ตอนที่ 28 เลือดในตึก(อ่านฟรี)
ตอนที่ 28 เลือดในตึก
หลังจากจัดการซอมบี้สองตัวในห้อง บอลแสงก็กวาดไปทุกทิศทางโดยที่คอนราดไม่ต้องสั่ง ทั้งห้องไม่ใหญ่มากนักดังนั้นเมื่อเห็นว่าไม่มีซอมบี้ซากศพอีกพวกเขาก็หันหน้าไปที่บันไดชั้นสองต่อ
“ทางนั้น” เรย์ควบคุมบอลแสงนำหน้าขึ้นบันไดไปก่อน
ฟาริสเดินตามบอลแสงขึ้นไป
ในตอนนั้นเองซอมบี้ซากศพเน่าเหม็นตัวหนึ่งก็พุ่งออกมาจากชั้นสอง ปากของมันอ้ากว้างหมายจะกัดฟาริส แต่ความเร็วของฟาริสนั้นไม่ได้น้อยกว่าซอมบี้ซากศพ
ฟาริสใช้หมัดอัปเปอร์คัตต่อยเข้าไปที่ปลายคางของซอมบี้ซากศพอย่างรุนแรง เลือดของซอมบี้แตกกระจายจากปลายคางและปาก ร่างของมันกระเด็นลอยหลายหลังกลับขึ้นไปยังประตูทางขึ้นชั้นสอง
“อ้า...อ๊ากก..”
ซอมบี้ซากศพไม่ได้โดนน็อคเอาน์ มันยังสามารถลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางแปลก ๆ ได้ หัวของซอมบี้ซากศพหักไปข้างหลัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากระดูกคอของมันหักฉีกไปตามแรงของหมัด
มันใช้แรงจากช่วงอกงอตัวและตวัดหัวกลับมาด้านหน้าดังกึก! หัวของมันกลับมาเข้าที่ แต่ปลายคางตรงที่โดนฟาริสต่อยไปมันแตกละเอียด เหลือแต่ขากรรไกรด้านบนและลิ้นที่ตวัดขึ้นลงอย่างไร้จุดหมายเท่านั้น
เลือดและเศษเนื้อไหล แปะ ๆ ลงพื้น
ซอมบี้ซากศพดูเหมือนจะไม่สามารถควบคุมร่างของมันได้ดีพอ มันเดินชนไปมาตามกำแพงดัง ปึงปัง! ด้วยพละกำลังที่มีมากกว่าคนธรรมดาพอสมควร
แต่โชคร้ายที่ซอมบี้ซากศพตัวนี้ได้มาเจอกับฟาริส ผู้ใช้พลังกายภาพระดับ 4 ที่ชำนาญในศิลปะการต่อสู้ ซอมบี้ที่ความแข็งแกร่งอยู่ราว ๆ ระดับ 1-3 จงไม่อาจจะสู้กับฟาริสได้แม้แต่น้อย
ฟาริสเคลื่อนเข้าหาด้วยความเร็วและทิศทางที่ซอมบี้ไม่อาจจะคาดเดาเพื่อประชิดตัวของมัน ก่อนที่มีดสนับมือของฟาริสก็ปักเข้าไปที่หัวของซอมบี้ทำลายสมองของมันไปในทันที
ซอมบี้ที่สมองโดนทำลายก็ตายในทันทีล้มลงนอนกับพื้น ใช้เวลาไม่ถึง 5 วินาทีตั้งแต่มันจู่โจมฟาริสก็จัดการมันอย่างง่ายดาย โดยที่ยังไม่ได้ใช้ดาบคาตานะบนหลังเลยแม้แต่น้อย
ทั้งคอนราด โบเวนและเรย์ขึ้นมายังชั้นสอง มองฟาริสที่จัดการซอมบี้ไปแล้ว จึงหันไปสนใจทางด้านในชั้นสองแห่งนี้
