ตอนที่ 7 พยัคฆ์ทมิฬกลืนจันทรา
ขณะที่จักรพรรดิหวงตี้กำลังกล่าวออกมา ม้วนคัมภีร์สีทองที่เต็มไปด้วยทักษะบ่มเพาะนาๆชนิดพลันปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หวงตี้กล่าวอธิบาย “นี้คือสุดยอดทักษะวิชาบ่มเพาะที่ข้ารวบรวมและสะสมไว้ตลอดชั่วชีวิต ข้าได้รวบรวมจุดดี ละทิ้งจุดด้อยของบรรดาทักษะมากมาย สรรสร้างขึ้นมาใหม่ จนกลายเป็นทักษะบ่มเพาะที่ชื่อว่า ‘ม้วนภาพเทพยุทธ์’ ม้วนภาพเทพยุทธ์เกิดจากการนำข้อดีของทักษะจำนวนมากมาผสมผสาน แต่ด้วยความผิดพลาดที่เหนือคาดหมาย ทำให้มันเป็นวิชาที่ต้องใช้พื้นฐานสูงเกินความเป็นไปได้ ทำให้ไม่สามารถหาผู้ที่เหมาะสมมาสืบทอดทักษะวิชานี้ได้จริง พรสวรรค์เก้าแก่นแท้ เปิดจุดลมปราณทั่วร่างทั้ง54จุดแต่กำเนิด คือปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หากไม่เข้าตามเงื่อนไขที่ว่านี้ ร่างกายของผู้ที่ทำการบ่มเพาะจะไม่สามารถทนทานต่อพลังอันยิ่งใหญ่ได้ สุดท้ายแล้วจะต้องตกตายไม่เหลือแม้เพียงเศษเสี้ยวของวิญญาณ”
“เป็นเพราะเหตุนี้ท่านจึงต้องผนึกมันไว้ในศิลาผนึกทอง??” หนิงเทียนกล่าวถามด้วยความระมัดระวัง
“เจ้าฉลาดมากเด็กน้อย ความละโมภของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด หากคนทั่วไปได้ครอบครองและหมายจะฝึกฝนได้ กลายเป็นว่าทักษะที่ข้าคิดค้นขึ้น เป็นดั่งมีดแหลมคมที่ใช้สังหารลูกหลานของตัวเองตราบชั่วนานเท่านาน ข้ามิต้องการเป็นผู้สร้างโศกนาฏกรรม การแย่งชิงและความสูญเสียให้แก่ดินแดนสวรรค์แห่งนี้” กล่าวจบจิตวิญญาณจักรพรรดิหวงตี้สะบัดมือคราหนึ่ง
เพล้งง!!!
เสียงแก้วแตกดังก้องเต็มสองหูของหนิงเทียน พร้อมกันนั้นคัมภีร์สีทองแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงลอยเข้าไปในร่างกายของหนิงเทียนอย่างรวดเร็ว ภายในทะเลแห่งจิตวิญญาณของหนิงเทียนเกิดการเปลี่ยนแปลง ปริศนาทั้งห้าภาพพลันปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า
“หรือว่าทั้งห้าภาพนี้คือทักษะบ่มเพาะม้วนภาพเทพยุทธ์!!??” หนิงเทียนไม่คาดคิดว่า ทักษะที่ยิ่งใหญ่ที่อีกฝ่ายกล่าวถึง จะเป็นเพียงม้วนภาพไร้รูปที่ไม่สามารถบอกรูปลักษณ์ได้อย่างชัดเจน
“ถูกต้องแล้วเจ้าเด็กน้อย ภาพทั้งห้าเปรียบเสมือนห้าวัฏฏะ ห้าขั้นตอนของการบ่มเพาะลมปราณ เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาในรูปแบบตายตัวเฉกเช่นตัวอักษร มิได้ปรากฏมวลความรู้เหมือนเช่นทักษะอื่นๆ แต่มันจะแสดงให้เห็นถึงรูปลักษณ์อุปนิสัยของสิ่งที่อยู่ในภาพ เพียงแค่เจ้าเพ่งจิตพินิจ ตราบใดที่สามารถรู้แจ้งถึงภาพเหล่านั้น จะได้รับพลังอันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ถึง”
ได้ยินถึงคำชี้แนะของอีกฝ่าย หนิงเทียนจึงพยามจ้องมองไปที่ม้วนภาพไร้รูป ภาพที่หนึ่งจากทั้งหมดห้าภาพ
คล้ายแสงเลือนรางส่องสว่างในความมืด ปรากฏเห็นเค้าโครงรูปภาพ พยัคฆ์สีดำตัวใหญ่ ลวดลายบนลำตัวของมันประดับด้วยริ้วสีทอง สองขาหน้าของมันกำลังเหยียบยืนอยู่บนดวงจันทรา
เพียงแค่การมองหนึ่งครั้ง ความรู้สึกเย็นสบายปรากฏขึ้นในจิตใจ จิตวิญญาณราวกับเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ รู้สึกเหมือนสามารถล่องลอยไปที่ใดก็ได้ตราบเท่าที่ต้องการ แต่เพียงชั่วครู่อึดใจ ความรู้สึกเหล่านั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนรุ่ม ร่างกายของมันระอุราวกับเลือดในกายและทะเลลมปราณกำลังถูกต้มจนสุก
ปราณในร่างถูกแผดเผาจนเดือดและระเหยขึ้นเป็นไอ จากลมปราณที่เอ่อล้นพร้อมที่จะทะลวงไปสู่ดินแดนนักรบได้ทุกเวลา บัดนี้หดหายเหลือเพียงครึ่งหนึ่งจากของเดิม แต่แม้ลมปราณของหนิงเทียนจะลดลง ทว่าความบริสุทธิ์และความเข้มข้นกลับสูงล้ำจนยากจะประมาณได้
สีหน้าของจักรพรรดิในชุดคลุมทองตกตะลึงในสิ่งที่เขาเห็น “เพียงแค่ครั้งแรกที่เด็กน้อยคนนี้จ้องมองพินิจภาพพยัคฆ์ทมิฬกลืนจันทรา ก็สามารถรู้แจ้งได้ถึง2ใน10ส่วน”
ด้วยความใคร่รู้ที่ไม่สิ้นสุด หนิงเทียนพยายามมองไปยังภาพที่2ทันที
อ๊ากกกกกกกก!!!!!
เด็กหนุ่มร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดแสน ร่างของหนิงเทียนล้มลงไปกองอยู่กับพื้นสองมือจับกุมไปที่ศีรษะ ความเจ็บปวดมหาศาลถาโถมเข้ามาที่จิตวิญญาณ
ราวกับจะระเบิดออก หนิงเทียนรีบถอนสายตาจากภาพอย่างรวดเร็ว
แค่เพียงพริบตาที่ความคิดใคร่รู้บังเกิดขึ้น ยังไม่ทันเห็นได้ว่าภาพที่2มีสิ่งใดสลักอยู่ด้วยซ้ำไป แต่นั้นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้หนิงเทียนก้าวล่วงสู่แดนมรณา
จักรพรรดิในชุดสีทองส่ายศีรษะไปมา “อย่าได้รีบร้อนไป เมื่อเจ้าสามารถทำความเข้าใจในภาพ พยัคฆ์ทมิฬกลืนจันทรา ได้อย่างสมบูรณ์ ก็จะสามารถมองเห็นภาพที่2ได้อย่างปลอดภัย”
“ขะ...ขอบคุณ ผู้อาวุโสที่สอนสั่ง” ขณะที่มันกล่าว ความเจ็บปวดในจิตใจของหนิงเทียนค่อยๆเบาบางลง
“เด็กน้อย ตอนนี้เจ้าออกไปได้แล้ว พลังอำนาจของศิลาผนึกทองกำลังจะหมดลง
เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของข้ากำลังจะหายไปตามวัฏจักรเวลา ภาระส่วนหนึ่งที่ข้าแบกรับไว้นับว่าสิ้นสุดลงแล้ว” กล่าวจบร่างของจักรพรรดิหวงตี้ค่อยๆเลือนรางจนหายไป
จิตใต้สำนึกของหนิงเทียนถูกส่งออกมาด้านนอกอย่างรวดเร็ว ลูกหินสีทองที่กำลังหมุนวนอยู่ในภายในจิตวิญญาณหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งกับทะเลลมปราณของมันกลายเป็นแหล่งกำเนิดลมปราณที่ชื่อว่า ‘ศิลาผนึกทอง’
......
......
บริเวณห้องโถงกลางของตำหนักภูตกระบี่ เวลาผ่านไป2ชั่วยาม หนิงเทียนค่อยๆเปิดตาขึ้นฟื้นคืนสติกลับมา
“เทียนเอ๋อลูกปลอดภัยแล้ว” เทียนไห่ชางเยว่ กล่าวออกเป็นคนแรก ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจและโล่งใจพร้อมๆกัน
เห็นเช่นนั้น บุรุษชุดขาวค่อยๆถอนอาคมดึงสวรรค์ออก สภาวะในห้องกลับสู่ความปกติอีกครั้ง
“ท่านแม่ ลูกไม่เป็นไรแล้วขอรับ” สีหน้าของหนิงเทียนเวลานี้ปลอดโปร่งสดใสยิ่งกว่าเดิม สายตามองไปยัง ศิลาผนึกทองที่ได้เปลี่ยนสภาพไม่ต่างอะไรจากก้อนศิลา คงจะมีเพียงหนิงเทียนเท่านั้นที่เข้าใจทุกสิ่ง เวลานี้ศิลาผนึกทองได้หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งกับตัวมันไปแล้ว
“ฮ่ะฮ่าๆ ดูเหมือนว่าเทียนเอ๋อของพวกเราจะได้รับโชคอันยิ่งใหญ่จากจักรพรรดิบรรพกาล” เกาฉางกงหัวเราะเสียงดัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความปิติยินดีกับบุตรชาย มันเป็นผู้ริเริ่มเรื่องราวทุกอย่างและสุดท้ายผลลัพธ์ก็ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี จะไม่ให้มันมีความสุขมากกว่าใครอื่นได้อย่างไร
“ท่านพ่อรอง เวลานี้ลูกสามารถบ่มเพาะทักษะม้วนภาพเทพประยุทธ์ได้แล้วขอรับ” หนิงเทียนกล่าวออกเพื่อให้อีกฝ่ายแน่ใจ
“เทียนเอ๋อทักษะบ่มเพาะม้วนภาพเทพยุทธ์ เป็นวิชาเช่นใด ร้ายกาจกว่า วิญญาณราชันของพ่อสี่หรือไม่??” จูซ่งกล่าวด้วยความใคร่รู้ที่เก็บมานานกว่าพันปี
หนิงเทียนครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวตอบตามความจริง “เป็นเพียงภาพวาด ห้าภาพ ที่สลักอยู่ในจิตวิญญาณของการรับรู้เท่านั้น ส่วนตอนนี้ลูกยังไม่เห็นถึงความวิเศษพิสดารของมันเลย”
จากนั้นเกาฉางกงยื่นฝ่ามือออกไปสัมผัสตัวเข้ากับหนิงเทียน พร้อมสำรวจร่างกายด้วยลมปราณอย่างละเอียด เพียงการสัมผัสครั้งเดียวก็สามารถบ่งบอกโครงสร้างภายในได้หมดเปลือก “เทียนเอ๋อ ลมปราณของเจ้ามีความบริสุทธิ์เป็นอย่างมากอีกทั้งทะเลลมปราณยังขยายกว้างและเข้มข้นกว่าคนทั่วไปถึงสามเท่าไม่สิอาจจะสี่เท่าด้วยซ้ำ”
“วิเศษ วิเศษมากจริงๆ เป็นทักษะบ่มเพาะที่ยอดเยี่ยมเหมาะสมกับร่างกายเทวะสวรรค์แล้ว เทียนเอ๋อลูกต้องตั้งใจฝึกฝนอย่างเคร่งขัดนะ รู้ไหม??” จูซ่งกล่าวด้วยความยินดี
