ตอนที่ 130 จดหมายที่ไม่น่าเชื่อ
ตอนที่ 130 จดหมายที่ไม่น่าเชื่อ
ดวงอาทิตย์ตอนเย็นตกลงสมบูรณ์แล้วความมืดเข้าครอบครองทุกที่ในทุ่งหญ้า อากาศและความหนาวเย็นแทรกไปตามสามลมที่โหมพัดไม่หยุด กายหยิบคบเพลิงออกมาจากข้างกระเป๋าสัมภาระที่เก็บอยู่บนเจ้าหมอก ซึ่งกายเตรียมไว้ที่ยามกลางคืนมาเยือน
เสียงกระทบกันของไม้ขีดไฟก่อนจะจุดคบเพลิงลุกดัง พรึบ! ไฟที่ปลายคบไฟปลิวไปมาตามทิศทางลม แต่ยังดีที่ว่าคบเพลิงในมือถูกสร้างขึ้นมาจากผ้าชุบน้ำมันดินคุณภาพสูง มันจึงลุกไหม้และให้ความสว่างได้เป็นอย่างดีแม้จะมีลมแรงก็ตาม
บนท้องฟ้าเจ้าเหยี่ยวโคดี้นั้นเริ่มจะมองไม่เห็นเหยื่อบนพื้นดินรอบ ๆ แล้ว แต่เพราะมันมีความสามารถในการค้นหาสิ่งมีชีวิตและยังเฝ้ารอเหยื่อที่กายให้มันตรวจจับอยู่ โคดี้จึงทำได้เพียงบินบนอยู่เหนือหัวของกายอยู่อย่างนั้น
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงโคดี้ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากบินลงมาพักบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งมันก็จะไปจิกกินฉีกเอาเนื้อหนูทุ่งหญ้ามากินเติมพลัง จนกายเริ่มคิดว่ามันไม่ได้เหนื่อยที่จะบินติดต่อกัน เพียงแต่เพราะมันแค่อดใจไม่ไหวที่จะลงมากินเนื้อหนูทุ่งหญ้าก็เท่านั้น
เนื้อนี่มันอร่อยขนาดนั้นเลยหรือไง
กายลองตัดเนื้อหนูทุ่งหญ้าออกมาชิ้นหนึ่ง ก่อนจะลองย่างกับไฟของคบเพลิงในมือ ใช้เวลาไม่เกินสองนาที เนื้อก็สุกหอมกำลังดี กายกลืนน้ำลายเบา ๆ ก่อนจะอ้าปากกว้างใส่เนื้อหนูทุ่งหญ้าที่ย่างสุกนอกนุ่มใน
เขาเคียวเนื้อหนูทุ่งหญ้าอย่างช้า ๆ เนื้อของหนูตัวนี้ไม่มีกลิ่นเหม็นแม้แต่น้อย แถมสัมผัสก็ยังวิเศษมาก ด้วยไขมันแนบเนื้อที่ย่างเกรียมหน่อย ๆ และเนื้อด้านในที่เก็บน้ำชุ่มฉ่ำเวลากัดจึงไม่แข็งกระด้าง
“อร่อยใช้ได้” กายพูดออกมาอย่างพอใจ เขากำลังจะเฉือนเนื้อออกมากินอีกสักชิ้นหนึ่ง แต่เจ้าเหยี่ยวโคดี้ก็ร้องและบินลงมา ไม่ใช่ว่ามันเจอกับสิ่งที่ให้กายตามหา มันบินไปที่ตัวของหนูทุ่งหญ้าตบเท้าสองสามทีเป็นการส่งสัญญาณให้กายที่แม้จะฟังภาษานกไม่ออก แต่ก็เข้าใจได้ว่ามันกำลังบอกอะไร
“เจ้าบอกว่ามันคือรางวัลตอบแทนจึงกินไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
“หึ ก็ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่กินมัน เห็นแก่ความพยายามของเจ้าในช่วงนี้ก็แล้วกัน”
กายหมดอารมณ์กินโยนเนื้อหนูทุ่งหญ้าเข้าไปเก็บไว้ตามเดิมโคดี้ที่เห็นแบบนั้นก็บินกลับไปด้านบน แต่มันก็ยังคงระแวงกายจึงก้มหัวมองลงมาหลายครั้ง
ตามที่คนของสภาสูงบอก ผู้เล่นเมื่อตายไปจะเกิดในระยะ 100 เมตร แต่อาจจะไกลกว่านั้นก็ได้ ดังนั้นหวังว่ามันจะไม่ไกลเกินจนเจ้าเหยี่ยวโคดี้หาไม่เจอหรอกนะ
กายมองไปรออบ ๆ ในความมืด วันนี้เป็นคืนเดือนมืดด้วยท้องฟ้าเลยแทบจะไม่มีแสงจันทร์ให้เห็นเลย
แต่แล้วในตอนนั้นเองเจ้าโคดี้ก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงสิ่ง
“แกว้ก ๆ !”
