ตอนที่ 9 สามปีผ่านไป
หนิงเทียนกระชับกระบี่พิรุณโปรยในมือ ความรู้สึกมันช่างคล้ายกับการจับดาบ
ในชีวิตก่อนราวกับว่าสามารถเข่นฆ่าอริราชศัตรูที่ขวางหน้าตราบเท่าที่มีมันอยู่ในมือ เด็กหนุ่มมองไปยังลายสลักรูปมังกรวารีที่ด้ามกระบี่ พร้อมกับพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา “เพื่อน”
เหมือนดั่งปาฎิหาริย์ กระบี่พิรุณโปรยรับรู้ถึงเจตนาของผู้เป็นนายคนใหม่ ความหนาวเย็นเอ่อล้นออกมาราวกับว่ามันได้ตอบรับคำพูดของหนิงเทียน
“ฮาฮาฮ่าๆ” ซุนเอินระเบิดเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข “เทียนเอ๋อ เจ้าทำให้พ่อใหญ่เปิดหูเปิดตาแล้ว เพียงแค่สัมผัสแรกถึงกับสามารถทำให้กระบี่พิรุณโปรยยอมรับในตัวเจ้าได้ ไหนลองร่ายรำกระบวนท่า เงากระบี่ใต้อักษร ที่ได้เห็นไปเมื่อครู่ให้พ่อใหญ่ได้ชม จำเอาไว้เพียงแค่แสดงกระบวนท่าเท่านั้น อย่าได้โคจรลมปราณใดๆออกมา”
ถึงแม้ว่ากระบี่และดาบจะมีความต่างกันอยู่บ้าง แต่ทั้งสองล้วนอยู่ภายใต้พื้นฐานเดียวกันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่หนิงเทียนจะควบคุม
ชีวิตก่อนบนสนามรบ หนิงเทียนใช้เพลงดาบเข่นฆ่าศัตรูมาไม่ต่ำกว่าล้านชีวิตเป็นประหนึ่งเพื่อนคู่กายไม่ห่างตัว เด็กหนุ่มร่ายรำปลดปล่อยกระบวนท่า ราวกับว่ากระบี่ในมือเป็นดั่งส่วนหนึ่งของร่างกาย หนึ่งการฟาดฟันปรากฏร่องรอยขนาดใหญ่
ความประหลาดใจบังเกิดอีกครั้งปรากฏบนใบหน้าของซุนเอิน มันซึ่งเป็นผู้ผ่านโลกมานับหมื่นปี พบเห็นอัจฉริยะมาก็มาก แต่กลับมิเคยเห็นผู้ใดที่สัมผัสกระบี่ครั้งแรกก็สามารถบรรลุได้ถึงขั้นหลอมรวม “เทียนเอ๋อ เจ้าเคยใช้กระบี่มาก่อนหรือไม่??” คำถามที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจถูกกล่าวออกมาอย่างลืมตัว บุตรชายอยู่ในสายตาของมันมาตลอด จะเคยฝึกกระบี่หรือไม่ ตัวมันรู้ดีกว่าใคร
ได้ยินเช่นนั้น หนิงเทียนแย้มยิ้มออกมา มันเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบบิดาใหญ่อย่างไร หากเล่าไปว่ามันเคยฝึกฝนตั้งแต่ช่วงชีวิตก่อน มิต้องกลายเป็นคนสติเลอะเลือนในสายตาของบิดางั้นรึ?? และเพื่อขจัดปัญหาที่จะตามมา เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจตอบไปว่า
“ท่านพ่อใหญ่ ข้าเพียงรู้สึกว่าคุ้นเคยกับมันมาบ้างก็เท่านั้นเอง”
“วิเศษ วิเศษ พรสวรรค์เก้าแก่นแท้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก เมื่อมีพรสวรรค์สูงล้ำ หากสามารถใช้กระบี่ถึงขั้นหลอมรวมได้แล้ว นับจากนี้เจ้าสามารถฝึกฝนกระบวนท่า
‘เงากระบี่ใต้อักษร’ผสมผสานกับลมปราณในร่างกายเพื่อเพิ่มอานุภาพการทำลายให้แก่มัน ถึงแม้แขนของเจ้าจะเจ็บปวดปานใด ก็ต้องอดทนและห้ามหยุดฝึกจนกว่าจะสำเร็จกระบวนท่าแรก”
“ลูกจะไม่ทำให้ท่านพ่อใหญ่ผิดหวัง” หนิงเทียนกระฉับกระบี่และเริ่มร่ายอย่างต่อเนื่อง ทุกๆวันเช้าจรดเย็นมันจะร่ายรำกระบี่ด้วยท่วงท่าเดิมซ้ำๆ ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะร้อนเพียงใด หนิงเทียนไม่เคยหยุดฝึกกระบี่แม้แต่วันเดียว
.....