เพียงเท่านี้ก็ไม่นับว่าสูญเปล่าแล้ว ที่ครั้งนั้นมันได้ตัดสินใจหยิบฉวยก้อนศิลาสีทองออกมาจากหลุมฝังศพของจักรพรรดิหวงตี้
บุรุษชุดขาวมองไปที่หนิงเทียนและกล่าว “ทักษะวิชาอัตถะวิสุทธิ์ของพ่อใหญ่เน้นการกลั่นลมปราณให้บริสุทธิ์ใช้ออกด้วยการโจมตีเป็นหลัก ส่วนวิชาเทวะอุดรของพ่อรองเจ้าช่วยให้ผู้ฝึกฝนมีทะเลลมปราณที่กว้างใหญ่โอบอุ้มสรรพสิ่งได้ ดูเหมือนว่าทั้งสองไม่สามารถเทียบได้กับทักษะบ่มเพาะม้วนภาพเทพยุทธ์ ราวกับว่าได้นำข้อดีของทักษะชั้นยอดมาผสมผสานเข้ากันอย่างลงตัว”
ได้ยินเช่นนั้น หวงหลงกล่าว “จักรพรรดิหวงตี้ผู้นี้ช่างมีพรสวรรค์ในการสรรสร้างสุดยอดวิชาอย่างแท้จริง” ด้วยนิสัยโพงพางไม่สนใจรอบข้างของมัน ทำให้มีน้อยคนนักที่จะได้รับการยกย่องจากปากของอสูรคลั่งผู้นี้
“กลั่นลมปราณให้บริสุทธิ์และขยายทะเลลมปราณ เพียงแค่คุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งก็พอให้กลายเป็นสุดยอดทักษะสะเทือนฟ้าแล้ว แต่กลับสามารถรวมสองเข้าในหนึ่งได้ ช่างพิสดารล้ำลึกยิ่งนัก” เทียนไห่ชางเยว่กล่าวออกด้วยความนับถือต่อผู้สร้างวิชา
ถึงกระนั้นทุกคนในห้องยังไม่รู้ว่า ความสามารถรวมสองสุดยอดวิชาเป็นหนึ่ง เกิดจากภาพพยัคฆ์ทมิฬกลืนจันทรา เพียงภาพเดียวเท่านั้น มิใช่เป็นความสามารถทั้งหมดของทักษะบ่มเพาะม้วนภาพเทพยุทธ์
“เทียนเอ๋อนี้คือโอสถสวรรค์จิตวิญญาณมังกร ที่พ่อรองปรุงขึ้น มันช่วยปรับพลังลมปราณให้เสถียรและช่วยให้เจ้าทะลวงเข้าสู่ดินแดนนักรบได้ทันที” เกาฉางกงส่งเม็ดโอสถให้แก่บุตรชาย
หนิงเทียนรับมาและโยนเข้าปากทันที “ขอบพระคุณท่านพ่อรอง”
“เทียนเอ๋อ บิดาใหญ่จะให้เจ้าได้เที่ยวเล่นอีกเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น นับจากนี้ต้องไปยังตำหนักภูตอสูร เริ่มฝึกฝนกายาเทพอสูรเป็นวิชาแรกและต้องไม่ลืมบ่มเพาะม้วนภาพเทพยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เอาล่ะ...จบเรื่องแล้ว พวกเราแยกย้ายกันได้ ให้เวลาเทียนเอ๋อได้พักผ่อนมากหน่อยจะดีกว่า”
......
วันเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว เมื่อฤดูใบไม้ผลิผ่านไป ฤดูหนาวย่างเข้าแทนที่ วนเวียนเป็นเช่นนี้อยู่เสมอมา ลึกเข้าไปในเขตหวงห้ามแดนอสูรร้ายของป่านรกดำ เงาร่างสองสายทะยานอยู่เหนือหมู่พฤกษานานาพันธุ์ด้วยความเร็วดุจภูตพราย
“หลบเร็ว!!”