มันร้องออกมาและกระพือปีกบินลงมาหากาย ก่อนจะชี้ปีกและหันไปมองยังทิศทางหนึ่ง
“เจ้าแน่ใจนะ”
“แกว้ก ๆ !”
เจ้าเหยี่ยวโคดี้ยังทำท่าทางยืนยันเหมือนเช่นเคย กายเห็นดังนั้นก็พยักหน้าออกมารีบกระโดดขึ้นหลังเจ้าหมอกก่อนจะตรงไปยังทิศทางที่โคดี้ระบุไว้ ไปราว ๆ 110 เมตร ลงไปเบื้องล่างทางลาดชันสักเล็กน้อย เขาก็สังเกตเห็นบางสิ่ง
มีร่างของมนุษย์ปรากฏขึ้นมา ผู้เล่นคนนั้นมองไปรอบ ๆ อย่างระวัง ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นผู้เล่นหนึ่งในสองที่โดนม้าดีดและกายก็ทุบมันจนตายนั้นเอง
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ผู้เล่นกิลด์กะโหลกแดงยกมือชี้มาที่กายอย่างตกใจราวกับเห็นเขาเป็นผีอย่างนั้น
กายที่ตอนนี้มือหนึ่งถือคบเพลิงมือหนึ่งถือค้อนสั่นสะเทือนไว้ก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นผู้เล่นของกิลด์กะโหลกแดงจริง ๆ
“ว่ายังไง ข้าก็รอเจ้าอยู่ยังไง เพราะเรายังไม่รู้จักกันเลย” กายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร ผู้เล่นกิลด์กะโหลกแดงที่ในตอนแรกระวังตัวสุด ๆ ก็ถึงกับงงและพูดตอบกลับไปเช่นกัน
“สวัสดีข้า...อั๊ก...! ไอ้ชั่วเจ้า!” ผู้เล่นกิลด์กะโหลกแดงที่โดนกายลอบโจมตีทีเผลอกระเด็นกระดอนไปราวกับลูกบอลหนังมนุษย์ กระแทกเข้ากับดินและหินอยู่หลายตลบก่อนจะนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นมองกายด้วยความโกรธ
“โทษทีข้าต้องรีบไปจัดการอีกคน ดังนั้นคงทักทายเจ้าได้แค่นี้” กายหยิบค้อนขึ้นมา ก่อนจะทุบลงไปที่ผู้เล่นกิลด์กะโหลกแดงโดยไม่สนใจสายตาอ้อนวอนแม้แต่น้อย
“ไม่!!!!!”
ตุบ!
ตั้งแต่ช่วงคอและอกถูกทุบจนแหลก ทำให้กายไม่ต้องการเสียเวลาตัดหัวของผู้เล่นคนนี้ เขาสามารถหยิบมันขึ้นมาและโยนไปรวมกับอีกหัวก่อนหน้านั้นได้ในทันที
เหลืออีกหนึ่ง...