.....
สามปีผ่านไป
ภายในถ้ำแห่งหนึ่งในป่านรกดำ หนิงเทียนนั่งขัดสมาธิ ปลดปล่อยลมปราณสีทอง
ลอยล่องท่ามกลางความมืดมิด จากเด็กหนุ่มเมื่อวันวานมีอายุครบ15ปีแล้ว รูปร่างและลักษณะเริ่มเปลี่ยนแปลงตามอายุ ใบหน้าของหนิงเทียนปรากฏความหล่อเหลาชัดแจ้ง ลำตัวอัดแน่นด้วยมัดกล้ามเรียงสวย รูปร่างสูงผิวขาวดุจหยก หนิงเทียนสวมชุดคลุมหนังสัตว์ หากแต่บนเสื้อผ้าเต็มไปด้วยคาบเลือดของสัตว์อสูรที่แห้งกรัง
ไม่นานนักหนิงเทียนก็ได้ปิดตาขึ้นพร้อมกับคำถามที่อยู่ในหัว ‘เหตุใดข้าถึงไม่สามารถมองเห็นภาพที่2ได้กันนะ’
แม้ว่าหนิงเทียนจะสามารถทำความเข้าใจในรูปภาพพยัคฆ์ทมิฬกลืนจันทราได้ครบสิบส่วนแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเปิดทางสู่ภาพที่สองได้ มันทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจไม่น้อย
หากแต่ความสำเร็จครั้งนี้ ถ้าจักรพรรดิหวงตี้ได้เห็นด้วยสองตาจะต้องไม่เชื่อแน่ ว่าภาพที่หนึ่งในม้วนภาพเทพยุทธ์จะมีผู้ใดฝึกสำเร็จได้ในระยะเวลาเพียงสามปี
“หรือเป็นเพราะ พลังบ่มเพาะของข้ายังไม่เพียงพอ ช่างเถอะไว้ค่อยหาวิธีเอาใหม่ก็แล้วกัน” หนิงเทียนขับไล่ความคิดเกี่ยวกับภาพที่2ออกไป ก่อนจะมองไปยังผนังถ้ำที่มีรอยขีดขนาดเล็กหลายร้อยขีด
“ข้าอยู่ที่นี้มาหกเดือนแล้วหรือนี่?? ซวยแล้ว หากกลับไปตอนนี้ไม่พ้นถูกท่านพ่อท่านแม่ทำโทษเป็นแน่” แค่หนิงเทียนคิดถึงการลงโทษ รอยยิ้มแห้งๆก็ปรากฏบนสีหน้าโดยไม่สามารถปั้นหน้าได้ถูก
หกเดือนที่ผ่านมา หนิงเทียนมิได้กลับไปยังตำหนักภูตแม้แต่ก้าวเดียว มันใช้ชีวิตอยู่ในป่านรกดำ เพื่อฝึกฝนและต่อสู้ จนในที่สุดจากระดับองครักษ์ขั้นหกก็ได้เลื่อนมาอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนองครักษ์ขั้นเจ็ดได้สำเร็จ หากไม่เป็นเพราะทะเลลมปราณของมันขยายขนาดมากกว่าคนปกติหลายสิบเท่าแล้วละก็ หนิงเทียนคงบรรลุปราชญ์ เข้าสู่วีรชนหรือบางทีอาจถึงขั้นเทพสงครามไปแล้ว แต่ด้วยทะเลลมปราณที่แปลกประหลาดทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะของมันไม่ได้แตกต่างจากอัจฉริยะในตระกูลใหญ่ของพื้นที่ราบภาคกลางมากเท่าที่ควร
หนิงเทียนลุกยืนและก้าวเดินออกจากถ้ำ ในระหว่างที่เดินออกจากถ้ำ มันได้กล่าวออกกับความว่างเปล่า “พ่อบ้านมู่หกเดือนมานี่ ท่านตามติดข้าคล้ายเป็นเงาประจำตัว ถึงตอนนี้ท่านได้พักแล้วละ”
