ตอนที่ 22 คำขอร้อง1
ซิตู่เปิดปากขึ้น “นายน้อยเฟย ท่านมาดูการต่อสู้ของเหล่าขยะเช่น ไม่เป็นการเสียเวลาเปล่าหรือขอรับ”
“เจ้าคิดเสียว่าเรากำลังดูการแสดงปาหี่ จะได้ไม่เบื่อ”น้ำเสียงของซิเฟยปราศจากความรู้สึกใดๆ
“ทักษะบ่มเพาะของพวกเราไม่อาจแพร่งพายให้ขยะพวกนี้ได้รู้ และอีกอย่างโสมอายุวัฒนะเป็นสิ่งที่ท่านหัวหน้าให้เรานำไปมอบให้แก่เจ้าเมืองฉางผิง
ถ้าท่านเอามารางวัลแก่ผู้ชนะ แล้วเราจะให้คำตอบแก่ท่านหัวหน้าอย่างไร” ซิตู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังซิเฟยกล่าวด้วยความกังวล มันไม่รู้ว่าเหตุใดนายน้อยของมันต้องเมตตาขยะเหล่านี้ด้วย
“ไม่มีผู้ใดจะได้เรียนรู้ทักษะบ่มเพาะของเผ่าเราและของต้องส่งถึงเมืองฉางผิงอย่างแน่นอน เจ้ารอดูเรื่องสนุกๆต่อไปเถอะ”
“การประลองคู่ที่4 ปี้ยี่ และ ปี้จู ก้าวขึ้นมาบนเวที” ซิตู่ตะโกนเสียงดัง
“ปี้ยี่ เจ้าอย่าได้หักโหมเกินไป” เสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของปี้เหยาตะโกนมาจากด้านล่างเวที
“ฮ่าๆอัดให้มันเละเลย ปี้จู” เสียงของปี้ซิงตะโกนออกมาจากด้านหลังของปี้ฟานแววตาของปี้ฟานเต็มไปด้วยความดูถูก
‘ขยะเช่นนี้ไม่สมควรแม้แต่จะยืนอยู่บนเวที นายน้อยเฟยช่างตาถั่วเหลือเกิน’
อัดมันให้เละ เสียงตะโกนของผู้เยาว์ทั้งหมด เชียร์ปี้จู ไม่มีแม้แต่คนเดียวในหมู่ผู้เยาว์จะส่งเสียงเชียร์ปี้ยี่
“ปี้ยี่ถ้าเจ้าคุกเข่าลงหมอบกราบข้าและคลานลงไปจากเวที ข้าจะยอมเหลือขาไว้ให้เจ้าเดิน มิเช่นนั้นข้าจะหักแขนและขาของเจ้าให้หมด” มันพยามจะเน้นคำว่า คุกเข่า กราบข้าและคลานลงให้ดังเป็นพิเศษ
“ตกลง” ปี้ยี่กล่าวด้วยเสียงอ่อน หน้าตาของมันซีดขาว ท่าทีมั่นใจเมื่อครู่หายไปหมด
เมื่อเผชิญหน้ากับปี้จูนั้น ปี้ยี่ทำตัวเหมือนกับพวกเศษสวะที่ขี้ขลาดและก้มหน้าพูดว่า 'ตกลง' เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ผู้คนที่มองอยู่ผิดหวังทันที
“ทำไมหมู่บ้านข้าถึงมีผู้เยาว์ที่ขี้ขาดเช่นนี้” เสียงดังมาจากกลุ่มฝูงชนที่กำลังมองดูการประลอง
แม้แต่ปี้จูยังยิ้มเยาะเย้ยและอดไม่ได้ที่จะก่นด่าว่าขี้ขลาดออกมา เพียงแค่มันขู่เล็กน้อยไอ้ขยะนี้กับก้มหน้ายอมรับทันที
ปี้เหยานั้นดวงตาเธอเปิดกว้างและสายตานั้นแสดงให้เห็นว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามปี้ยี่ที่ทำตัวขี้ขลาด ไม่นานหลังจากที่ มันพูดว่า ตกลง
จู่ๆก็ขยับตัวของเขา และชกไปที่หัวของปี้จูอย่างรุนแรง จากนั้นมันก็พูดว่า “ข้าล้อเล่น”
“…..”