ที่ชั้นสองบรรยากาศดูปั่นป่วนสูงกว่าที่อื่นแสดงให้เห็นว่ามีรอยแยกมิติอยู่ที่นี่
ด้านข้างรอยแยกมิติยังมีซอมบี้ซากศพอีกสามตัวที่ร้องคำรามครวญครางในลำคอตรงมาหาพวกเขา ซอมบี้พวกนี้คือซอมบี้ซากศพเฝ้ารอยแยกมิติ
“ฆ่า” คอนราดลงมือหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดดัง ฟรึบ! เปลวไฟลอยออกจากไฟแช็กโลหะสีเงินมันวาวพุ่งเบาซอมบี้ซากศพตัวหนึ่งในทันที
โบเวนควงมีดในมือเคลื่อนเข้าหาซอมบี้เช่นกัน ฟาริสก็พุ่งตรงเข้าหาซอมบี้อีกตัวพร้อมกับดาบคาตานะ ส่วนเรย์นั้นเขาเฝ้าระวังรอยแยกเพราะอาจจะมีซอมบี้ออกมาอีก
ทั้งสามคนจัดการซอมบี้ซากศพอย่างง่ายดาย
“ปิดรอยแยกมิติกันก่อน แล้วค่อยขึ้นไปที่ชั้น 3” คอนราดกล่าวขณะที่เดินเข้าไปใกล้รอยแยกมิติ เรย์มองไปที่รอยแยกมิติ ถ้าเขาสามารถเข้าไปตอนนี้ก็อาจจะหาพ่อกับแม่เจอ
แต่เรย์รีบส่ายหัวทิ้งความคิดนั้นไปในทันที
ถ้าเข้าไปในรอยแยกเราจะตายก่อนได้ตามหาพ่อกับแม่...เรย์เตือนสติตัวเอง
คอนราดจัดการปิดรอยแยกอย่างรวดเร็ว รอยแยกมิติที่พวกเขาเจอเป็นเพียงระดับ 0 ที่ต่ำที่สุดเท่านั้น จึงมีซอมบี้ออกมาแต่ 7-8 ตัวเท่านั้น
ซอมบี้ที่เหลือเป็นพวกที่โดนซอมบี้เล่นงานในบ้านตึกแถวหลังนี้
หลังจากจัดการรอยแยกมิติเสร็จพวกเขาก็ขึ้นมาถึงชั้นสามของตึก
ตึก ๆ ๆ
คอนราดสั่งทีมให้หยุดในทันที ด้านในห้องบนชั้นสามมีเสียงฝีเท้าเดินไปมา มันเบามาก แต่ก็ไม่มีเสียงร้องครวญครางอย่างที่ควรจะเป็น
“เปิดประตู”
ประตูค่อย ๆ เปิดออกเผยให้เห็นเด็กสองคนที่แต่งกายด้วยชุดเก่าขาดสีเทา คนหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงมัดผมเปีย อีกคนเป็นเด็กผู้ชายตัดผมสั้นติดหัว
เด็กทั้งสองกำลังเดินไปมาอย่างไร้จุดหมาย สีหน้าดูเหม่อลอยดวงตาหลับสนิท เด็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 และเด็กผู้ชายอายุราว ๆ 7-8 ขวบเท่านั้น
“เฮ้...หนูพวกเธอนะ” โบเวนเรียกทั้งสอง แต่ไม่มีการตอบสนอง ฟาริสชี้ให้เห็นว่าที่ขาของเด็กสาวมีรอยโดนกัด ส่วนหัวไหลของเด็กชายเนื้อหายไปจุดหนึ่ง
เรย์ยกมือวาดออกไปเบา ๆ ส่งบอลแสงรอยเข้าไปในห้อง เผยให้เห็นสีหน้าของเด็กทั้งสอง ทั้งสองคนมีสีผิวซีดราวกับซากศพ