“ถ้าเช่นนั้น เรามาเล่นกันสักครั้งดีหรือไม่?? หากจับข้าได้ ข้าจะยอมกลับไปกับท่านเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าไม่..ให้เวลาข้าเที่ยวเล่นอีกหนึ่งวัน ส่วนท่านช่วยกลับไปรับหน้าท่านพ่อท่านแม่แทนข้าก่อน” สิ้นเสียงสุดท้ายของหนิงเทียน เขาตะวัดกระบี่พิรุณโปรยไปยังด้านบนของปากถ้ำ
ตูมมมม... ก้อนหินขนาดใหญ่นับสิบๆก้อนร่วงหล่นลงมาปิดปากถ้ำจนสนิท
ชายชราหลังค่อมแย้มยิ้มพลางสะบัดมือส่งกระแสปราณทำลายก้อนหินใหญ่จนกลายเป็นฝุ่นผง “นายน้อยท่านช่างซุกซนยิ่งนัก”
หนิงเทียนหดสายตามองไปที่ก้อนหินนับสิบที่ได้กลายเป็นฝุ่นอย่างขืนข่ม
“พ่อบ้านมู่กลิ่นอายเมื่อครู่ทรงพลังเป็นอย่างมาก พลังฝึกตนของท่านอยู่ในระดับใดกันแน่??” กล่างจบเด็กหนุ่มโคจรลมปราณไปที่สองเท้าใช้ออกในท่วงท่า ก้าววิญญาณท่องนภา
เพียงแค่หนึ่งลมหายใจหนิงเทียนได้หายไปจากมโนภาพของพ่อบ้านมู่อย่างรวดเร็ว
พ่อบ้านมู่ขมวดหว่างคิ้วเข้าหากัน “แย่ละสิ ก้าววิญาณท่องนภาของนายท่านสี่ ใช่จะตามกันได้ง่ายๆ”
ขณะที่กำลังพุ่งร่างตามติดนายน้อยของมันไป ประสาทรับรู้พลันสูดกลิ่นหอมจางๆเข้าไปในร่าง “แย่แล้ว พิษสิบแปดฝัน!!! นายน้อยท่านเล่นแรงจริงๆ” เมื่อรู้ว่าตนเองถูกพิษมู่เฉิงหยุดเท้า พร้อมกับโคจรลมปราณขับไล่พิษออกจากร่าง
พิษสิบแปดฝัน เป็นพิษที่หนิงเทียนใช้ออกได้คล่องมือมากที่สุด อีกทั้งพิษนี้ยังอยู่ในระดับจ้าวโอสถปฐพี แม้ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ถ้าโดนเข้าไปและไม่สามารถขับออกได้ทันละก็ จะต้องหลับไปถึงสิบแปดวันสิบแปดคืน
เห็นเช่นนั้นหนิงเทียนทะยานร่างไปบนท้องนภาด้วยรอยยิ้ม “มู่เฉิง ถึงเจ้าจะมีลมปราณที่สูงกว่าข้า แต่หากต้องการชำระพิษสิบแปดฝัน ยังคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งถึงสองชั่วยามกระมัง”
นิสัยของหนิงเทียนแตกต่างไปจากชีวิตที่แล้วของมันอย่างสิ้นเชิง ในชีวิตก่อน หนิงเทียนเป็นคนเงียบครึมคงภาพลักษณ์ของแม่ทัพใหญ่ ทั้งชีวิตใช้ไปกับการอ่านพิชัยสงครามและดูแลกองทัพ มันเข้าใจเพียงแค่การทำศึก แพ้หรือชนะเท่านั้น
ในอดีตมันเคยสังหารเฉลยศึกที่ยอมจำนน นับล้านชีวิตเพียงเพราะต้องการประหยัดเสบียงและกุมชัยชนะไว้ในมือ บนแผ่นดินฉินมันถูกเรียกเป็นขุนพลสวรรค์แต่หารู้ไม่ว่า ผู้คนภายนอกมองมันเป็นดั่งเช่นทรราชย์
