บทที่ 8 ถูกเด็กหญิงตัวน้อยรังเกียจ
เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนของตนเงียบมาก ซูเชิ่งจิ่งก็คิดว่าเธอกลัวความมืด เขาตบหลังเธอเบาๆ "ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไร"
ซูจิ่วกำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่เคยมีมาก่อน
เป็นไปได้ไหมว่านี่คือความผูกพันทางธรรมชาติระหว่างคนสองคน ที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด?
## เรื่องใหม่มาแล้ว รับรองสนุกไม่แพ้ เธอเปลี่ยนไปเป็นเจ้าพ่อ
ในโลกเดิม เธอก็เติบโตขึ้นมาในสถานเลี้ยงเด็กกําพร้า และไม่รู้ว่าพ่อแม่เขาเป็นใคร ตอนนี้เธอมีป๊ะป๋าแล้ว สามารถชดเชยความรักจากครอบครัวที่ขาดหายไปได้แล้ว
ถ้าป๊ะป๋าคนนี้ดีกับเธอ เธอก็จะถือว่าเขาเป็นป๊ะป๋าของตัวเองและจะพึ่งพาเขาต่อไปในอนาคต
ซูจิ่วพูดอย่างน่าเอ็นดู "ที่นี่มีป๊ะป๋าอยู่ หนูไม่กลัวหรอก"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในใจของซูเชิ่งจิ่งก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ชัดเจน จนไม่สามารถพูดออกมาได้
เขาอุ้มเด็กน้อยเดินขึ้นบันไดท่ามกลางแสงไฟสลัวไปถึงชั้นหก หลังจากนั้นก็หยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง และเปิดประตูเหล็กขึ้นสนิม
แคร็ก
เมื่อเข้าไปแล้ว ซูจิ่วรู้สึกเหมือนมีฝุ่นลอยเข้ามาปะทะใบหน้าของเธอ จนอดจามไม่ได้
จากนั้นเธอจึงมองขึ้นไปยังห้องตรงหน้า มุมปากเด็กหญิงตัวน้อยกระตุก
เชี่ย ที่นี่เป็นสถานที่ให้ผู้คนอาศัยอยู่งั้นเหรอ? ปล่อยให้สุนัขอยู่ก็ยังดูน่ารังเกียจ!
บ้านหลังนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ทำความสะอาดมาแปดร้อยปีแล้ว เฟอร์นิเจอร์ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นขี้เถ้า เพดานและผนังเป็นเชื้อรา และมีกลิ่นเหม็นอับอันไม่พึงประสงค์
ในห้องนั่งเล่น สิ่งของต่างๆ ของซูเชิ่งจิ่งถูกโยนทิ้งไปทุกที่ บนโต๊ะกาแฟมีชามและตะเกียบมากมาย อาหารที่ซื้อกลับบ้าน ห่อขนม กระป๋องเบียร์ และอาหารที่กินเหลือ บนโซฟาเต็มไปด้วยเสื้อผ้า และถุงเท้าเหม็นเต็มไปหมด บนพื้นก็เต็มไปด้วยขยะ
ซูจิ่วบีบจมูกแล้วพูดว่า "ป๊ะป๋า สกปรกมาก!"
ซูเชิ่งจิ่ง "..."
คําพูดโผงผางนี้ค่อนข้างรุนแรงอยู่บ้าง เขาถูกเด็กหญิงตัวน้อยรังเกียจเข้าแล้ว
เมื่อเห็นกางเกงในของตัวเองถูกโยนทิ้งบนโซฟาสองสามตัว ซูเชิ่งจิ่งก็วางซูจิ่วลงทันที แล้วรีบพุ่งเข้าไปซ่อนมันไว้ใต้โซฟา จากนั้นจึงหันกลับมาหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน "ลูกรอตรงอยู่นี้ เดี๋ยวป๊ะป๋าจะทําความสะอาดก่อน"
แต่บ้านก็สกปรกและรกเกินไปจริงๆ ชั่วขณะนั้นเขาทำอะไรไม่ได้เลย
ซูเชิ่งจิ่งต้องยอมแพ้ เขาพูดอย่างลำบากใจ "ถ้าอย่างนั้น… ทำไมลูกไม่ลองใช้เวลาสักพักหนึ่งมาทำความคุ้นเคยล่ะ?"
ซูจิ่วส่ายหน้าอย่างแรง "ไม่เอา สกปรก"
สภาพแวดล้อมแบบนี้ ไม่รู้เพาะพันธุ์แบคทีเรียมากี่ตัวแล้ว คนจะยังอาศัยอยู่ได้หรือเปล่า?
ซูเชิ่งจิ่ง "..."
คิดไปคิดมา ภูมิคุ้มกันของเด็กไม่ค่อยดีนัก ทั้งยังป่วยง่าย เขาไม่ได้ทําความสะอาดมาหลายเดือน และมักจะลืมทิ้งขยะเสมอ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะทําความสะอาดบ้าน
"ป๊ะป๋า หนูจะช่วยป๊ะป๋าทำความสะอาดเอง" ซูจิ่วพูดแล้ววิ่งเข้าไป เธอวางกระเป๋านักเรียนใบเล็กของตัวเองไว้บนโซฟาก่อน จากนั้นก็พับแขนเสื้อขึ้นแล้วจึงเริ่มเก็บขยะบนโต๊ะกาแฟอย่างตั้งใจ
เมื่อเห็นเธอทําความสะอาดโต๊ะกาแฟ แถมยังเอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดอย่างถูกวิธี ซูเชิ่งจิ่งจึงรู้สึกละอายใจขึ้นมาทันที
ปกติเขาขี้เกียจเกินกว่าจะทำความสะอาด แต่ตอนนี้เขามีลูกแล้ว ทั้งยังเป็นลูกสาวตัวน้อย ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อนได้อีก
อีกอย่าง เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เทียบกับเด็กไม่ได้เลย มันน่าขายหน้าเกินไป ขนาดเขายังต้องดูแคลนตัวเอง
ซูเชิ่งจิ่งทำได้แค่ย้ายเก้าอี้มาวางไว้ที่ประตู หลังจากช่วยซูจิ่วล้างมือแล้ว เขาก็อุ้มเธอไปที่เก้าอี้ และยื่นมันฝรั่งทอดให้เธอห่อหนึ่ง "ลูกนั่งตรงนี้ ป๊ะป๋าจะทำความสะอาดให้เอง"