WMR ตอนที่ 6 คนทำความสะอาด
ความเข้าใจผิดที่สำคัญในชีวิตมีอยู่หลัก ๆ ทั้งหมดสามประการ: โทรศัพท์สั่น เธอชอบฉัน... และฉันสามารถตอบโต้ได้
กู้เป่ยพบว่าตอนนี้ตัวเองตกอยู่ในความเข้าใจผิดที่สาม
จากความเชื่อมั่นต่อฟังก์ชันการวนซ้ำของระบบ เขามุ่งความสนใจไปที่คาถา และตั้งใจจะใช้คาถาผูกมัดเพื่อตอบโต้มิเชล และระบบก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง เพราะมันย้ำเนื้อหาคาถาโดยไม่ปริปากบ่น
แต่คนที่ทำให้เขาผิดหวังไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวเขาเอง
ไม่ว่าระบบจะเล่นคาถาซ้ำกี่ครั้ง ไม่ว่ากู้เป่ยจะจดจ่อกับมันมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารภเรียนรู้คาถานั้นได้
โดยการเพ่งสมาธิ เขาได้กลับไปยังพื้นที่ภายในจิตสำนึกของเขาอีกครั้ง ทุกอย่างภายในมิตินี้ยังคงเหมือนก่อนหน้า มันเป็นพื้นที่สีดำสนิทโดยมีอักขระสามเหลี่ยมสีฟ้าส่องแสงอยู่ไม่ไกล เสียงของระบบที่กำลังเล่นคาถาซ้ำยังคงก้องอยู่ในมิติเช่นเดียวกับคราวคาถาวอเทอร์บอล(บอลน้ำ)ที่ดังก้องกังวานซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กู้เป่ยรู้สึกราวกับเขาขว้างก้อนหินลงไปในทะเลสาบและปรารถนาให้เกิดระลอกคลื่น แต่ทะเลสาบที่เขาขว้างก้อนหินลงไปนั้นกลับกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว ทำให้ทุกสิ่งที่เขาพยายามทำไร้ประโยชน์
“การเปรียบเทียบของท่านไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นัก” ระบบขัดจังหวะขณะหยุดการวนซ้ำ “การไม่มีน้ำกระเซ็นไม่ได้หมายความว่าทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็ง ในกรณีของท่าน ควรจะบอกว่าน้ำในทะเลสาบมันแห้งสนิทจึงจะถูกต้องกว่า”
กู้เป่ยไม่คิดจะเล่นเกมทายคำศัพท์กับระบบ แต่หลังจากลองไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง เขาก็รู้สึกว่าคำพูดของระบบมีความหมายซ่อนอยู่
“นายหมายความว่าไง?”
ระบบสัมผัสได้ถึงชัยชนะ มันแสร้งทำเป็นกระแอมก่อนจะพูดออกมาอย่างช้า ๆ “พื้นผิวของทะเลสาบคือพื้นที่ภายในจิตสำนึกของท่าน ส่วนคาถาคือก้อนหิน การขว้างก้อนหินเพื่อทำลายพื้นผิวที่เยือกแข็งนั้นเปรียบเสมือนการปลดล็อกมิติแห่งจิตสำนึกของท่าน อย่างไรก็ตามการปลดล็อกมิติแห่งจิตสำนึกนั้นสามารถกระทำได้เพียงครั้งเดียว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้วิธีการเดียวกันเพื่อเรียนรู้คาถาที่สอง”
“งั้นทำยังไงฉันถึงจะเรียนรู้มันได้?”
“เมื่อเป็นเช่นนี้….” ระบบหยุดชั่วครู่และพูดต่ออย่างไร้ยางอาย “ข้าควรส่งคำถามของท่านไปให้ใคร?”
“....”
เขาไม่ควรคาดหวังกับมันตั้งแต่แรก
กู้เป่ยส่ายหัว
แม้ระบบจะชอบพูดจาไร้สาระเหมือนชาแมนเฒ่า แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าการอนุมานของมันเรื่องการปลดล็อกพื้นที่จิตสำนึกนั้นค่อนข้างสมเหตุสมผล เพราะหากเขาสามารถใช้วิธีเดิมเพื่อเรียนคาถาได้สำหรับเขาแล้วมันฟังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่
แต่ปัญหาคือถ้าหากวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล งั้นเขาต้องทำยังไง?