แต่หลังจากหนิงเทียนได้มีโอกาสเกิดใหม่ในชีวิตที่สอง นิสัยของมันกลับเต็มไปด้วยความซุกซนและไม่แยแสต่อสิ่งใดๆ ราวกับว่าได้ปลดภาระที่แบกไว้บนบ่าออกไปจากตัว ดั่งคำกล่าวที่ว่า เมื่อไร้ซึ่งหน้าที่ มนุษย์จะแสดงสัญชาตญาณเดิมออกมาให้เห็น
ขณะที่หนิงเทียน ทะยานตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ พื้นแผ่นดินรอบๆเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง การสั่นไหวเข้ามาใกล้ตำแหน่งของหนิงเทียนอย่างรวดเร็ว
มันรีบกวาดสายตามองไปรอบๆ และเห็นว่าห่างออกไปไม่ไกล วานรยักษ์ที่มีความสูงราวๆสิบจั้ง วิ่งมาจากทางด้านหลังด้วยความเร็วสูงสุด
“ชิ!! ไอลิงบ้า จองล้างจองผลาญกันไม่หยุดสักที เมื่อคราวก่อนเล่นข้าจนเกือบตาย”
วานรยักษ์ที่เห็น เป็นสัตว์อสูรลมปราณขั้นที่2 อีกทั้งยังเป็นเจ้าผู้นำเจ้าถิ่น ถูกเรียกขานด้วยชื่อของ พญาวานรภูผา
เวลานี้ในหัวของหนิงเทียนไม่มีความคิดอื่นใดเลย นอกจาก หนี แต่การที่จะหนีโดยไม่ได้ชำระหนี้เก่า คงจะไม่ใช่นิสัยของมันแต่อย่างใด มุมปากของเด็กหนุ่มฉีกยิ้มอย่างชั่วร้าย
การเผชิญหน้ากับอสูรลมปราณขั้นที่2 ไม่ต่างอะไรกับการเอากระต่ายไปสู้กับหมาป่า เนื่องจากอสูรลมปราณขั้นที่2 มีความแข็งแกร่งเทียบได้กับผู้ฝึกตนในดินแดนปราชญ์ขั้นที่9
หากแต่หนิงเทียนไม่มีความหวาดกลัว มันบิดตัวครึ่งรอบ เรียกกระบี่พิรุณโปรยออกมาและฟาดฟันออกไปข้างหน้าหลายสิบครั้ง เงากระบี่สิบสาย พุ่งเข้าใส่พญาวานรภูผาทันที
เมื่ออยู่ต่อหน้าระดับพลังที่แตกต่าง เงากระบี่ที่หนิงเทียนฟาดออกไป ทำได้เพียงสร้างรอยแดงเล็กๆให้แก่พญาวานรผู้นี้ ยิ่งฟาดฟันไปมากเท่าไร กลับมิได้สร้างรอยแผลให้แก่พญาวานร ซ้ำร้ายยิ่งทำให้มันเพิ่มพูนความเกรี้ยวกราดมากขึ้นไป
โฮ๊กกกกก!!!!! วานรยักษ์คำรามด้วยโทสะของเดรัจฉาน สองมือของมันกระแทกลงไปที่อกของตัวเองซ้ำๆหลายสิบหลัง
“เจ้าลิงโง่ เจ้าโมโหหรือยังไง??” หนิงเทียนใช้น้ำเสียงล้อเลียนกล่าวออก ถึงหนิงเทียนจะทำอะไรพญาวานรตัวนี้ไม่ได้ แต่ด้วยก้าววิญญาณท่องนภาที่มันมี การหลบหนีจากเจ้าลิงตัวนี้ไปก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด
พญาวานรภูผากู่ร้องด้วยความอัดอั้นในอก ถึงมันจะเป็นราชาในป่าแถบนี้ แต่กลับถูกเด็กมนุษย์ตัวจ้อยหยอกล้อเล่นหัว มันอ้าปากกว้างอย่างดุร้าย หมายจะกัดกินร่างกายตรงหน้าให้ขาดเป็นชิ้นๆ
“อยากกินข้า? ข้าจะให้เจ้าได้กิน ฮะฮาฮ่าฮ่าๆ” กล่าวจบหนิงเทียนนำโอสถสีเขียวเข้มออกมาจากแหวนมิติ พร้อมกับพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว พลังลมปราณทั้งหมดรวมไปที่ปลายนิ้ว ใบหน้าของเด็กหนุ่มเผยรอยยิ้ม ปลายนิ้วดีดเม็ดโอสถออกไป ลำแสงสีเขียวพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง “เอาไปกินซะ!!ไอ้ลิงโง่”
ม่านตาของพญาวานรภูผาขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว มันสัมผัสได้ว่า โอสถเม็ดเล็กๆสามารภสร้างอันตรายให้แก่มัน แต่ก็สายไปเสียแล้ว โอสถสีเขียวได้แทรกซึมเข้าไปในร่างกายเป็นที่เรียบร้อย
โอสถสีเขียวไม่ใช่พิษร้ายแรงอันใด แต่มันคือ โอสถสิบแปดฝันที่พึ่งใช้จัดการกับพ่อบ้านมู่ไปเมื่อครู่
เมื่อพิษสิบแปดฝันกระจายไปทั่วร่าง พญาวานรภูผาล้มลงกับพื้นทันที
ตูมมมม.....เสียงร่างกายอันใหญ่ยักษ์กระทบกับพื้นดิน พร้อมกับเสียงหายใจดังก้องไปทั่วผืนป่า
“หลับให้สบายนะเจ้าลิงโง่” หนิงเทียนทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มตะบึงเท้าบนผิวทะเลสาบ พลางส่งเสียงหัวเราะร่าด้วยความพอใจ
สองเท้าเหาะเหินไปตามยอดไม้ เข้าสู่ยอดเขาเล็กๆลูกหนึ่ง เด็กหนุ่มร้องตะโกนตลอดทาง “เจ้าลิงโง่ เจ้าลิงโง่ สาสมใจยิ่งนัก เจ้าลิงโง่ ฮาฮ่าฮ่าๆ”
หนิงเทียนได้แก้แค้นพญาวานรภูผาที่อัดมันเกือบตายเมื่อหกเดือนก่อนได้แล้วและยังมีความสำเร็จที่ได้ใช้พิษสิบแปดฝันกับพ่อบ้านมู่และสัตว์อสูรลมปราณขั้นที่2
“ถ้าท่านพ่อรองรู้เข้า คงมีรางวัลให้กับข้าอย่างงาม” จากนั้นหนิงเทียนฉุกคิดขึ้นมาได้ ‘นี้ก็ผ่านมาหนึ่งชั่วยาม พ่อบ้านมู่คงจะขับพิษออกจากร่างได้สำเร็จแล้ว เห็นทีต้องรีบหน่อย’
ไม่นานนัก หนิงเทียนมาถึงสุดแนวป่านรกดำ บริเวณที่ตั้งบนยอดเขาหมื่นบุปผา สถานที่ประจำที่มันมักจะทอดสายตาออกไปยังภายนอกด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ข้าต้องมีความแข็งแกร่งที่มากเพียงพอ ถึงจะสามารถก้าวออกจากป่านรกดำได้ ไม่ว่าจะโลกไหนๆ สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด”