บทที่ 13 บอสจอมวายร้าย 2
นี่ไม่ใช่...นี่ไม่ใช่บอสจอมวายร้าย พระรองในหนังสือหรอกเหรอ?
นางเอกคือแสงจันทร์สีขาวที่อยู่ในใจของพระรอง แต่นางเอกกลับตกหลุมรักพระเอกที่มีภูมิหลังทางตระกูลที่เหนือกว่า ส่วนพระรองรักนางเอกจนไม่อาจต้านทานได้ จึงทำให้ด้านมืดอํามหิตภายในถูกกระตุ้นออกมา และทำการขัดขวางพระเอกและนางเอกทุกวิถีทาง อีกทั้งยังเลือกวิธีการทรมานอย่างโหดเหี้ยม จนสุดท้ายผู้เขียนก็เขียนให้พระรองถึงแก่ความตาย
ตอนนั้นเธอโกรธมาก
ผู้เขียนคนนี้เกลียดพระรองมากแค่ไหน มันเป็นเพียงเพื่อประโยชน์จากการทรมาน
เขาเป็นลูกนอกกฎหมายที่อาศัยอยู่กับแม่ตั้งแต่เด็ก เขาใช้ชีวิตอย่างยากลําบากและทนทุกข์กับบาปมากมาย ส่วนผู้เป็นแม่มีร่างกายที่อ่อนแอและป่วยหนัก ซึ่งไม่มีทางเลยที่จะดูแลเขาได้อย่างดี จึงทำให้เขาต้องดูแลทุกอย่างด้วยตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย
หลังจากนั้น อาการป่วยของแม่เขาก็ดีขึ้น และอยากหางานทำเพื่อเลี้ยงดูลูกชาย แต่สุดท้ายก็มีคนในตระกูลใส่ร้ายเธอ จึงทำให้หางานทําไม่ได้ เธอจึงเลือกที่จะทรยศต่อตัวเอง และทุกคนก็รับรู้เรื่องนี้ดี
และด้วยวิธีนี้ จึงทำให้พระรองเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสายตาที่แปลกประหลาดของทุกคน ต่อมาเขาก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเกือบจะกลายเป็นผัก และเมื่อพอเขาตื่นขึ้นมา เขากลับสูญเสียขาทั้งสองข้างจนกลายเป็นคนพิการ และไม่สามารถเดินได้ตลอดชีวิต
สุดท้ายแม้แต่แสงเดียวของนางเอกก็หายไป แล้วเขาจะไม่สิ้นหวังได้อย่างไร?
ผู้เขียนได้เขียนเอาไว้ว่าเขาหลงเดินทางผิด และกลายเป็นวายร้ายที่โหดเหี้ยม เท่านั้นยังไม่พอยังเขียนให้เขาตายอีกด้วย...ผู้เขียนมีความเกลียดชังหรือมีความแค้นอะไรกับพระรองอย่างนั้นเหรอ?
จริงสิ...ถ้าเขาคือวายร้าย เขาจะสามารถหาวิธีที่จะกอดต้นขา*ได้ไหม?!
(抱大腿 กอดต้นขา เป็นคำศัพท์บนอินเทอร์เน็ต หมายถึง การเอาเปรียบคนอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้อ่อนแอใช้ความคิดริเริ่มเพื่อเอาเปรียบผู้แข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังมีความหมายเช่นการเยาะเย้ยซึ่งกันและกันและการดูถูกตัวเองในหมู่เพื่อน มีความหมายคล้ายกับการเลียแข้งเลียขาผู้ใหญ่)
เธอได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามเนื้อเรื่องหลัก และเพื่อหลีกเลี่ยงจุดจบที่น่าเศร้า เธอจำเป็นต้องมีต้นขาสีทอง!
ซูเชิ่งจิ่งทําอาหารอย่างงุ่มง่าม ข้าวที่หุงนั้นแห้งมาก อาหารที่ปรุงไม่สุกเกินไปก็เค็มเกินไป หรือบางจานก็ไม่ได้ใส่เกลือ และนั่นไม่ใช่ทักษะการทําอาหารของคนที่อยู่ตามลำพังควรมี
เขามองดูก้อนกลมๆ ที่นั่งอยู่ข้างเขา เธอถือช้อนอยู่ในมือ และร้องฮึมเสียง ฮึ! ฮึ! ให้กำลังใจทั้งๆ ที่มันไม่อร่อย แต่เด็กหญิงตัวน้อยก็ยังกิน และการแสดงออกของเธอทำให้เขารู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง
เขาอดไม่ได้ที่จะหยิบจานเนื้อเค็มจัด ที่อยู่ตรงหน้าเธอออกแล้วพูดว่า “อย่ากินเลย เดี๋ยวป๊ะป๋าจะสั่งอาหารมาให้ดีกว่า”
## ติดตามเรื่องราวของเด็กหญิงตัวเล็กได้ที่ thai-novel.com หรือ mynovel.co ได้เลยนะคะ
ในขณะที่กำลังพูด เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วเปิดแอพส่งอาหาร และเมื่อซูจิ่วได้ยินเธอก็ยิ้มและพูดว่า “ป๊ะป๋า ไม่ต้องสั่งอาหารพวกนั้นหรอก หนูชอบกินอาหารพวกนี้มากกว่า เพราะป๊ะป๋าเป็นคนทำให้”
"..." รอยยิ้มที่สดใสของเด็กน้อยทําให้หัวใจของซูเชิ่งจิ่งจมดิ่ง และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์มาก
เขาจะเลี้ยงดูเธอให้ดีได้อย่างไร ถ้าเขาไม่สามารถทำอาหารได้?
ซูเชิ่งจิ่งวางโทรศัพท์มือถือลง และในตอนนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจากนอกประตู พร้อมกับคำพูดที่ไร้ความปราณีว่า “เจ้าคนแซ่ซู แกรีบไสหัวออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
สีหน้าของซูเชิ่งจิ่งเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ซูจิ่วเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อ “ป๊ะป๋า มีใครตามหาป๊ะป๋าอยู่หรือเปล่า?!”
“อือ…อย่าไปสนใจเลย กินให้อร่อยนะ” ซูเชิ่งจิ่งลูบหัวเล็กๆ ของเธอ
ซูจิ่วอยากกินอาหารให้อร่อย แต่เสียงเคาะประตูและเสียงด่าทอจากด้านนอกยังคงดังอย่างต่อไป จึงไม่มีทางที่จะไม่สนใจได้
ใบหน้าของซูเชิ่งจิ่งเริ่มน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น เขาจึงให้ซูจิ่วถือชามข้าวไปที่ห้อง และบอกไม่ให้เธอออกมา จากนั้น เขาก็เดินไปที่ประตู หายใจลึกๆ แล้วเปิดประตูทันที
มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่สามคนยืนอยู่หน้าประตู และทันทีที่เห็นซูเชิ่งจิ่ง เขาก็ชี้ไปที่ผู้ชายตรงหน้าและสาปแช่งว่า “เจ้าเด็กเหลือขอ ฉันบอกแกแล้วใช่ไหม? ว่าแกค้างค่าเช่าห้องมาสองเดือนแล้ว และถ้าเดือนนี้ไม่จ่ายอีก ฉันจะให้คนโยนแกออกไป แกไม่เชื่อฉันงั้นเหรอ?!”
ซูเชิ่งจิ่งแตะกระเป๋ากางเกงที่ว่างเปล่าของตัวเอง แล้วพูดว่า “ตอนนี้ผมไม่มีเงินอยู่ในมือแล้ว ผมสามารถอยู่ได้อีกกี่วัน?”