ตอนที่ 8 หวนคืนอีกครั้ง
ตะวันตกดิน บนโต๊ะอาหารกลางห้องโถงกลางของตำหนักภูตกระบี่
บุคคลทั้งหกกำลังนั่งร่ำสุราทานอาหาโดยมีพ่อบ้านมู่คอยรับใช้อยู่ไม่ห่าง
“น้องรอง วิชาหลอมโอสถของเทียนเอ๋อก้าวหน้าถึงไหนแล้ว??” พี่ใหญ่ของพวกมันวางจอกลงและกล่าวขึ้น
“พี่ใหญ่ เวลานี้เทียนเอ๋อสำเร็จขั้นที่10ของผู้ปรุงโอสถระดับโลก คาดว่าอีกไม่เกิน1ปี เขาจะกลายเป็นจ้าวโอสถปฐพีอย่างแน่นอน”
ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของทุกๆคนฉายแววตกตะลึงขึ้นมาทันที
แคก แค่กๆ แม้แต่จูซ่งที่กำลังยกสุราเข้าปากถึงกับต้องสำลักออกมาทันที ไม่กี่ชั่วยามก่อนมันพึ่งเห็นความร้ายกาจของบุตรชายด้วยตา มาตอนนี้สองหูได้ยินถึงความสามารถด้านโอสถ
หวงหลงกระแทกไหสุราลงกับโต๊ะเสียงดัง “พี่รองท่านกล่าวเกินไปหรือไม่? เทียนเอ๋อพึ่งจะเรียนวิชาปรุงโอสถได้เพียง7ปีไม่ใช่หรือ??” มันกล่าวย้ำคำว่าเจ็ดปีเสียงดัง ในใจไม่คิดเชื่อ จะเป็นไปได้อย่างไรภายในเวลาเพียง7ปี จะสามารถสำเร็จ10ขั้นโลกได้ เห็นๆกันอยู่ว่าพี่รองของมันกำลังปั้นน้ำเป็นตัว ข่มพี่น้องคนอื่นว่าตนเองสั่งสอนบุตรชายได้ก้าวหน้ากว่าใคร
โลกของการปรุงโอสถแบ่งแยกจากโลกแห่งการบ่มเพาะอย่างสิ้นเชิง ทั้งสองสิ่งไม่อาจใช้พื้นฐานเดียวกันได้ ผู้ฝึกทั้งสองจำต้องแบ่งความรู้และความสามารถในระดับที่เท่าเทียมกัน ระดับของผู้ปรุงโอสถแบ่งออกเป็น10ขั้นโลก 3ขั้นปฐพี 3ขั้นสวรรค์ เมื่อสามารถสำเร็จ10ขั้นโลก ผู้คนทั่วหล้าจะกล่าวขานพวกมันเป็น จ้าวโอสถ สำเร็จสามขั้นปฐพีจะถูกเรียกแทนด้วยนามของเซียนโอสถและบรรลุสามขั้นสวรรค์ คู่ควรแก่คำว่าเทพโอสถ
“ท่านพ่อสาม ลูกอยู่ในขั้นที่10ของระดับโลกแล้วจริงๆขอรับ” หนิงเทียนกล่าวออก ขณะที่สายตาสองข้างจับจ้องไปยังเหยือกสุราราวกับเป็นสิ่งที่มันต้องการมาตลอด
“.......” วาจาของบุตรชาย ทำให้หวงหลงไร้ซึ่งคำพูดใดๆจำต้องยอมรับในสิ่งที่พี่รองของมันกล่าว ภายในใจถึงกับต้องอุทานออก ‘น่ากลัว น่ากลัว เทียนเอ๋อเจ้าเป็นบุตรของปีศาจอย่างแท้จริง’
หากแต่เทียนไห่ชางเยว่ไม่ได้ตกใจเลยแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่หนิงเทียนเลื่อนระดับการปรุงยา บุตรชายมักจะมาคุยโวกับนางอยู่ตลอด จากนั้นนางได้กล่าวออกถึงความกังวลที่อยู่ในใจ “พี่รอง ว่าแต่ท่านสอนเทียนเอ๋อ ปรุงแต่เพียงโอสถพิษใช่หรือไม่??”
