บทที่ 7 ป๊ะป๋าที่ไร้ค่าเริ่มใจอ่อน
......เด็กคนนี้!
หัวใจของซูเชิ่งจิ่งเริ่มรู้สึกขมขื่นมากขึ้นเรื่อยๆ และหน้าอกของเขาก็หนักพอๆ กับหินก้อนใหญ่ ไม่…ถ้าเขายังไม่ไป เขาจะต้องเลี้ยงเด็กคนนี้จริงๆ หรือว่าเขาจะตกหลุมรักเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้เข้าเสียแล้ว
เขายังอยากหาภรรยาในอนาคตอยู่ แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะหาภรรยา ถ้าหากเขานําขวดน้ำมัน* ติดตัวมาด้วย ซึ่งเขาจะต้องเป็นคนโสดไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
(拖油瓶 ขวดน้ำมัน สแลงภาษาจีน แปลว่า ลูกที่เกิดจากหญิงคนก่อน ลูกติดหญิงม่าย เพี้ยนมาจากคำว่า 拖有病 ซึ่งแปลว่า ป่วยเรื้อรัง)
เมื่อรู้สึกมึนงงกับตัวเอง ความหนักอึ้งในใจดูเหมือนจะสลายหายไปเล็กน้อย หลังจากนั้น ซูเชิ่งจิ่งก็หันกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว และรีบเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยทิ้งซูจิ่วไว้ข้างหลัง
หลังจากเดินออกจากสักระยะหนึ่งแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองอีกครั้ง ซึ่งเด็กหญิงตัวน้อยยังยืนอยู่ที่เดิม และกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างตั้งใจ
เมื่อเห็นว่าเขามองมาที่เธอ ทันใดนั้น เธอก็วิ่งมาหาเขาแล้วกอดขาและพึมพําว่า “ป๊ะป๋า เสี่ยวจิ่วไม่เต็มใจที่จะให้ป๊ะป๋าไป แต่หนูจะคิดถึงป๊ะป๋า! จะเชื่อฟังป๊ะป๋าและอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกําพร้า ฉะนั้น ป๊ะป๋าต้องมาหาหนู...ไม่อย่างนั้น หนูจะเสียใจมาก”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็ปล่อยเขาไป และพยายามที่จะส่งรอยยิ้มที่สดใสให้เขาแล้วโบกมือ “ลาก่อนป๊ะป๋า!”
รอยยิ้มของเธอดูเหมือนจะคงอยู่ได้ไม่นาน เธอจึงรีบหันหลังกลับและเดินเข้าไปด้านใน
ช่วงเวลาที่ซูเชิ่งจิ่งเห็นเด็กหญิงตัวน้อยหันหลังไป น้ำตาของเธอก็ไหลพรากราวกับไข่มุกที่ร่วงหล่นลงมา ซึ่งทําให้หัวใจของผู้คนแตกสลายได้อย่างง่ายดาย
ซูจิ่วยังไม่ได้ยินเสียงของซูเชิ่งจิ่งจากไป แต่เธอไม่หันกลับไปมองเขาแม้แต่น้อย เธอเลือกที่จะเดินกลับไปพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย ในขณะที่เธอกำลังเดินไปที่ประตูสถานเลี้ยงเด็กกําพร้าและกําลังจะเข้าไป ก็มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นจากด้านหลัง
มุมปากของซูจิ่วกระตุกยิ้ม เพราะในที่สุด หัวใจของป๊ะป๋าก็อ่อนลงจนได้!
เมื่อกี้ซูเชิ่งจิ่งมองดูเธอร้องไห้เงียบๆและเดินกลับไป หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเปรี้ยวและฝาด ซึ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดมาก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้เกิดมาได้ยังไง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอเลือกได้ เพราะเธอยังไร้เดียงสา
ไม่ว่ายังไง เธอก็เป็นลูกสาวของเขา ซึ่งเธอหาวิธีและหาเขาจนเจอ และไว้วางใจที่จะพึ่งพาเขา และหวังว่าเขาจะพาเธอกลับบ้าน แต่เขากลับทอดทิ้งเธออย่างโหดร้าย และส่งตัวกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกําพร้าอีกครั้ง...
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องของคนเพียงคนเดียวอีก!
เมื่อถึงตอนนี้ ทันใดนั้น มือของเขาก็ไปสัมผัสรายงานผลการตรวจสอบที่ยัดอยู่ในกระเป๋ากางเกง และคำพูดของผู้ตรวจสอบก็ดังขึ้นข้างหูของเขาว่า ความเป็นไปได้ที่เขากับเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้เป็นพ่อลูกกัน คือ 99.9999 เปอร์เซ็นต์…
เมื่อนึกย้อนไปถึงดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้าของเด็กหญิงตัวน้อย ซูเชิ่งจิ่งก็กำมือข้างหนึ่งเป็นกำปั้นและเม้มริมฝีปากบางจนแน่น ราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจแล้ว จากนั้น เขาจึงรีบตามไปและกอดซูจิ่วอย่างรวดเร็ว
ซูจิ่วมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ป๊ะป๋า?”
ซูเชิ่งจิ่งพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ไม่ต้องกลับไปที่สถานเลี้ยงเด็กกําพร้าแล้ว ป๊ะป๋าจะพาลูกกลับบ้านเอง”
ฮู้ววว…บทละครขมขื่นนี้ประสบความสําเร็จ!
ซูจิ่วอยากจะชมเชยตัวเองจริงๆ แต่การแสดงออกของเธอไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย เธอยังคงดูน่าสงสารและพูดว่า “จริงเหรอ? ป๊ะป๋าจะโกหกเสี่ยวจิ่วไม่ได้นะ”
“ไม่โกหก เรากลับกันเถอะ”
…
ซูเชิ่งจิ่งพาเด็กหญิงตัวน้อยกลับไปที่ที่เขาอาศัยอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเป็นอาคารที่อยู่อาศัยเก่าตั้งอยู่ในชุมชนที่ห่างไกล เมื่อมองไปรอบๆจะพบผนังที่เป็นสีเหลือง และมุมห้องที่ถูกปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อยและตะไคร่น้ำ
## เรื่องใหม่มาแล้ว รับรองสนุกไม่แพ้ เธอเปลี่ยนไปเป็นเจ้าพ่อ
สายไฟที่ตัดขวางระหว่างอาคารพันกันยุ่งเหยิง ในตรอกมีกองขยะจํานวนมากที่ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา แสงสว่างก็มีไม่เพียงพอ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นตอนกลางวัน แต่ทางเดินก็มืดสนิทจนต้องเปิดไฟ ส่วนหลอดไฟก็สกปรกที่เต็มไปด้วยฝุ่นและซากของแมลง
ซูจิ่วอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา ป๊ะป๋าที่ไร้ค่าของเธออาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้เหรอ?