ทันใดนั้นนั้น เงาร่างขนาดใหญ่มหึมาปรากฏเบื้องหน้าของคนทั้งสอง ด้วยส่วนสูงเกือบพันจั้งกอปรกับร่างสีแดงฉานดุจเหล็กกล้าฉาบด้วยเพลิงแดงอันร้อนแรง ลำตัวขนาดใหญ่ของมันส่องประกายไปด้วยเปลวเพลิง อสูรร้ายใช้ดวงตาสีแดงจ้องมองไปยังผู้ล่วงล้ำ
หนึ่งในนั้น ก้าวเดินออกมาเบื้องหน้า ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มอายุราวๆสิบสองปีสวมใส่ชุดคลุมขนสัตว์ ใบหน้างดงาม สีผิวเปล่งประกายดุจหยก หลังจากผ่านการฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดเวลาเจ็ดปี บัดนี้หนิงเทียนมีอายุครบสิบสองปีเต็มแล้ว
“มันคือ อสรพิษเพลิง สัตว์อสูรลมปราณขั้น1 พลังของมันนั้นเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้น9ในดินแดนองครักษ์ ลูกแน่ใจรึว่าจะไม่หนี??” จูซ่งมองไปที่แผ่นหลังของหนิงเทียนด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพ่อสี่ ลูกอยากจะลองสู้ดูขอรับ”
จูซ่งพยักหน้าตอบรับคำขอ “เช่นนั้นแล้วให้บิดาได้ชม กายาเทพอสูร ที่พี่สามสอนสั่งหน่อย หากมันไร้อานุภาพ พ่อสี่จะให้เจ้าฝึกฝน กายามารทมิฬ แทน”
หนิงเทียนในวัยสิบสองปี พึ่งจะก้าวเข้าสู่ขั้นสี่ของดินแดนองครักษ์มาได้ไม่นาน ถึงเด็กหนุ่มจะมีทรัพยากรมากมายให้เลือกใช้ไม่ว่าจะเป็นโอสถทิพย์ หินลมปราณ และแก่นชีวิตของสัตว์อสูรระดับสูง หากแต่ความเร็วในการบ่มเพาะของหนิงเทียนเทียบเป็นไปได้ยาก เท่ากับกับอัจฉริยะทั่วๆไปของพื้นที่ราบภาคกลางเท่านั้น มิได้มีความโดดเด่นเหนือคนอื่นแต่อย่างใด เป็นเพราะผลพวงของการมีทะเลลมปราณที่กว้างใหญ่เกินคนทั่วไป อีกทั้งลมปราณที่สะสมเอาไว้ ยังถูกความร้อนแผดเผ่าเป็นไอ ยากแก่การรวบรวม ความกว้างใหญ่ของทะเลลมปราณแปรผันตามอายุและการบ่มเพาะ บัดนี้หากเทียบกับคนทั่วไปแล้ว หนิงเทียนมีทะเลลมปราณที่กว้างกว่าถึงห้าเท่าหรืออาจจะหกเท่าด้วยซ้ำ
“เข้ามา เจ้างูน้อย” น้ำเสียงของหนิงเทียนเต็มไปด้วยความซุกซนและตื่นเต้น
ทว่าคำพูดของหนิงเทียนได้จุดประกายไฟแห่งความโกรธของอสรพิษเพลิง เปลวไฟที่ปลายหางของมันลุกโชนสุกสว่าง อุณหภูมิรอบตัวเพิ่มสูง จากนั้นมันฟาดหางจู่โจมมนุษย์ ตัวจ่อยตรงหน้าหมายจะขยี้ให้แหลกเละในพริบตา