ความเงียบเข้าปกคลุมทุกคนในหมู่บ้าน ไม่มีใครเปล่งเสียงใดๆออกมาราวกับพวกมันกำลังตกตะลึงกับภาพที่เห็นอยู่
พวกมันทุกคนนั้นรู้จักปี้ยี่ดี เขาเป็นเด็กที่ไม่มีเล่ห์กลใดๆ และไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ปี้ยี่จะใช้วิธีนี้ลอบโจมตีปี้จู
ปี้ยี่มองไปยังปี้จู ที่บัดนี้หัวของมันปูดบวมเพราะหมัดของเขา แววตามีประกายความมั่นใจ ขึ้นมาทันที แต่ก่อนปี้ยี่นั้นเป็นเด็กที่ไม่มั่นใจอย่างมาก แม้แต่ตอนโดนกลั่นแกล้งก็ทำได้เพียงวิ่งหนีเท่านั้น
‘ซ่อนดาบบนรอยยิ้ม’ คำพูดที่พี่ชายหนิงบอกข้าเป็นเรื่องจริง ทำให้ศัตรูชะล่าใจไม่ระวังตัว จึงจู่โจม ช่างเป็นทักษะต่อสู้ที่เรียบง่ายจริงๆ
‘เมื่อเจ้าต่อยศัตรูได้สักหมัด ความไม่มั่นใจของเจ้าก็จะหมดไปละนะ’ ปี้ยี่นึกถึงคำพูดที่หนิงเทียนกระซิบกับมันก่อนจะจากไป
“สารเลว เจ้ากล้าลอบกัดข้า” ปี้จูยันตัวลุกขึ้นยืน ตอนนี้สติของมันยังมึนงงจากแรงหมัดของปี้ยี่
สำหรับพวกปี้ฟานที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านล่าง พวกมันล้วนตกตะลึงกับการตอบโต้ของปี้ยี่อย่างมาก นี้เจ้าขยะนั้นกล้าเล่นลูกไม้
“ไอ้ขี้ขลาดปี้ยี่”
“สารเลวตัวนี้กล้าเล่นลูกไม้”
“ฆ่ามันพี่ปี้จู”
เสียงก่นด่าจากผู้เยาว์ด้วยกัน ดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน
ปี้ยี่ไม่ได้สนใจคำพูดใดๆของพวกมัน ‘ถ้าข้าละทิ้งโอกาสทองเช่นนี้ข้าคงจะกลายเป็นตัวโง่งมตามที่พวกเจ้าทุกคนด่า’
เมื่อมันสังเกตเห็นปี้จูยังมีอาการมึนงงอยู่ มันพุ่งตัวเข้าไประดมหมัดใส่ปี้จูอย่างหนัก
ปี้จูจะพยามปัดป้องสุดชีวิต แต่อย่างไรพวกมันทั้งคู่ยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ปี้ยี่เองก็ยังไม่ได้มีประสบการณ์ต่อสู้ถึงขนาดใช้ช่องว่างในการลอบโจมตีเปลี่ยนมาเป็นผลแพ้ชนะได้
ถึงแม้ปี้ยี่นั้นจะได้ทานน้ำผึ้งหยกเย็นก็ตามแต่มันยังเร็วเกินไปที่จะกลายเป็นผู้ฝึกตนถ้ามีเวลามากกว่านี้อีกสัก4-5วัน มันสามารถล้มปี้จูได้ภายในหมัดเดียวอย่างง่ายดาย
แต่ด้วยความแข็งแกร่งที่ยังไม่สมบูรณ์ของปี้ยี่ ปี้จูเริ่มจะประครองได้สติขึ้นมาได้ ดวงตาของมันแดงฉาน มันคำรามด้วยความโกรธ
“ปี้ยี่เจ้าขยะ ข้าจะฆ่าเจ้า” มันพลางหยิบมีดขึ้นมา และพุ่งใส่ปี้ยี่อย่างรวดเร็ว
ปี้ยี่นั้นตกตะลึงและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เกิดมามันพึ่งเคยได้รับประสบการณ์จากการต่อสู้กับอาวุธคร่าแรก
มันแตกต่างจากการใช้มือและเท้ามากนัก ถ้าพลาดเพียงนิดเดียวนั้นหมายถึงชีวิต
เมื่อมีดในมือของปี้จูที่กำลังใกล้เข้ามา มันส่งผลให้ร่างกายของปี้ยี่แข็งทื่อคล้ายกับโซ่ตรวนขนาดยักษ์ล่ามขาของมันไม่ให้ขยับ
“ปี้ยี่ระวัง” เสียงมารดาของมันที่ตะโกนออกมา คล้ายกับพรวิเศษที่ทำลาย โซ่ที่ลามขาไม่ให้มันขยับ ปี้ยี่พยามที่จะบิดตัวหลบ
ในขณะที่มีดของปี้จูแทงไปที่แขนของมัน เลือดสดๆไหลตามแขนของมันล่วงลงสู่พื้นดินอย่างน่ากลัว