นี่คือข้อเสียของการเรียนรู้ด้วยตนเอง เขากลายเป็นผู้วิเศษโดยไม่มีพื้นฐานทางทฤษฎีเลยแม้แต่น้อย ปู่เหมาเคยกล่าวไว้ว่า "ทฤษฎีชี้นำปฏิบัติ" ปัจจุบันการเดินบนเส้นทางผู้วิเศษของเขานั้นไม่ต่างจากคนตาบอด เขาคงต้องเรียนรู้จากปู่เติ้งและสำรวจวิธีแก้ปัญหาด้วยตัวของเขาเอง
กู้เป่ยหงุดหงิดจนแทบทนไม่ไหว เขาอยากวิ่งไปหามิเชลและพูดกับเธอว่า “พี่สาว ท่านช่วยสอนเวทมนตร์ให้ข้าหน่อยได้ไหม?” ให้รู้แล้วรู้รอดไป
“น่าเสียดายที่ท่านไม่สามารถเรียนรู้คาถานี้ได้”
เสียงของระบบเต็มไปด้วยความสุขเพราะในที่สุดมันก็ไม่ต้องวนคาถานั้นซ้ำอีก
“ถ้าฉันไม่สามารถเรียนคาถาผูกมัดนี้ได้ เมื่อมิเชลฆ่าฉัน นายก็ต้องตายไปพร้อมกับฉันด้วย ลืมแล้วรึไง?” กู้เป่ยเตือนระบบทำให้มันเงียบไปในทันที
กู้เป่ยหยุดให้ความสนใจกับระบบหลังจากแผนการวนซ้ำล้มเหลว คราวนี้เขามุ่งตวามสนใจไปที่มิติแห่งจิตสำนึกของเขาแทน
มิติแห่งจิตสำนึกนี้เป็นที่มาของความสามารถทางเวทมนตร์ทั้งหมดของเขา หากมีสิ่งใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์และตอบข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับเวทมนตร์ของเขาได้ มันก็คงหนีไม่พ้นมิติที่มืดมิดแห่งนี้
มองเข้าไปในความืดก็ไม่ได้อะไร กู้เป่ยคิด ดังนั้นเขาจึงเดินไปที่อักขระสามเหลี่ยม
เขาเหยียดมือออก เล็งไปที่มัน และร่ายคาถาวอเทอร์บอล(บอลน้ำ)
ราวกับว่าอักขระกลายเป็นเครื่องดนตรีสามเหลี่ยมของจริง มันถูกเคาะเบา ๆ ด้วยแรงที่มองไม่เห็น สั่น และเปล่งเสียงดัง "ติ๊ง" ออกมา เสียงของมันคมชัดราวกับคลื่นที่เปียกชื้น แผ่กระจายไปทั่วพื้นที่จิตสำนึกในทันที
ความรู้สึกแปลก ๆ ผุดขึ้นในตัวเขา
กู้เป่ยสัมผัสได้ถึงเสียงสะท้อนจากภายในสู่ภายนอก ภายใต้เสียงนั้นความชาก็เริ่มกระจายไปทั่วร่างกายของเขา และเมื่อเขารู้สึกตัวบอลน้ำก็ลอยอยู่บนฝ่ามืออย่างเงียบ ๆ
“ว้าว น่าทึ่งมาก! ท่านสามารถสร้างบอลน้ำได้แล้ว!” จู่ ๆ เสียงกลไกก็ดังขึ้นอย่างดุดัน “บอกข้ามาเร็ว ท่านวางแผนจะรักษาความยุติธรรมด้วยบอลน้ำ และปราบมิเชลผู้ชั่วร้ายคนนี้ได้อย่างไร?”