ผู้ที่มีความสามารถในดินแดนองครักษ์ขั้น4 จะต้องต่อสู้กับสัตว์อสูรลมปราณระดับ1นั้น ในสายตาของคนทั่วไปไม่ต่างอะไรกับการเรียกร้องหาความตายให้แก่ตนหากแต่ ช่วงเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมา หนิงเทียนสามารถทำความเข้าใจในภาพพยัคฆ์ทมิฬกลืนจันทราได้ถึง8ใน10ส่วนแล้ว ทำให้การต่อสู้ข้ามขั้นที่เป็นเสมือนกฏเกณฑ์ของผู้บ่มเพาะไม่เป็นที่กังวลในสายตาของเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
ปังง!!! ด้วยพละกำลังอันมหาศาล ต้นไม้ใหญ่แตกหักกระจัดกระจายจากการโจมตีครั้งนี้ ทว่าร่างของมนุษย์ตรงหน้าเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย อสรพิษเพลิงกวาดสายตามองหา มันแผดเสียงร้องคำรามด้วยความโกรธ เมื่อไม่พบเจอเหยื่อของตนเอง
หนิงเทียนใช้ออกด้วยวิชาท่าเท้าอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ก้าววิญญาณท่องนภา เร่งความเร็วหลบการโจมตีของอสรพิษเพลิงได้อย่างง่ายดาย
ท่าเท้าก้าววิญญาณของทูตมรณะ จูซ่งแบ่งออกเป็น2ขั้น ขั้นแรกคือก้าววิญญาณท่องนภา และเมื่อเข้าสู่จุดสูงสุด จะเปลี่ยนเป็นก้าววิญญาณไร้เงา แม้แต่เงาก็ไร้ผู้พบเจอ
“ยอดเยี่ยม แบบนี้การเข้าถึงขั้นไร้เงาก็เป็นเรื่องของเวลาแล้ว” เมื่อมองไปยังทักษะของตัวเอง จูซ่งยกยิ้มด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี
หนิงเทียนใช้ระยะเวลาเรียนรู้ ทักษะก้าววิญญาณท่องนภา เพียงสามปีเท่านั้น แต่ก็บรรลุได้ถึงระดับเชี่ยวชาญ เรียกได้ว่าเกินความคาดหมายของมันไปมากแล้ว
ทุกพื้นฐานวิชา ไม่ว่าเป็นระดับใด บนพื้นที่ราบภาคกลางจะแบ่งความสำเร็จออกเป็น3ขั้น ‘พื้นฐาน เชี่ยวชาญและหลอมรวม’ แต่ถึงกระนั้นยังมีความจริงอยู่หนึ่งข้อ ยิ่งทักษะระดับสูงมากเพียงใด ความสำเร็จในการฝึกจะยากมากขึ้นตามไปด้วย
ในเวลาเดียวกัน ร่างกายใหญ่โตของอสรพิษเพลิงไม่หยุดความบ้าคลั่ง มันพุ่งเข้าใส่หนิงเทียนราวกับขุนเขาสูงใหญ่ถาโถมเข้าหา อสรพิษผู้โกรธแค้น ม้วนร่างของมันอย่างฉับพลัน ทันใดนั้นหางขนาดใหญ่กระแทกใส่ร่างของหนิงเทียนด้วยพลังทำลายอันมหาศาล
เด็กหนุ่มเอนร่างไปด้านหลัง เท้าปักหลักบนพื้นอย่างมั่นคง ครั้งนี้มันไม่ได้ตั้งใจจะหลบหนี หนิงเทียนเกร็งลมปราณภายในร่างออกมาด้วยทักษะกายาเทพอสูร กระแสปราณเอ่อล้นสร้างภาพของชุดเกราะปกคลุมไปทั่วร่างกาย จากนั้นมันใช้ตัวปะทะเข้ากับหางของอสรพิษร้ายที่ฟาดลงมา
เสียงดังลั่น สนั่นไปทั่วบริเวณ ตูมมมม!!!!!!