เสียงกรีดร้องของฝูงชนดังขึ้นเมื่อเห็นเลือดที่ไหลอาบแขนของปี้ยี่ อย่างไรก็ตามพวกมันนั้นเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ไม่มีใครคนอยากเห็นการนองเลือดเช่นนี้
“ท่านซิตู่การต่อสู้นี้ ไม่ใช่ห้ามให้มีการใช้อาวุธ” ปี้เหยาตะโกนอย่างร้องอย่างลนลาน
ซิตู่ มองไปยังเบื้องล่างลานประลอง มันตอบกลับอย่างไม่แยแส ข้าพูดไปเมื่อไรว่าห้ามใช้อาวุธ เมื่อผู้เยาว์ในหมู่บ้านเจ้าต้องการฆ่ากันเอง ตัวข้าเป็นเพียงคนนอกจะเข้าไปยุ่งได้อย่างไร
ทุกคนในหมู่บ้านที่มองดูการประลองตะโกนออกมาอย่างโมโห
“ปี้จูนี้เป็นแค่การประลองเหตุใดถึงต้องใช้อาวุธ”
“ใช้แล้ววางอาวุธลงเถอะ แค่เพียงการประลองอย่าได้ถึงกับฆ่าแกงกันเลย”
เสียงของผู้คนตะโกนขึ้นเสียงดัง แต่นั้นมิได้เข้าไปในหูของปี้จูเลย บัดนี้มันโกรธแค้นที่ถูกขยะอย่างปี้ยี่ต่อยจนไม่ฟังเสียงรอบข้างแล้ว
ปี้ยี่ ฉีกแขนเสื้อของมันมามัดที่ปากแผลห้ามเลือดเอาไว้ ตาทั้งสองจับจ้องไปยังปี้จู และพูดออกมาเบาๆ “ข้าไม่แพ้คนขี้ขลาดเช่นเจ้าแน่”
ปี้จูที่โกรธจนไม่ได้ยินเสียงตะโกนของรอบข้าง แต่ด้วยเสียงพูดเบาๆของปี้ยี่นั้นมันกับกระทบเข้าไปโสดประสาทของปี้จู
‘ข้าไม่แพ้คนขี้ขลาดเช่นเจ้า ข้าไม่แพ้คนขี้ขลาดเช่นเจ้า’ เสียงของปี้ยี่ดังก้องในหูมันซ้ำๆ
อ้ากกกกไอ้ขยะ ปี้จูพุ่งใส่ปี้ยี่อย่างคลุ้มคลั่งอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ปี้ยี่ไม่ได้หลบอย่างใด
มีดเล่มนั้น ห่างจากปี้ยี่เพียงไม่กี่เซนเท่าไร ทุกคนมองไปด้วยความความกลัว เกรงว่าปี้ยี่นั้นจะต้องตายเสียแล้ว
ปี้เหยา ตะโกนออกมา “หนีไป” เวลานี้มันไม่มีคำพูดใดๆที่คิดออกแล้วนอกจากคำว่าหนีไป
ในช่วงเวลาที่ความเป็นและความตายอยู่ตรงหน้าให้ตัดสินใจ
ดวงตาของปี้ยี่นั้นจับจ้องไปยังมีดในมืออย่างไม่กระพริบ มันยกเท้าขึ้นมาเตะสวนจากด้านล่างขึ้นด้านบน
มีดในมือของปี้จูกระเด็นออกไปนอกเวทีประลอง จากนั้นมันชกหมัดขวาออกไปอย่างรวดเร็ว
ปี้ยี่รู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างเคลื่อนตัวจากไหลขวาไปสู่นิ้วมือทั้งห้าของมันที่กำแน่นอยู่ หมัดขวาของมันกระทบกับหน้าอกของปี้จู
ปัง!!! ร่างอันไร้สติของปี้จูลอยออกนอกเวทีประลองไปนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นดิน
ซิตู่ที่เป็นกรรมการอยู่นั้น ดวงตาของมันหดแคบลง ‘เด็กน้อยนี่ใช้ลมปราณได้’
เส้นแบ่งของดินแดนมนุษย์ขั้นที่2กับมนุษย์ธรรมดานั้นคือลมปราณ ผู้ที่สัมผัสได้ถึงลมปราณเท่านั้นถึงจะถูกเรียกว่าผู้ฝึกตน
‘ความรู้สึกแปลกๆนี้คืออะไร? ปี้ยี่ยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่มันได้กระทำไป
ทั่วทั้งลานประลองตกอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง ไม่มีใครกล่าวอันใดออกมา ไม่มีใครจะเชื่อว่าเด็กอ่อนแออย่างปี้ยี่จะชนะปี้จูได้
“สารเลว!!” ปี้ฟานคำรามออกมา เจ้ากล้าทำร้ายพี่น้องของข้า มันกระโดดขึ้นเวทีไปหมายจะเอาเรื่องปี้ยี่ให้ได้