กู้เป่ยเพิกเฉยต่อคำเยาะเย้ยของระบบ ในขณะที่ลูกบอลน้ำก่อตัวขึ้น พื้นที่นี้ก็ชัดเจนขึ้นในสายตาของเขา เฉกเช่นชายตาบอดที่เพิ่งได้รับแสงสว่าง เขารู้สึกทึ่งและปลาบปลื้มเมื่อได้สัมผัสกับเหตุการณ์ทางประสาทสัมผัสที่เขาไม่เคยมีมาก่อน
แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่ แต่เขาก็ยังได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง
พื้นที่นี้มันเต็มไปด้วยพลังเวท
โดยปกติแล้วพลังนี้จะลอยไปมาในอากาศอย่างไร้แก่นสาร แต่เมื่อไหร่ที่เขาร่ายคาถาอักขระสามเหลี่ยมก็ปล่อยคลื่นออกมา ภายใต้อิทธิพลของคลื่นนี้พลังที่อยู่โดยรอบก็จะมารวมตัวกันราวกับลูกอ๊อดที่แย่งชิงอาหาร
ด้วยเหตุนี้บอลน้ำในมือของเขาจึงถูกสร้างขึ้น
ใช้อักขระนี้เป็นสื่อกลางในการดึงดูดพลังที่กระจัดกระจายและใช้พวกมัน!
กู้เป่ยรู้สึกว่าเขาได้ค้นพบแก่นแท้ของเวทมนตร์
แต่ไม่นานเขาก็กลับมาหดหู่อีกครั้งเพราะความรู้ใหม่ที่เขาได้มาไม่ได้ช่วยเขาเลยสักนิด อีกทั้งมันยังดับความหวังเดียวที่เขามีอีกด้วย
เหตุเพราะเขารู้สึกว่าพลังงานเหล่านี้มีคุณสมบัติอยู่
พลังงานที่เต็มไปด้วยความชุ่มชื้นและมีชีวิตชีวาพวกนี้คือ ‘น้ำ’ อย่างไม่ต้องสงสัย
และเมื่อเขาลองร่ายคาถาผูกมัดดูอีกครั้ง เขาก็สัมผัสได้ถึงความรังเกียจจากพลังงานพวกนี้
เห็นได้ชัดว่าพลังงานที่จำเป็นสำหรับการร่ายคาถาผูกมัดไม่ใช่ ‘น้ำ’
กู้เป่ยยังคงลองพยายามสัมผัสถึงพลังงานที่มีคุณสมบัติอื่นดู แต่น่าเสียดายที่พลังภายในจิตสำนึกของเขากลับกลายเป็น 'น้ำ' และ 'น้ำ' เท่านั้น เมื่อเขาออกจากพื้นที่จิตสำนึกและพยายามสัมผัสถึงพลังในโลกแห่งความเป็นจริง เขาก็รู้สึกได้เพียง ‘น้ำ’ เช่นกัน
หากให้เปรียบเทียบมันก็เหมือนกับการไปรับเด็กกลับบ้านจากโรงเรียนอนุบาลที่สามารถรับได้แค่ลูกของตัวเองเท่านั้น มันไม่มีประโยชน์ที่จะรับเด็กคนอื่นกลับเพราะพวกเขาจะไม่ตามกลับไปไม่ว่าจะเรียกดังแค่ไหนก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น ‘ลูก’ ของกู้เป่ยยังซุกซนเป็นพิเศษ ไม่ว่ากู้เป่ยจะพยายามแค่ไหน ‘น้ำ’ ก็ตอบสนองต่อเขาเพียงเล็กน้อยภายในขอบเขตที่จำกัด ดูแล้วหนทางยังอีกยาวไกลกว่าเขาจะสามารถสั่งการ ‘น้ำ’ ได้ราวกับแขนขา
“ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อว่าผู้เป็นปราชญ์มาทั้งชีวิตอย่างข้าจะต้องมาผูกติดกับคนไม่เต็มบาทเช่นท่าน” ระบบเริ่มคร่ำครวญด้วยความปวดร้าวเมื่อรู้เรื่องนี้ “บอกข้าที ทำไมท่านถึงควบคุมได้แค่ ‘น้ำ’? ของแค่นี้มันจะไปทำอะไรได้? แค่ล้างเท้ายังไม่พอเลยด้วยซ้ำ!”