ได้ยินเช่นนั้น เกาฉางกงและหนิงเทียนจ้องหน้ากันอย่างไร้คำพูด “….....”
จากนั้นฉางกงยิ้มแห้งๆ “น้องห้า แม้ข้าจะถูกเรียกหาเป็น ราชันหมื่นพิษ แต่ในเรื่องของโอสถทิพย์รักษาชีวิตข้าก็ไม่เคยเป็นรองใคร แน่นอนข้าย่อมสอนบุตรชายของข้า ปรุงทั้งโอสถทิพย์ด้วยเหมือนกัน” หากแต่คำว่าโอสถทิพย์ที่ออกจากปากแผ่วเบาไม่เต็มเสียง
เกาฉางกงมักกล่าวอยู่เสมอโอสถพิษหากใช้ถูกวิธีก็จะกลายเป็นโอสถทิพย์ดังนั้นวิถีแห่งการรักษาเป็นเพียงหนึ่งในสิบจากความรู้ที่มันสอนไป ส่วนใหญ่แล้วจะเน้นหนักที่โอสถคร่าชีวิตและโอสถที่ใช้ทรมานชีวิต
“อายุเพียงแค่สิบสองสามารถไปถึงระดับเจ้าโอสถได้ ข้าว่าอีกไม่เกินหนึ่งร้อยปี เทียนเอ๋อจะต้องเหนือชั้นกว่าพี่รองอย่างแน่นอน” สีหน้าของจูซ่งเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวบุตรชาย
“ถูกแล้วน้องสี่ ข้าคิดว่าหนึ่งร้อยปีข้างหน้า ชื่อเสียงของราชันหมื่นพิษจะต้องส่งต่อให้เทียนเอ๋อเป็นผู้รับไว้อย่างแน่นอน ฮะฮาฮ่าๆ” เกาฉางกงหัวเราะอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะของมันนั้นยิ่งฟังดูยิ่งน่าชัง
“ท่านกล่าวเช่นนี้ไม่ถูก เทียนเอ๋อจะรับช่วงต่อ ฉายา ‘ทูตมรณะ’ ของข้าต่างหาก” จูซ่งรีบกล่าวแย้งด้วยรอยยิ้มเชือดเฉือน
ปังงงงง!!! หวงหลงทุบโต๊ะเสียงดัง “ต้องเรียกว่า ‘อสูรคลั่ง’ สิถึงจะถูกที่สุด” ทั้งสามคนจ้องตา มองเขม่นและเริ่มที่จะถกเถียงกันต่อ
เทียนไห่ชางเยว่ส่ายหน้าให้กับการกระทำของพี่ๆทั้งสาม นางยิ้มพลางตักอาหารให้หนิงเทียนอย่างอ่อนโยน แต่ไม่วายที่จะกระซิบข้างๆหูของหนิงเทียนอย่าแผ่วเบา “ฉายา บุตรชายของธิดาโลหิตเหมาะสมที่สุดต่างหาก”
“พวกเจ้าทั้งสามหยุดได้แล้ว” พี่ใหญ่ของพวกมันรีบกล่าวห้าม ก่อนจะถามถึงความก้าวหน้าของบุตรชายต่อไป “น้องสามวิชากายาเทพอสูรของเทียนเอ๋อฝึกถึงขั้นไหนแล้ว?”