“ซอมบี้ซากศพเด็ก” คอนราดที่เห็นก็ถึงกับมีสีหน้าเคร่งเครียดและจัดการสังหารมันในทันที
“ซี่...อ๊ากก...” ซอมบี้ร้องออกมา เพราะทั้งสองตัวโดนคอนราดเผาจนตายเป็นศพหงิกงอ ที่จริงคอนราดสามารถเผาจนมันกลายเป็นเถ้าถ่านไป แต่เขายังต้องเก็บเลือดสีขาวดังนั้นจึงต้องออมมือไว้บางส่วน
“หัวหน้าเป็นอะไรหรือเปล่า” เรย์หันไปถามด้วยความสงสัยเพราะที่ผ่านมาคอนราดไม่เคร่งเครียดขนาดนี้
“ซอมบี้ซากศพเด็กอันตรายมาก เพราะมันถ้าเกิดมันกลายร่างต่อไปมันจะกลายเป็นพวกที่น่ากลัวได้ จัดการศพของซอมบี้สองตัวนี้ก่อน ทำลายหัวของมันด้วย” คอนราดย้ำกับพวกเขา ก่อนจะเดินลงไปชั้นล่าง
“ฉันจะไปจัดการกับพวกที่ชั้นแรก” ฟาริสกล่าวจบก็เดินลงตามหลังคอนราดไป
ขณะที่เรย์และโบเวนช่วยกันเก็บเลือดสีขาวอยู่นั้น เรย์หันมาหาโบเวนและถามด้วยความสงสัย “กลายร่างเป็นพวกน่ากลัวนี่หมายถึงซอมบี้ประเภทไหน”
“ซอมบี้ซากศพเด็กนะเหรอ มันเกี่ยวกับเรื่องเล่าในหน่วยงานนักล่าความตายเมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงแรก ๆ ที่ฉันเข้ามาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยล่ะนะ ตอนนั้นเล่ากันว่ามีหน่วยงานนักล่าความตาย ประจำสาขาเมืองอูลัน พวกเขาเจอกับซอมบี้ซากศพเด็กที่กำลังกลายร่างจากซอมบี้ซากศพน่ากลัวชนิดหนึ่ง พวกเขาเรียกมันว่า ‘ซอมบี้เสียงกระซิบ’ ระดับพลังของมันสูงมากจนน่ากลัว มันฆ่าหน่วยงานนักล่าความตาย สาขาอูลัน จากนั้นทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยซอมบี้ ถ้าเกิดซอมบี้เด็กกลายร่างเป็นพวกซอมบี้เสียงกระซิบได้รับรองว่าทั้งเมืองเรซีจบสิ้นแน่”
เรย์ได้ยินว่าแค่ซอมบี้เสียงกระซิบสามารถทำให้ทั้งเมืองเรซีพินาศได้ก็ถึงกับคิ้วขมวดชนกันทันที
“นายไม่ต้องกลัวมากนักหรอก อันที่จริงมันตัวเดียวไม่สามารถทำลายแค่เมืองได้หรอก แต่มันยากจะฆ่าหรือหาตัวเจอได้ง่าย เพราะพวกมันหลบซ่อนตัวเก่ง และพอคนที่โดนกัดก็จะติดเชื้อและกลายร่างเป็นซอมบี้ อีกทั้งพวกมันจะไล่ฆ่าผู้คนทำให้ทั้งเมืองติดเชื้อ ซึ่งถ้าฆ่ามันไม่ได้ก็จะมีคนติดเชื้อเป็นซอมบี้มากขึ้นเรื่อย ๆ อันนี้แหละที่ทำให้ทั้งเมืองพินาศจริง ๆ”