แม้กู้เป่ยจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ทำได้เพียงเห็นด้วยกับระบบเท่านั้น
คาถาวอเทอร์บอล(บอลน้ำ)อันนี้ไร้ประโยชน์สิ้นดี!
แผนการใช้เวทย์มนตร์เพื่อตอบโต้ล้มเหลวก่อนที่จะถูกนำไปใช้จริง จุดเริ่มของจินตนาการสลับบทบาทระหว่างผู้ล่ากับเหยื่อของเขาเริ่มต้นและจบในเวลาเพียงสิบนาที ใครเล่าจะคิดว่ามันจะกลับมาตบหน้าเขาเร็วขนาดนี้ มันเร็วถึงขนาดที่กู้เป่ยสัมผัสได้ถึงความอาฆาตพยาบาทจากโลกนี้
ตอนนี้เขาจนปัญญาแล้ว!
กู้เป่ยลืมตาออกจากมิติแห่งจิตสำนึกของเขาเพื่อกลับสู่โลกแห่งความจริง
สายลมยามเย็นยังคงพัดผ่าน ปลายยอดไม้ส่งเสียงแผ่วเบาภายใต้สายลม มิเชลยังคงนั่งนิ่งราวกับรูปปั้นอยู่กิ่งไม้ด้านข้าง ด้วยฮูดที่กำลังคลุมใบหน้าทำให้กู้เป่ยไม่สามารถอ่านสีหน้าปัจจุบันของเธอได้
อันที่จริงตั้งแต่ถูกเคลื่อนย้ายมาจนถึงตอนนี้กู้เป่ยยังไม่เคยเห็นหน้ามิเชลแบบชัด ๆ เลยสักครั้ง เธอเป็นเหมือนแม่มดผู้ชั่วร้ายและลึกลับที่สุดในหนัง ความคิดชั่วร้ายกำลังเดือดพล่านอยู่ในตัวเธอ ราวกับว่าเธอกำลังวางแผนชั่วร้ายอยู่ตลอดเวลา
กู้เป่ยจ้องเธอและพยายามหาข้อบกพร่องภายใต้เสื้อคลุมที่ดูน่าขนลุก
“โอ้ ในที่สุดท่านก็ตัดสินใจใช้ร่างกายของท่าน?” ระบบโผล่ออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ “ในที่สุดคุณก็คุยกับตัวเองเสร็จสักที นี่ ดูนี่สิบทความบนเวย์ปั๋วที่แชร์กันเป็นล้าน ๆ ครั้ง <ถ้าไม่อ่านจะตกเทรนด์! หนึ่งร้อยเคล็ดลับคำบอกรักจากอิตาลี่> คุณจะได้เธอง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก...”
กู้เป่ยไม่สนใจมัน
เขากำลังคิดหาทางหนีจากมิเชล แน่นอนว่ามันไม่ใช่แผนงี่เง่าที่ระบบแนะนำ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะใช้ร่างกายเข้าแลก แต่มันก็ไม่มีอะไรมารับประกันว่าอีกฝ่ายจะสนใจ จากประสบการณ์การเดินทางนับตั้งแต่ที่เขาถูกย้ายมาที่นี่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่พระเอกฮาเร็มที่มีสาว ๆ วิ่งเข้าหา
ดังนั้นเขาจึงวางแผนจะคุยกับมิเชล
หรือก็คือเขาต้องการริเริ่มเจรจากับมิเชลเช่นเดียวกับเมื่อตอนที่เขาถูกย้ายมาที่นี่ครั้งแรก เขาต้องการใช้ชิปทุกอย่างที่เขามีอยู่ในมือเพื่อโน้มน้าวมิเชลให้ทำข้อตกลง และปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่
แม้จะฟังดูไร้สาระ แต่เขาก็เต็มใจที่จะลองทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ แม้มันจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก แต่มันจะมีอะไรเลวร้ายไปกว่าสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้?