กายรีบตรงไปยังทิศทางที่เจ้าโคดี้บอกอีกรอบในทันที
ในตอนนี้ผู้เล่นกิลด์กะโหลกที่เหลือรอดคนสุดท้ายกำลังสับเท้าวิ่งหนีด้วยความกลัว เพราะเมื่อครู่มันได้ยินเสียงร้องโหยหวนของสหายร่วมกิลด์ไปทำให้รู้ว่าชายที่ฆ่าตนยังดักรอพวกเขาเกิดอยู่แน่ ๆ
“ไม่! ไม่! ไม่! ข้าต้องรีบหนี ถ้ากลับไปเริ่ม ID ไหมอีกครั้ง ข้าตามคนอื่น ๆ ไม่ทันอย่างแน่นอน”
“เจ้าจะหนีไปไหน”
เสียงตะโกนของกายดังมาจากด้านหลัง ทำเอามันรู้สึกหวาดผวาไปหมด จนวิ่งไปมาก็สะดุดล้มหน้าทิ่มดิน ผู้เล่นที่พึ่งเกิดใหม่ไม่มีสมบัติหรืออาวุธติดตัวนอกจากเสื้อผ้าบาง ๆ ชุดหนึ่งเท่านั้น ทำให้ผู้เล่นกิลด์กะโหลกแดงคนนี้ไม่มีอาวุธติดตัวพอจะไปสู้กับกาย หรือต่อให้มีมันก็รู้ตัวเองว่าไม่มีทางสู้กับได้อยู่ดี
“เจ้าต้องการอะไร เจ้าฆ่าข้าไปครั้งหนึ่งแล้วจะมาไล่ฆ่าข้าทำไมอีกครั้งหนึ่ง หรือเจ้าเป็นพวกเก็บกวาดกะโหลก”
“เจ้าไม่คิดว่าฉากนี้มันเหมือนกับที่กลุ่มโจรกิลด์กะโหลกแดงอย่างพวกเจ้าทำที่ป่าเคนารีสอย่างนั้นหรือ เพียงแต่มันสลับตำแหน่งกันก็เท่านั้น” กายจับจ้องและพูดออกไปด้วยความเย็นชา
ซึ่งจากคำพูดของกายก็ทำเอาผู้เล่นกิลด์กะโหลกดงคนนี้ชะงักไปครู่ ก่อนที่ดูเหมือนจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
“เจ้าไม่ใช่ผู้เล่นอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าคือพวก NPC ที่ตามไล่สังหารกิลด์กะโหลกแดง นักล่าค่าหัวสินะ”
“เจ้าถูกแค่ครึ่งหนึ่ง ข้าคือนักล่าค่าหัวและก็เป็นหนึ่งในนักเรียนที่เจ้าเคยไล่ฆ่าด้วย”
“บัดซบทำไมข้าดวงซวยขนาดนี้ ถึงมาเจอไอ้เด็กเหลือขอจากสถาบันศาสตร์นกรับกัน มิน่าละมันถึงเก่งขนาดนี้”
ผู้เล่นกิลด์กะโหลกแดงเหมือนจะยอมรับชะตากรรมแล้ว เพราะเขารู้ว่าผู้เล่นด้วยกันเองอาจจะยังขอร้องไม่ให้ฆ่าได้ แต่กับ NPC พวกเขามองผู้เล่นเป็นมนุษย์ไฟและศัตรู แน่นอนว่าคนที่ทำให้ผู้เล่นถูกมองในนครดาราฟ้าแบบนี้ก็คือพวกมันเหล่ากิลด์กะโหลกแดงเอง
กายเห็นว่าผู้เล่นกิลด์กะโหลกแดงคนนี้เข้าใจผิดว่าเขาเป็น NPC อย่างที่ตั้งใจไว้แล้วกายก็จัดการปลิดชีพเขาในทันที
...
หลังจากเก็บหัวผู้เล่นคนสุดท้ายเข้าไปรวมในถุงผ้าเสร็จกายก็เรียกเจ้าเหยี่ยวโคดี้กลับมาและกำลังจะเตรียมมุ่งหน้ากลับไป แต่แล้วสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นของบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในดิน ซึ่งมันถูกดินทับไปเพียงครึ่งเท่านั้น
“หึ ก็ว่าทำไมถึงถามเราแบบนั้น กลายเป็นว่าเจ้าก็เล่นตุกติกกับข้าด้วยนี่เอง” กายหันไปกล่าวกับศพผู้เล่นที่ไร้หัวและหน้าอกแหลกเละ ก่อนจะเดินเข้าไปหยิบของที่ซ่อนอยู่ไว้ออกมา
เป็นจดหมายอย่างนั้นหรือ...
พวกผู้เล่นไม่น่าจะใช้วิธีการส่งจดหมายนี่ ปกติคุยกันด้านนอกในโลกความจริงก็ได้แล้ว ซึ่งมันทั้งปลอดภัย สะดวกและรวดเร็วกว่าต้องเดินทางไกลในโลกราชันซะอีก
หรือว่า นอกซะจากจดหมายฉบับนี้ไม่ได้ส่งจากผู้เล่นถึงผู้เล่น แต่กำลังจะส่งไปให้ NPC หรือไม่ก็มาจาก NPC
กายเปิดจดหมายที่ออกมาอ่านดูในทันที
“นี่มัน!!”