“และถึงจะน่ากลัว แต่ใช่จะเจอกับซอมบี้เสียงกระซิบง่าย ๆ อาจจะต้องใช้ศพเด็กซักหลายพันกว่าจะมีซอมบี้เสียงกระซิบสักตัวและซอมบี้ซากศพเด็กพวกนั้นต้องการจะพัฒนาไปเป็นซอมบี้เสียงกระซิบ พวกมันต้องกินเลือดเนื้อจำนวนมาก”
“แล้วหลังจากนั้นที่เมืองอูลันเกิดอะไรขึ้น”
“มันโดนระเบิดเผาทั้งเมืองหายไปจากอาณาจักรลัวอาและไม่มีใครยากหรือพูดถึงมากนัก ส่วนซอมบี้เสียงกระซิบหนีกลับไปในรอยแยกมิติและหายไป”
เผาทั้งเมืองแต่ซอมบี้เสียงกระซิบยังหนีไปได้...เรย์ไม่อาจจะจินตนาการความแข็งแกร่งของมันได้
“รีบเก็บเลือดสีขาวกันเถอะ” โบเวนผ่าร่างของซอมบี้ซากศพ
ซอมบี้ซากศพเด็กทั้งสองพึ่งจะกลายร่างดังนั้นจึงไม่มีเลือดสีขาว ส่วนศพอีก 3 ศพที่ชั้นล่างก็เหมือนกัน ดังนั้นจึงมีศพซอมบี้เพียง 11 ศพเท่านั้นที่ออกมาจากในรอยแยกที่มีเลือดสีขาว
เรย์และโบเวนลงมือเก็บเลือดสีขาวและก็ลงไปช่วยฟาริสเก็บที่ชั้นล่างต่อ
...
หลังเขาเลือดสีขาวทั้งหมดได้แล้ว พวกเขาก็กลับขึ้นรถและขับออกไปจากบ้านตึกแถว โดยปล่อยให้ผู้กองฟินทันเข้าไปจัดการเคลื่อนย้ายศพต่อไป
ขณะเดียวกัน ตำรวจสามนายที่ฟินทันสั่งให้ไปไล่นักข่าวที่ขึ้นไปยังตึกฝั่งตรงข้ามก็คนหนาทุกชั้น แต่ยังไม่หเจอกับนักข่าวกลุ่มนั้น
“เอายังไงดีหาต่อไหม”
“หาต่อไป พวกเราปิดทางเข้าออกไว้ นักข่าวพวกนั้นน่าจะยังอยู่ในตึก”
“หึ ถ้าพ่อคนนี้จับได้จะฟาดด้วยกระบองให้เข็ดเลย”
“ไปดูชั้นสามกัน”
ตำรวจทั้งสามนายพูดออกมาด้วยความหงุดหงิด พวกเขาส่องไฟฉายไปในตึกมืด ๆ ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว ภายในอาคารที่อยู่อาศัยแบบนี้ที่ไม่ค่อยมีหน้าต่างจึงมืดทึบเป็นธรรมดา
เมื่อมาถึงหน้าบันไดทางขึ้นชั้นสามพวกเขาก็ก้าวขึ้นไปอย่างระวัง เสียงฝีเท้าดังสะท้อนไปทั้งตึก ตำรวจทั้งสามนายรู้สึกเสียวสันหลังแปลก ๆ
“รู้สึกอะไรไหม มันเงียบแปลก ๆ แถมมีกลิ่นคาวด้วย”
“มันไม่มีใครในตึกจึงดูเงียบ ๆ แหละมั้ง ส่วนกลิ่นคาว ๆ คงมาจากกลิ่นเหงื่อของพวกคนงานก็ได้ พวกเขาพักที่นี่ก็ต้องมีกลิ่นอยู่ที่นี่เป็นธรรมดา” หนึ่งในตำรวจพูดพร้อมกับให้เหตุผล อันที่จริงแล้วทุกคนได้กลิ่นและรู้สึกเหมือนกัน