เขาไม่คิดจะยอมแพ้อยู่แค่นี้
ดังนั้นเขาจึงปรับอารมณ์ของเขาและเริ่มพูด “คุณหญิงมิเชล ตอนนี้เจ้ากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก”
พื้นฐานการต่อรองที่สำคัญประการแรกคือการเพิ่มจุดยืน สองคือบลัฟ (หลอกลวง) และสุดท้ายคือทำให้ตื่นตระหนกด้วยคำพูดเชิงข่มขู่ นี่เป็นเหตุผลเดียวกับที่พวกหมอดูชอบทักคนว่าระหว่างคิ้วของพวกเขาเป็นสีดำ และพวกเขาจะต้องประสบกับโศกนาฏกรรมนองเลือดในอนาคต กล่าวโดยสรุปทุกอย่างที่กล่าวมาล้วนเกี่ยวข้องกับการเล่นกับความกลัวทั้งนั้น
แน่นอน เขารู้ว่าแค่ประโยคนี้เพียงประโยคเดียวไม่สามารถทำให้มิเชลหวาดกลัวได้ และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขามีแผนสำรอง
ต่อจากนี้จะเป็นบทสนทนาที่กู้เป่ยจินตนาการไว้:
“คุณหญิงมิเชล ตอนนี้เจ้ากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก”
มิเชลล์เย้ยหยัน “เจ้ากำลังพูดอะไรไร้สาระ”
กู้เป่ยยิ้มอย่างเย็นชา ยยิ้มอย่างเย้สนทนาที่ก๔ร“เจ้าคงกำลังคิดว่าการสังเวยแอนนี่จะช่วยชะลอกองทหารที่ตามอยู่ข้างหลังเราได้สินะ แต่น่าเสียดายที่ตระกูลของข้านั้นรู้อยู่แล้วว่าเป้าหมายของเจ้าคือคลังสมบัติ! ฮะฮ่า เวลานี้พวกเขาคงกำลังรอดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่ที่นั่น!”
มิเชลตกตะลึง “ปะ เป็นไปไม่ได้! คนพวกนั้นรู้ได้ยังไง?!”
กู้เป่ยเงยหน้าและหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าฮ่าฮ่า ทำไมนะหรือ? มันเป็นเพราะข้าทิ้งเบาะแสเอาไว้หน่ะสิ เจ้าคงคิดไม่ถึงเลยใช่ไหมเล่า? หึหึหึ! ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดีเถอะมิเชล เพราะข้านั้นฉลาดกว่าเจ้าหลายขุม!”
มิเชลสูญเสียความใจเย็น หน้าของเธอซีดปราศจากเลือดราวกับถูกฟ้าผ่า “ไม่นะ ข้าควรทำยังไงดี? นี่ข้ากำลังจะตายงั้นเหรอ? จะ เจ้าต้องรู้วิธีช่วยข้าแน่!บอกข้าที เร็วเข้า ข้าจะทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการ”
จากนั้นกู้เป่ยก็ทำข้อตกลงกับมิเชลได้สำเร็จ โดยสัญญาว่าหลังจากกลับถึงตระกูลได้อย่างปลอดภัยแล้ว เขาจะหาทางช่วยมิเชลให้ได้สมบัติที่เธอต้องการ มิเชลร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งและพาเขากลับไปหาครอบครัว หลังจากนี้ไม่ว่าเขาจะช่วยมิเชลหรือไม่มันก็ไม่สำคัญแล้ว เพราะเขาไม่จำเป็นต้องทำตามสัญญาที่ว่างเปล่าเมื่อเขาปลอดภัย!
ด้วยวิธีนี้เขาจึงสามารถหนีไปได้อย่างปลอดภัย ส่วนมิเชลก็จะสูญเสียทั้งตัวประกันและสมบัติ
เรียบง่าย... แต่สมบูรณ์แบบ!