“ทางข้าเตรียมพร้อมสำหรับการลงมือได้ทุกเมื่อ ขอเพียงมีสัญญาณการเริ่มต้น กองโจรพร้อมลงมือลอบโจมตีกำลังหนุนและปล้นเสบียงตัดขาดน้ำและอาหารทหารพวกนั้นทันที”
เนื้อความในจดหมายมีแค่นี้ นอกนั้นก็เป็นชื่อของผู้เขียนที่กำกับไว้ก็คือ “กระทิงเขียว”
กายถึงกับมีสีหน้าตกใจ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นอึ้งและสงสัยตามลำดับ เพราะเนื้อหาในจดหมายนี้มันไม่ใช่คนคนอื่น ๆ คนใกล้เลย แต่กับเป็นหนึ่งในกลุ่มโจรที่กายและพวกเคยไปถล่มมา
กองโจรกระทิงโลหิต ซึ่งในตอนนี้จะเรียกแบบนั้นก็ไม่ถูก เพราะกระทิงโลหิตโดนกายเก็บไปแล้ว
นอกจากกระทิงโลหิตผู้เป็นหัวหน้ากองโจรนี้แล้วในกลุ่มนี้ ยังมีรองหัวหน้าถึงสองคน หนึ่งคือกระทิงแดงที่โดนม้าเหยียบตามไปและอีกคนที่กายยังไม่เคยเจอตัว กระทิงเขียว
เราเคยสงสัยว่าพวกกองโจรกระทิงโลหิตคงมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา และดูท่าแล้วกองโจรกระทิงโลหิตจะเกี่ยวกับกลุ่มอำนาจบางแห่งจริง ๆ
แต่เป็นใครกัน ไม่สิเราถามแบบนั้นไม่ได้ ต้องเริ่มจากกว้าง ๆ ก่อน เดี๋ยวหรือว่า....
“นครแสงเทวา” กายพูดออกมาคำพูดหนึ่งก็ทำเอาเขาตกใจเหมือนกัน
นครแสงเทวามักจะสร้างกองโจรเข้ามาแทรกแซงทุ่งหญ้ากิราเพื่อผลประโยชน์ในพื้นที่แทบนี้ ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างก็ลงล็อก แต่พวกกองโจรกระทิงโลหิตไม่สิ ต้องเรียกว่า กองโจรกระทิงเขียวและกิลด์กะโหลกแดงคิดจะทำอะไรกัน
ส่งเสบียง...ส่งเสบียงของทหาร ของกองทัพนครดาราฟ้า ป้อมปราการตะวันออก
กายนึกถึงข้อมูลของป้อมปราการแห่งนี้ที่มีอยู่น้อยนิด จากคำบอกเล่าและการพูดคุยกับมีอาและคนอื่น ๆ ‘ป้อมปราการตะวันออก’ ของนครดาราฟ้าที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกควบคุมสุดเขตชายแดนของนครดาราฟ้า ทำหน้าที่เป็นด้านหน้าในการยันพื้นที่กับนครแสงเทวา
ซึ่งสงครามครั้งล่าสุดคือเมื่อ 70 ปีก่อนจะมีการตกลงทำสัญญาสงบศึกกัน
ตามปกติแล้วการโดนตัดเสียงเพียงสองสามครั้งไม่นับเป็นปัญหา เพราะในป้อมีเสบียงอาหารและอาวุธสำรองอยู่ ถ้าสถานการณ์ปกติละก็นะ...แต่ถ้ามีสงคราม!
กายไตร่ตรองมาถึงตรงนี้ เขาก็ได้ข้อสรุปแล้วว่า
กิลด์กะโหลกแดงเข้าร่วมกับนครแสงเทวากำลังทำบางอย่าง พวกมันไม่สิ นครแสงเทวาต้องการทำสงครามกับนครดาราฟ้า
กายอึ้งกับข้อมูลที่ได้ไปหลายวินาที ก่อนที่จะฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“ซวยแล้วไง มีอาและลิลี่ไปตามล่ากระทิงเขียว ถ้ากระทิงเขียวเกี่ยวข้องกับนครแสงเทวา พวกมันก็อาจจะรู้ว่ามีอาและลิลี่เอาหัวของกระทิงโลหิตไปขั้นเงินรางวัล แบบนี้เท่ากับพวกเธอกำลังตรงไปหากระทิงเขียวที่มีกองกำลังโจรจำนวนมากรอลอบโจมตีทหารที่จะมาหนุนเสริมปราการตะวันออกจากด้านหลัง”
“บ้าเอ๊ย ทำไมมันถึงมีเรื่องบ้า ๆ แบบนี้เกิดขึ้นตอนนี้กันด้วย”
กายรีบขึ้นหลังเจ้าหมอกก่อนจะตรงกลับไปที่หมู่บ้านชนพื้นเมืองที่ทุกคนแวะพักกันในทันที