“เดิน...รีบเดินขึ้นไปดูกันก่อนเถอะถ้าช้าเดียวผู้กองเล่นงานเราแน่” ตำรวจนายที่กล่าวแทรกตัวมาด้านหน้า ยกกระบองชี้นำไป ก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“เฮ้ย!” พอเท้ากำลังจะพ้นบันไดไปถึงทางเดิน ตำรวจที่นำหน้าก็รีบหันไปมองทางซ้ายมืออย่างราวกับกำลังตกใจบางอย่าง
“เชี่ย...เป็นอะไรวะ” ตำรวจอีกสองนายที่ตามหลังมาตกใจหันไปมองอย่างระวังถามด้วยเสียงสั่น ๆ ไฟฉายในมือส่องไปยังทุกทิศทางเพราะกลัวว่าจะพลาดอะไรไป
“เออ..เปล่า ฉันพึ่งนึกขึ้นได้ ทำไมไม่เปิดสวิตช์ไฟ” ตำรวจนายนั้นพูดออกมาเหมือนพึ่งนึกอะไรได้
“ไอ้เวรนี่ เล่นวะกลัวจนขี้หดตดหายหมด” ตำรวจอีกสองนายมองตาขวาง
“ขอโทษที” ตำรวจที่นำหัวเราะกลบเกลื่อน
“ไม่ใช่ไฟมันดับ เพราะไฟในตึกหลังนั้น มันลัดวงจรหรือไง”
“เปล่า! ไฟมันดับเฉพาะอีกเส้นหนึ่ง ฝั่งนี้ใช้ไฟอีกคนละสายกัน แล้วก็ทั้งตึกที่ไฟดับคงเป็นพวกนักข่าวเหล่านั้นที่ตั้งใจปิดเพื่อไม่ให้เราเห็นพวกเขา” ตำรวจที่ขึ้นมาคนแรกเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟข้าง ๆ ทางเดิน
หลอดไฟตามทางเดินกะพริบสองสามครั้งก่อนจะติด มันสว่างเพียงพอให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่แล้วในตอนนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่ามันแปลก ๆ
“ทำไมที่พื้นถึงมีน้ำอะไรแดง ๆ อยู่ด้วย”
“ไม่ใช่น้ำนี่มันเลือด”
ทั้งสามรีบวิ่งมาที่ห้องเจ้าปัญหาที่เลือดไหลออกมาตามช่องใต้ประตู
ปัง!
พวกเขาถีบประตูเข้าไปในทันที ก็เจอเข้ากับภาพสยอง มีศพของมนุษย์ถูกฉีกแขนขากระจับกระจาย ยากจะแยกออกว่าใครเป็นใคร
แต่ถ้าดูจากหัวศพจะรู้ได้ทันทีว่ามีสามคน ชายสองคนหญิงหนึ่งคน ดวงตาที่หัวพวกนั้นหายไป ส่วนทางศพผู้หญิงเหมือนกับถูกตัดออกไป โดยเฉพาะช่วงตัวมันถูกเลาะเอาออกไปอย่างมืออาชีพ
“ไป...ไปแจ้งผู้กองเร็วเข้า” หนึ่งในตำรวจคนแรกที่เข้าถึงศพกล่าวด้วยเสียงสั่น ๆ
“ได้ ๆ” ตำรวจหลังสุดพยักหน้าวิ่งออกไปในทันที
ส่วนอีกสองคนนั้นไม่สามารถไปได้เพราะพวกเขาต้องเฝ้าศพไว้
“ดูข้าง ๆ นั้น” ตำรวจอีกนายชี้ไปข้าง ๆ มีกล้องตกอยู่ในกองเลือดและเศษเนื้อสองเครื่อง
“พวกนี้คือนักข่าวที่เราตามหา ใครกันที่ฆ่าพวกเขาแบบนี้” พอพูดถึงประโยคนี้ทั้งสองก็มองไปรอบ ๆ อย่างระวัง โชคดีที่ว่าพวกเขาไม่เจอใครอีก