กู้เป่ยลูบคาง และอดชมตัวเองไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับที่ทุกคนคิด ความเป็นจริงมันมักไม่ได้เป็นอย่างที่หวังเสมอไป
มิเชลไม่สนใจเขา
กู้เป่ยไม่ได้ตื่นตระหนก เขารู้ดีว่าสิ่งต่าง ๆ จะไม่ราบรื่นอย่างที่เขาหวัง แต่ถึงแม้ถนนจะคดเคี้ยว อนาคตของเขาก็ยังสดใส ไม่มีทางเลยที่ความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่จะมาหยุดเขาได้
ด้วยความคิดนี้เขาจึงยังคงพูดต่อไป “ข้าไม่ได้หลอกเจ้า เจ้ากำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างที่ข้าว่าจริง ๆ มิเชล นี่เจ้าไม่เชื่อข้างั้นเหรอ?”
ในที่สุด มิเชลก็ตอบเขา "ท่านพูดถูก ข้าเชื่อท่าน"
กู้เป่ยพูดไม่ออก เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
มิเชลในตอนนี้สงบพอ ๆ กับขันทีในซ่องโสเภณี “ระหว่างที่เราเดินทางท่านได้ทิ้งเบาะแสเอาไว้ให้ทหารที่ตามอยู่ข้างหลัง แต่น่าเสียดายที่ต้องบอกว่าพวกเขารู้อยู่นานแล้วว่าเป้าหมายของข้าคือคลัง ดังนั้นพวกเขาจึงดักรออยู่ที่นั่นเพื่อซุ่มโจมตีและจับข้า”
"..."
กู้เป่ยเงียบ
ระบบพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “ข้าเกลียดคนจำพวกนี้เป็นที่สุด! พวกเขามักไม่ทำตามบท แถมยังมาขโมยบทพูดจากคนอื่นอีก แล้วแบบนี้คนที่พวกเขาคุยด้วยจะตอบสนองยังไง!”
แม้จะเปรียบเทียบได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่กู้เป่ยก็อยากหารูมุดเข้าไปอยู่ให้รู้แล้วรู้รอดไป
แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นหน้าของมิเชลที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุม แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงการเยาะเย้ยและสติปัญญาที่เหนือกว่า เดิมทีเขาเคยรู้สึกขอบคุณที่มิเชลมองข้ามเบาะแสที่เขาทิ้งไว้ แต่.....
ในเมื่อพูดออกไปแล้วเขาจึงถอยไม่ได้ ดังนั้นกู้เป่ยจึงทำได้เพียงกัดฟันและพูดต่อ “เอ่อ... แม้ว่าเจ้าจะสังเกตเห็นเบาะแสที่ข้าทิ้งไว้ แต่ข้าพนันได้เลยว่าเจ้าลบพวกมันไม่หมด”
มิเชลกล่าว “ไม่ ท่านผิดแล้ว ข้ายังไม่ได้ลบมัน เบาะแสที่ท่านทิ้งไว้ยังอยู่ที่เดิม”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ กู้เป่ยก็รู้สึกประหลาดใจ
หากไม่ได้ลบพวกมันงั้นก็แสดงว่าพวกทหารจากตระกูลลิเธอร์สามารถตามรอยพวกเขามาได้ ดังนั้นกู้เป่ยจะมีอำนาจในการต่อรอง นี่มันเหมือนกับแผนที่เขาคิดไว้เป๊ะเลย!
งั้นทำไม? ทำไมมิเชลถึงต้องทุ่มหินใส่เท้าตัวเองด้วย?
กู้เป่ยเริ่มสงสัย “ทำไมกัน? เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าสิ่งนี้จะย้อนกลับมาทำร้ายเจ้า?”
เสียงหัวเราะเย็น ๆ ดังจากภายใต้เสื้อคลุม
อย่างไรก็ตามขณะที่กู้เป่ยคิดว่าเธอกำลังจะอธิบายทุกอย่างจู่ ๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น มิเชลหยิบกริชออกมาจากที่ไหนสักแห่งและนำมาทาบไว้ที่คอของเขา
“ถ้ายังเห็นค่าของชีวิตตัวเองอยู่ก็เงียบซะ!”
ความเย็นจากกริชที่แนบสนิทกับลำคอทำให้กู้เป่ยถึงกับเสียวสันหลัง
อะไรวะ! ผู้หญิงคนนี้กำลังทำบ้าอะไร?
