านเจ้า
นี้แสดงออกถึงความเมตตาและมีน้ำใจอย่างสูงของเผ่าซิเรา แต่คนในหมู่บ้านของพวกเจ้ากลับกล้าเล่นตลกต่อหน้าข้า การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าเผ่าซิเรา”
“ปี้ชี เจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร หรือจะให้ข้าสังหารพวกเจ้าทีละคน” มันตะโกนถามหาความรับผิดชอบจากหัวหน้าหมู่บ้านพร้อมทั้งกวาดสายตาไปฝูงชน
ปี้ชีคุกเข่าสองข้างของมันลงกับพื้น มันก้มศีรษะลงแทบเท้าซิเฟย “นายน้อยเฟย โปรดเมตตา นายน้อยโปรดเมตตาหมู่บ้านปี้จุ่ยด้วย”
ตัวมันที่อายุเกือบร้อยปีและยังมีศักดิ์เป็นหัวหน้าของหมู่บ้านกลับต้องมาก้มหัวในชายหนุ่มอายุเพียง20ต้นๆ ช่างเป็นภาพที่น่าอดสู่สำหรับคนในหมู่บ้านยิ่งนัก
“นายน้อยท่านโปรดระงับโทสะ เดิมโสมอายุวัฒนะเราก็ต้องการหมอบให้คนในหมู่บ้านนี้อยู่แล้ว พวกเราเพียงขอให้หัวหน้าหมู่บ้านให้คำตอบเรื่องทักษะกระดูกราชสีห์ก็พอแล้ว’ซิตู่ยืนอยู่กลางเวทีแสดงความเห็นต่อนายน้อยของมัน
เสียงของซิตู่นับราวกับสายฝนที่ตกลงมาท่ามกลางพายุไฟที่กำลังรุกไหม้
ซิเฟยกวาดสายตาไปรอบๆอีกครั้ง เสียงของมันโอนอ่อนลงเล็กน้อย
“แล้วไปเถอะ เรื่องที่พวกเจ้ากระทำเป็นการตบหน้าเผ่าซินั้น ข้าจะไม่เอามาใส่ใจ และข้ายังจะให้โอกาสพวกเจ้า ในเวลาชั่วกาน้ำเดือด
จงหาผู้ที่ขโมยทักษะบ่มเพาะของเราไปให้ได้ ข้าจะเมตตาต่อชีวิตน้อยๆของพวกเจ้าถ้าไม่อย่างนั้นอย่าได้หาว่าข้าไร้ปราณี