“เวลานี้เทียนเอ๋อฝึกถึงขั้นเชี่ยวชาญแล้ว สามารถใช้พลังแขนอสูรแปลงปราณขั้นที่1ได้ตามใจนึก และด้วยความเร็วระดับนี้คาดว่าไม่เกินห้าสิบปี เทียนเอ๋อจะสำเร็จแขนอสูรแปลงปราณทั้ง4ขั้นได้ เป็นอย่างไร?? ลูกของข้า หวงหลงเป็นอัจฉริยะที่แม้แต่บุตรของเทพบนสวรรค์ยังต้องอายใช่หรือไม่?? ฮาฮ่าๆ” เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังท่ามกลางโต๊ะอาหาร
“น้องสี่แล้วทางเจ้าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?”
“เก้าวิญญาณท่องนภาของเทียนเอ๋อ แม้เรียนรู้เพียงสามปีแต่ก็เข้าใกล้ขั้นไร้เงามากแล้ว ตัวข้าในวัยเยาว์ยังต้องอายเมื่อเทียบกับเทียนเอ๋อในตอนนี้” จูซ่งรายงานความสำเร็จในการฝึกให้พี่ใหญ่ของมันได้ฟัง
“วิเศษสุด บัดนี้เทียนเอ๋อพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ถึงเวลาที่จะฝึกสุดยอดวิชาของข้าบ้างแล้ว” บุรุษชุดขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงแห่งความปิติยินดี มันคิดมาตลอดว่าเพลงกระบี่คงจะต้องสาบสูญไปพร้อมกับชีวิตของมัน แต่บัดนี้สวรรค์ได้ประทาน บุตรชายผู้สืบทอดเจตนารมณ์ให้แก่มันแล้ว
“เทียนเอ๋อ ต่อไปนี้เจ้าจงย้ายมาอยู่ในตำหนักภูตกระบี่ บิดาใหญ่จะสั่งสอนเพลงกระบี่อันเป็นสุดยอดวิชาให้แก่เจ้า”
เมื่อได้ยินคำว่ากระบี่ภายในใจของหนิงเทียนหวนคิดถึงเรื่องราวในชีวิตก่อน ครั้งนั้นเพลงดาบของมันเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง หากแต่ชีวิตนี้มีโอกาสได้จับกระบี่ก็ต้องทำให้ดีดังเดิม เด็กหนุ่มคิดไปชั่วขณะก่อนจะตอบบิดาใหญ่เต็มเสียง “ขอรับท่านพ่อใหญ่”
เมื่อกล่าวเสร็จทั้งหกดื่มกินอาหารบนโต๊ะอย่างมีเอร็ดอร่อย จนกระทั่งเวลาล่วงพ้นกลางดึกของคืนนั้น เช้าวันถัดมาบริเวณลานสรรพยุทธของตำหนักภูตกระบี่ ร่างของหนึ่งบิดาหนึ่งบุตร กำลังยืนอยู่ใจกลางลานกว้าง
เป็นวันแรกที่หนิงเทียนย้ายจากตำหนักภูตสังหารของบิดาสี่มาที่ตำหนักภูตกระบี่ หนิงเทียนมองไปยังใบหน้าของบิดาใหญ่ เวลานี้ไม่มีความอ่อนโยนหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงเคร่งขรึมดังออก
“เทียนเอ๋อ บิดาใหญ่จะเริ่มสอนสุดยอดทักษะที่สร้างชื่อให้แก่บิดา เดิมทีบิดามีนามว่า ‘ซุนเอิน’ ผู้คนต่างขนานนามบิดาเป็น ‘เทพกระบี่’ แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่บิดาภูมิใจกับมันแม้แต่น้อย”