หากกริชเข้ามาใกล้อีกแม้เพียงมิลลิเมตรเดียว ป่าแห่งนี้คงได้อาบน้ำพุเลือด
ในช่วงสั้น ๆ กู้เป่ยพบว่าตัวเองมีเหงื่อเย็นไหลออกมา
แม้ว่าเขาจะตกใจและสัมผัสได้ถึงเมฆแห่งความตายที่กำลังใกล้เข้ามา แต่เขาก็บังคับตัวเองให้ใจเย็น
ไม่ว่ามิเชลจะบ้าขนาดไหน ยังไงเธอก็ยังต้องการเขา ดังนั้นเธอจะไม่ฆ่าเขาโดยไม่มีเหตุผลแน่ ในเมื่อเธอบอกให้เขาเงียบ นั่นก็แปลว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ดังนั้นในเวลานี้เขาควรเฝ้าสังเกตอยู่เงียบ ๆ ไปสักพัก.....
ทันใดนั้นในป่าอันไกลโพ้นก็ได้เกิดความโกลาหลขึ้น
กู้เป่ยกลั้นหายใจตามสัญชาตญาณ
เขาเห็นกลุ่มอัศวินที่ดูน่าเกรงขามค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกมาจากความมืดมุ่งหน้ามาทางเขา
กลุ่มของพวกเขามีประมาณสิบคน และแม้ว่าพวกเขาจะขี่ม้ากันหมด แต่รูปแบบของพวกเขาก็เป็นระเบียบราวกับรูปทรงเรขาคณิตจากสมการคณิตศาสตร์ ทุกคนถูกหุ้มด้วยชุดเกราะอย่างแน่นหนา เกราะของพวกเขาสลักด้วยลวดลายที่ดูวิจิตรบรรจงซึ่งงดงาม แต่ยังคงไว้ซึ่งความน่าเกรงขาม
ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นคือถึงแม้จะเป็นในป่าที่มืดมิดแห่งนี้ แต่เกราะเหล่านั้นก็เปล่งแสงสีทองอ่อนออกมา ภายใต้แสงศักดิ์สิทธิ์ เหล่าอัศวินจึงดูเหมือนเทพเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์ ดึงดูดให้ผู้คนปรารถนาที่จะบูชาโดยไม่รู้ตัว
พวกเขาเดินหน้าด้วยความกดดันราวกับกองทัพทั้ง ๆ ที่มีเพียงแค่สิบคน
ทันทีที่กลุ่มอัศวินปรากฏตัว กู้เป่ยก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความตึงเครียดที่ออกมาจากมิเชล
นั้นจึงทำให้กู้เป่ยอดสนใจไม่ได้
อัศวินพวกนี้เป็นใครกัน? จากรูปการณ์แล้วพวกเขาเกี่ยวข้องกับมิเชลรึไม่? ทำไมมิเชลถึงรู้สึกประหม่า? เว้นเสียแต่ว่า…. พวกเขาเป็นกองกำลังจากตระกูลลิเธอร์?
แน่นอนว่ากู้เป่ยไม่ได้โง่ถึงขนาดขอความช่วยเหลือจากพวกเขาทั้ง ๆ ที่ยังมีกริชจ่ออยู่ที่คอ การร้องขอความช่วยเหลือมีแต่จะทำให้เขาตายเร็วขึ้นเท่านั้น
อัศวินไม่ได้สังเกตเห็นมิเชลและกู้เป่ยซึ่งซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ ขณะเดินทัพผ่านและหายไปจากสายตาของกู้เป่ยอย่างรวดเร็ว เมื่อกลุ่มอัศวินออกไปจากบริเวณใกล้เคียง กู้เป่ยก็รู้สึกว่ามิเชลผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
ไม่นานมิเชลก็ถอนกริชออก
กู้เป่ยสัมผัสคอของเขา ความเยือกเย็นของโลหะยังคงติดค้างอยู่ เขาอดสั่นไม่ได้เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
มิเชลพยายามทำอะไรกันแน่? อัศวินพวกนั้นเป็นใครกัน? และ.... คำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ ทำไมมิเชลถึงไม่ลบเบาะแสที่เขาทิ้งไว้?