แรงกระแทกส่งหนิงเทียนถอยหลังไปถึงสามก้าว หากแต่เกราะลมปราณของมันยังปราศจากริ้วรอยใดๆแม้เพียงเศษเสี้ยว
“เรี่ยวแรงของอสูรลมปราณขั้นที่1 ไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับผู้ฝึกตนในดินแดนองครักษ์ขั้นสี่ได้ เป็นเพราะกายาเทพอสูรก็ฝึกถึงขั้นหลอมรวมแล้วเช่นกันสินะ!!!” อาการตกตะลึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจูซ่ง
ด้วยความเร็วของท่าเท้าอย่างก้าววิญญาณท่องนภาและความแข็งแกร่งทางกายจากกายาเทพอสูร ทำให้หนิงเทียนสามารถควบคุมสถานการณ์การต่อสู้เอาไว้ได้เกือบทั้งหมด หมัดขวาของมันพุ่งเข้าใส่ อสรพิษเพลิงอย่างรุนแรง ทุกๆครั้งที่หมัดของหนิงเทียนระดมชกไปที่ใด เสียงร้องครวญครางของอสรพิษเพลิงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทุกครั้งไป
อสรพิษเพลิงขู่คำรามด้วยความโกรธ มันไม่คาดคิดเลยว่ามนุษย์ที่เห็นเป็นเพียงเหยื่อกลับสามารถสร้างความเจ็บปวดให้แก่มันได้มากมายถึงเพียงนี้ หากย้อนเวลากลับไปได้ มันจะไม่เลือกไล่ตามมนุษย์ผู้นี้อย่างแน่นอน
“อย่าโทษข้า เป็นเพราะเจ้าตามรังควานพวกเราก่อน” หนิงเทียนปลดปล่อยจิตสังหาร จากนั้นมันโคจรพลังปราณทั้งหมดเข้าไปในหมัด ลมปราณสีทองบริสุทธิ์พวยพุ่งออกมาปกคลุมร่างกายทุกสัดส่วน
“แขนอสูรแปลงปราณขั้น1 ชน!!!” บัดนี้นี้ลักษณะของหนิงเทียนคล้ายกับหวงหลงผู้เป็นบิดาไม่ผิดเพี้ยน หมัดขวาตรงเคลื่อนที่ผ่านอากาศรวดเร็วดุจสายฟ้า ซัดเข้าใส่ร่างมหึมาของอสรพิษเพลิง
เปรี้ยงงง!!!!! เสียงลั่นของเส้นเอนบนกำปั้นปะทุออกมา ก่อนจะเกิดเป็นแรงระเบิดขนาดใหญ่
ตูมมมมมมม....กึ่งกลางหน้าผากของอสรพิษเพลิงพลันปรากฏรูขนาดเท่ากำปั้น ร่างอันใหญ่โตกระตุกถี่ ดวงตาสีแดงพลันมืดดับไร้สัญญาณแห่งชีวิต
หนิงเทียนย่างกรายเข้าไปใกล้ร่างไร้วิญญาณของอสรพิษเพลิง จากนั้นมันใช้สองมือฉีกร่างและควักแหล่งกำเนิดพลังของสัตว์อสูรออกมา
แก่นชีวิตของสัตว์อสูรระดับ1 แม้จะช่วยบ่มเพาะพลังให้กับหนิงเทียนได้ก็จริง แต่เมื่อเทียบกับทรัพยากรในตำหนักภูตทั้งห้าแล้ว แก่นชีวิตอสูรระดับ1 ไม่นับว่ามีค่าแต่อย่างใด ทว่าสำหรับหนิงเทียนแล้ว ถึงมันจะน้อยนิดก็ต้องการจะดูดซับพลังให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของทะเลลมปราณ เพราะนี้คือปณิธานการให้เกียรติแก่ชีวิตของศัตรู
“ท่านพ่อสี่พวกเรากลับตำหนักภูตสังหารกันเถอะ”
“เอ่อ.... อื้ม พวกเรากลับกันเถอะ” น้ำเสียงของบุตรชายปลุกให้มันตื่นจากภวังค์
ในแดนสวรรค์หวงตี้หรือทั่วพื้นที่ราบภาคกลาง แม้การต่อสู้ข้ามขั้นระหว่างมนุษย์และสัตว์อสูรจะยังมีความเป็นไปได้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่มีสติปัญญาสามารถที่จะฝึกทักษะต่อสู้ไปพร้อมกับทักษะบ่มเพาะได้ แตกต่างจากสัตว์อสูรที่ใช้เพียงพลังกำลังทางกายอย่างเดียว แต่ถึงอย่างนั้นการที่มนุษย์มีระดับบ่มเพาะต่ำกว่า จะสามารถใช้มือเปล่าฉีกกระชากร่างกายอันแข็งแกร่งของสัตว์อสูรได้เช่นนี้ ไม่คล้ายจะเกิดขึ้นให้เห็นบ่อยนัก
ป.ล. นิยายเรื่องนี้จบแล้วนะครับ คาดว่าจะอัพลงในthainovel ยันจบประมาณ7วัน ถ้าใครต้องการอ่านก่อน แนะนำกลุ่มFacebook พิมพ์ค้นหา WOE War of Emperor