นี้เป็นครั้งแรกที่หนิงเทียนได้ฟังเรื่องราวในอดีตของบิดาใหญ่ เด็กหนุ่มรับฟังอย่างตั้งใจ
“ในอดีตก่อนที่บิดาใหญ่จะได้สาบานเป็นพี่น้องกับบิดามารดาทั้งสี่ของเจ้า”
มันหยุดกล่าวไปชั่วครู่คล้ายว่ากำลังระลึกเรื่องราวบางอย่างก่อนที่จะกล่าวต่อ
“บิดาใหญ่หลงไหลในการใช้กระบี่เป็นอย่างมาก บิดาเปรียบกระบี่เป็นดั่งครอบครัว เพื่อแสวงหาความแข็งแกร่งแล้วกระบี่ของบิดานั้นเปื้อนไปด้วยเลือดของผู้บริสุทธิ์มากมาย เพียงแค่ผู้ฝึกตนคนใดยึดถือกระบี่เป็นศัสตราประจำตัว บิดาก็จะไปท้าสู้เพื่อแย่งความเป็นหนึ่ง สู้หนึ่งครั้งสังหารหนึ่งชีวิต ช่วงเวลาที่บิดาท่องเที่ยวอยู่ในพื้นที่ราบภาคกลาง กระบี่ถือว่าเป็นศัสตราวุธที่สูญหาย ไม่มีผู้ใดกล้ายึดใช้มันเป็นศาสตราวุธคู่กาย ผู้คนจึงขนานนามให้แก่บิดาด้วยความหวาดกลัวว่า ‘เทพ’ตามด้วยกระบี่ที่เป็นศาสตราวุธต้องห้ามในช่วงเวลานั้น หากแต่บิดาใหญ่ไม่เคยภาคภูมิใจในสมญาเหล่านั้นแม้แต่น้อย
“ในแดนสวรรค์หวงตี้แห่งนี้ มีผู้แข็งแกร่งมากมายต่างอวดอ้างตนเป็นดั่งเทพเซียน แต่บิดาไม่เคยเชื่อเลยว่าดินแดนแห่งนี้จะมีเทพอยู่จริง นับตั้งแต่อดีตไม่มีมนุษย์คนใดอยู่เป็นอมตะ ไม่มีผู้ใดมีค่าพอที่จะอวดอ้างตนเสมือนเทพ บิดาจึงใช้เวลาทั้งชีวิต สร้างทักษะกระบี่ชุดหนึ่งขึ้นมา และตั้งชื่อมันว่า เพลงกระบี่สังหารเทพ ประกอบไปด้วยกระบวนท่าสังหารเทพทั้งหมด13กระบวน” กล่าวถึงตรงนี้ซุนเอินหักกิ่งไม้ก้านเล็กมาถือไว้
หนิงเทียนมองด้วยตาเปล่าก็สามารถบอกได้เลยว่า กิ่งไม้นั้นเพียงประสบแรงลมก็พอที่จะทำให้กิ่งไม้หักลงได้แล้ว
“กระบี่ใช้ออกด้วยร่างกาย แต่จิตใจเป็นผู้ควบคุมร ยิ่งกายของเจ้าแข็งแกร่ง จิตใจยิ่งต้องแข็งแกร่งมากกว่า ถึงจะสามารถเรียนรู้เพลงกระบี่สังหารเทพได้ครบทุกกระบวน เวลานี้เทียนเอ๋อสามารถเรียนรู้ได้เพียง2กระบวนท่า เริ่มจากกระบวนท่าที่หนึ่ง ชื่อของมันคือ ‘เงากระบี่ใต้อักษร’ เงาคือสิ่งที่ไม่สามารถสัมผัสได้ แต่มันมีตัวตนอยู่เสมอ กระบวนท่านี้ก็เช่นกัน เวลาที่ศัตรูสามารถสัมผัสได้ คือวาระสุดท้ายที่เงากระบี่ตัดคอของพวกมันจงตั้งใจดูมันให้ดีๆ”
จากนั้นซุนเอินร่ายรำกระบี่อย่างเชื่องช้า มิใช้ออกด้วยลมปราณแต่อย่างใด ขณะที่ร่ายรำกระบวนท่า เมื่อกิ่งไม้ชี้ไปในทิศทางใด พลันปรากฏรอยตัดขนาดใหญ่ขึ้นทันตาเห็น
หนิงเทียนมองไปที่บิดาใหญ่ด้วยแววตาตกตะลึงก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายตาชื่นชม “แค่เพียงกระบวนท่ากลับมีพลังทำลายในระดับนี้ ในช่วงชีวิตก่อน เคยคิดว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านเพลงดาบ แต่กลับไม่สามารถเทียบได้ถึงเศษเสี้ยวของกระบวนท่าที่บิดาใหญ่ร่ายรำเลยแม้แต่น้อย’
หนิงเทียนตั้งใจเรียนรู้ ดวงตาจับจ้องกระบวนท่าอย่างเคร่งครัด เด็กหนุ่มมิกล้าที่จะกระพริบตา ราวกับว่ามันไม่ต้องการพลาดช่วงเวลาใดๆของการร่ายรำครั้งนี้
เมื่อบิดาใหญ่ร่ายรำจบกระบวน ได้มองไปยังบุตรชาย พร้อมทั้งกล่าวต่อ “เพลงกระบี่เองก็แบ่งความสำเร็จออกเป็นสามระดับ ขั้นพื้นฐาน ขั้นเชี่ยวชาญ และขั้นหลอมรวม ไม่ต่างจากทักษะอื่นๆ เจ้าจะต้องฝึกตวัดดาบจนกว่าจะถึงขั้นหลอมรวม จึงจะเริ่มฝึกการใช้ลมปราณควบคู่กับกระบวนท่าได้ มิเช่นนั้นผลสะท้อนของกระบวนท่าจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเจ้า จงจำไว้ให้ดี ถึงเพลงกระบี่จะลึกล้ำซับซ้อนเพียงใด แต่ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับพื้นฐานร่างกายและจิตใจ ห้ามละเลยฝึกฝนพื้นฐานเป็นอันขาด”
หนิงเทียนผงกศีรษะอย่างตั้งใจ เคล็ดวิชากายาและวิชาตัวเบาจะช่วยดึงความแข็งแกร่งของกระบวนท่าต่อสู้ แต่ในทางกลับกัน ถ้าร่างกายไม่แข็งแกร่งพอ จะส่งผลสะท้อนที่ร้ายแรงกลับคืนผู้ใช้ ด้วยเหตุนี้บิดาใหญ่และมารดาห้าจึงมิได้สอนทักษะต่อสู้ใดๆ ปล่อยให้ช่วงเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมา เป็นหน้าที่ของบิดาสามและบิดาสี่ในการปรับพื้นฐานทางกาย
“ลูกเข้าใจดีถึงความห่วงใยของพ่อใหญ่และแม่ห้า” หนิงเทียนซาบซึ้งจากส่วนลึกของจิตใจเขา ในชีวิตที่แล้วหนิงเทียนเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูจากคนในตระกูลซือหม่า
น้อยครั้งที่จะได้สัมผัสความรักระหว่างบิดาและบุตรเช่นนี้
ซุนเอินยิ้มรับ จากนั้นได้ส่งแหวนมิติสีทองให้แก่บุตรชาย หนิงเทียนจ้องมองของสิ่งนั้นและกล่าว “นี้คือแหวนอุปกรณ์มิติ”
มันเคยอ่านถึงวิธีสร้างแหวนมิติ จากห้องหนังสือของบิดาสี่ ในแดนสวรรค์ แหวนมิติถูกสร้างโดยผู้ฝึกตนที่หลอมรวมธาตุมิติเป็นหลัก โดยปราณมิติธาตุ เป็นหนึ่งในธาตุที่หาได้ยากยิ่งในตัวของผู้บ่มเพาะ ทำให้ราคาแหวนอุปกรณ์มิติจึงมีราคาสูงมาก
ระดับของแหวนมิติแบ่งแยกตามระดับลมปราณของผู้สร้าง ยิ่งเป็นแหวนมิติระดับสูงยิ่งสามารถป้องกันการรั่วไหลของลมปราณได้เป็นอย่างดี
ซุนเอินมองไปที่แหวนมิติสีทองและกล่าว “แหวนมิตินี้เก็บซ่อนกระบี่ที่ชื่อว่า พิรุณโปรย ฝักกระบี่ถูกสร้างขึ้นจากชิ้นส่วนของอุกกาบาตดำ ตัวกระบี่ถูกตีขึ้นจากกระดูกสันหลังของมังกร หลอมรวมกับแก่นชีวิตของอสูรสวรรค์มังกรวารี เมื่อสร้างเสร็จพ่อใหญ่นำมันไปฝังอยู่ใต้วังจ้าวสมุทรเพื่อดูดซับความหนาวเย็นจากก้นบึ้งของทะเล กระบี่พิรุณโปรยเป็นศัตราชิ้นที่เจ็ดที่พ่อใหญ่สร้างขึ้นด้วยสองมือ ลองเรียกชื่อของมันดู”
“กระบี่พิรุณโปรย” หนิงเทียนเอ่ยออกตามคำบอกเล่าของบิดา จากนั้นได้วาดมือหนึ่งครั้งปรากฎกระบี่สีเงินมีความยาวประมาณหนึ่งช่วงตัว ด้ามกระบี่ประดับประดาไปด้วยลวดลายสีครามสลับกันเป็นแนวยาวคล้ายมังกรวารีกำลังแหวกว่ายใต้มหาสมุทร ปลายดาบถูกห่อหุ้มด้วยฝักกระบี่สีดำทะมึนดุดัน
โฮกกกกกก!!!! เสียงคำรามดังก้องอยู่ในโสดประสาทของหนิงเทียน ไอความเย็นแล่นเข้าสู่ทะเลลมปราณของมันอย่างรวดเร็ว
หนิงเทียนไม่แน่ใจว่ามันได้ยินจริงๆหรือเป็นเพียงอาการหูแว่ว “ท่านพ่อใหญ่ นี้มัน???”
“ลูกสัมผัสถึงมันได้แล้วงั้นรึ??” หว่างคิ้วของซุนเอินเลิกขึ้นสูง
“หรือว่ากระบี่นี้มีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง??” หนิงเทียนถามออกเพื่อความแน่ใจ
“ถูกต้องแล้ว กระบี่นี้มีจิตวิญญาณของมังกรวารี อสูรระดับสวรรค์ แต่เมื่อนำมันมาหลอมรวมเป็นกระบี่ พลังของจิตวิญญาณจึงได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่ แม้เวลานี้มันจะเป็นแค่ลูกมังกรตัวเล็กๆ แต่จะสามารถพัฒนาไปในระดับที่สูงกว่านี้ได้”
“อสูรสวรรค์!! มังกรวารี!!” หนิงเทียนย้ำคำพูดด้วยสีหน้าตกตะลึง อสูรสวรรค์เป็นอสูรที่มีอยู่แต่ในตำนานยากจะพบเจอตัวจริงได้ หากแต่บิดาใหญ่ของมันสามารถจับมาทำเป็นกระบี่ราวกับว่าเป็นเพียงสัตว์ป่าธรรมดาตัวหนึ่ง
“ท่านพ่อใหญ่กระบี่พิรุณโปรยจัดเป็นศาสตราวุธระดับใด??”
“อาวุธจิตวิญญาณ แต่เวลานี้ความแข็งแกร่งของมันเพียงเทียบได้กับอาวุธลมปราณระดับปราชญ์เท่านั้น”
“อาวุธจิตวิญญาณ?? อาวุธลมปราณ??” แม้หนิงเทียนจะอ่านตำราเกี่ยวกับศัสตราวุธอยู่บ้าง แต่ความรู้ด้านนี้นับว่ายังมีไม่มาก
ซุนเอินจึงได้อธิบาย “อาวุธลมปราณทั่วไป แม้จะมีพลังมาก แต่พวกมันก็เป็นเพียงเศษเหล็กที่รอวันแหลกสลาย ไม่มีความสามารถที่จะพัฒนาระดับของตัวเอง แตกต่างจากอาวุธจิตวิญญาณที่พัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองอยู่เสมอ”