ในเวลานี้คำถามที่เขาสงสัยมีมากเกินไป
ก่อนที่เขาจะได้ถาม มิเชลก็พูด “เซอร์ลิเธอร์ โปรดยกโทษให้กับความหยาบคายของข้าด้วย ที่ข้าทำไปก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเรา ใจเย็น ๆ ตอนนี้ข้าสามารถตอบคำถามก่อนหน้านี้ของท่านได้แล้ว”
มิเชลเช็ดกริชด้วยแขนเสื้อและเก็บกลับเข้าที่เดิม จากนั้นเธอก็มองไปทางอัศวินที่เพิ่งจากไปก่อนกล่าว “เกี่ยวกับเบาะแสที่ท่านทิ้งไว้ เสียใจด้วยแต่ข้าไม่จำเป็นต้องลบมัน”
กู้เป่ยทั้งประหลาดใจและงุนงง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
มิเชลเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังคิดคบคิดบางอย่าง แล้วพูดประชดประชันว่า “ท่านคิดว่าจะมีคนมาช่วยท่านจริง ๆ หรือ? น่าเสียดายที่ทั้งท่านและแอนนี่ถูกหลอก มันไม่มีกองกำลังจากตระกูลลิเธอร์ตั้งแต่แรก พวกเดียวที่ตามเรามาคือกลุ่มอัศวินที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่”
ไม่มีทหาร?
กู้เป่ยตกตะลึง
มันเป็นไปได้อย่างไร? หรือเขาจะถูกตระกูลทอดทิ้ง? ตั้งแต่แรกก็เป็นมิเชลที่คอยย้ำอยู่ตลอดว่ามีกองกำลังจากตระกูลลิเธอร์ไล่ตามมา แม้แต่แอนนี่ก็ยังเชื่อว่าเป็นแบบนั้น! นี่จะบอกว่าทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก?
นี่มันเชี่ยอะไรกันวะ!
ผู้หญิงคนนี้วางแผนหลอกทุกคนมาตั้งแต่ต้น แม้แต่ ‘น้องสาว’ ของเธอ เธอก็ยังไม่เว้น! ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่กู้เป่ยผู้ซึ่งถูกเคลื่อนย้ายมาสด ๆ ร้อน ๆ จะหลงกลเธอเข้า เขาเสียเวลาทั้งคืนเพื่อคิดแผนหลบหนีโดยใช้ ‘กองกำลัง’ ที่ไม่มีอยู่จริงเป็นแกนหลัก! แค่คำว่า ‘ไอเชี่ย’ ยังน้อยไปหากนำมาอธิบายอารมณ์ของเขาในขณะนี้
หากไม่มีคนมาช่วย งั้นเขาก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตาย!
“เดี๋ยวนะ... งั้นพวกเขาเป็นใครกัน?”
กู้เป่ยถามขณะพยายามบังคับตัวเองให้สงบจากความตกใจและหวาดกลัวต่อความตาย หลังจากคิดดู เขาชี้ไปทางที่อัศวินจากไปและถาม กลุ่มอัศวินได้สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับเขา
สัญชาตญาณบอกเขาว่าอัศวินพวกนี้เป็นความหวังสุดท้ายของเขา
อย่างไรก็ตามน้ำเสียงของมิเชลกลับดูแปลกไป “พวกเขา... พวกเขาคือ 'คนทำความสะอาด' จากศาสนจักร”
“คนทำความสะอาด? ทำความสะอาดอะไร?”
เมื่อได้ยินคำถาม มิเชลก็เงียบไปครู่หนึ่ง และจู่ ๆ เธอก็หัวเราะโดยไม่มีเหตุผล เสียงของเธอแหบแห้งราวกับดาบสนิมเขรอะเสียดสีกัน เธอจ้องมองไปยังทางที่อัศวินมา และพูดด้วยความรังเกียจแฝงด้วยการดูถูกตนเองเล็กน้อย
นี่คือคำตอบของเธอ "พวกเขามาที่นี่เพื่อทำความสะอาดแอนนี่"