“หยุด” เสียงตวาดลั่นออกมาจากปากของซิเฟย “พวกเจ้าเห็นกฎที่ข้าตั้งเป็นอันใด”มันมองไปที่ปี้ฟานอย่างจงใจ
ปี้ฟานหยุดอยู่กับที่ในทันที มันไม่กล้าขยับไปเอาเรื่องปี้ยี่แม้แต่ก้าวเดียว ใบหน้าของมันซีดลงพร้อมทั้งอาการตัวสั่นด้วยความกลัว “ข้าขออภัยนายน้อย”
ซิเฟยมองไปที่ปี้ยี่ ด้วยความแปลกใจ “เนื่องจากปี้ยี่ได้รับบาดเจ็บ ข้าจะให้เวลาพัก1ชั่วยามค่อยกลับมาประลองในรอบ2” เสียงประกาศของมันนั้นถือว่าเป็นกฎ
ปี้ฟานไม่พอใจอย่างมาก ที่ซิเฟยทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังช่วยเหลือเด็กเหลือขออย่างปี้ยี่อยู่ “นายน้อยเฟยแต่ว่า...” ยังไม่ทันกล่าวจบประโยค
เสียงคำรามต่ำแฝงโทสะของซิเฟยดังขึ้น “เจ้าต้องการโต้แย้ง?”
“มมม...ไม่มีอะไรขอรับ” มันลืมกลืนคำพูดลงไปในคอทันที
ซิเฟยหันไปกล่าวบางอย่างแก่ซิตู่พร้อมทั้งตะโกนขึ้น
“ข้าจะให้เวลานักสู้ผู้เยาว์พัก1ชั่วยามและเพื่อป้องกันไม่ให้มีการทำร้ายกันระหว่งประลอง ข้าขอสั่งห้ามใครหน้าไหนออกจากลานประลองแห่งนี้เด็ดขาด”
…
…….
ในขณะเดียวกันภายในห้วงมิติอนันตเวคี มหาสมุทรที่บรรจบกับท้องฟ้า สะพานทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูตา ไม่รู้ว่าวันเวลาผ่านไปนานเพียงใด
หนิงเทียนนอนอยู่บนเตียงหยก ร่างของมันถูกปกคลุมไปด้วยลมปราณสีทอง มันอยู่ในสภาพนี้มาตลอดเวลา
พลังปราณสีทองลอยล่องอยู่เหนือศีรษะ ด้านข้างมันปรากฏร่างของบุรุษร่างกายใหญ่และมนุษย์ตัวเล็กมีปีก
มันทั้งคู่ตรวจบาดแผลของหนิงเทียนอย่างระมัดระวัง ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“เขาปลอดภัยแล้ว” ราชาแห่งภูตกล่าวออกมาด้วยความสบายใจ
“เฒ่าอู๋ พวกเราจะทำอย่างไรเมื่อเขาฟื้นขึ้นมา” น้ำเสียงของกิเลนในร่างมนุษย์นั้นวิตกเป็นอย่างมาก
“หึ….เป็นปัญหาของเจ้าแล้วเฒ่าซาน ในเรื่องนี้ข้าไม่เกี่ยวแม้แต่น้อย”เวลานี้มันปัดความผิดทั้งหมดไปให้สหายของมันอย่างสมบูรณ์แบบ
ในขณะที่กิเลนในร่างมนุษย์กำลังจะเอ่ยปากโต้เถียงสหายของมัน เวลานั้นเองดวงตา
ของหนิงเทียนกระตุกเล็กน้อยก่อนจะเปิดอย่างช้าๆ ร่างกายของมันไม่มีส่วนใดที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด
หนิงเทียนพยามขยับตัวมันรู้สึกว่าแม้มันจะเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่ร่างกายของมันยังพอเคลื่อนไหวได้อย่างไม่ติดขัด
หนิงเทียนขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “พวกเจ้าช่วยข้า”
“มนุษย์ตัวน้อย เป็นข้าเองที่ผิดไปหลงเชื่อคำพูดของเผ่าพันธุ์ชั่วร้าย ยกโทษให้แก่ข้าด้วย” กิเลนในร่างมนุษย์กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
เมื่อได้ยินสหายของมันกล่าวคำว่าเผ่าพันธุ์ชั่วร้ายมุมปากของราชาภูตกระตุกทันที เห็นได้ชัดว่ามันกำลังโดนสหายของมันกำลังหลอกด่าอยู่
หนิงเทียนมองไปยังบุรุษร่างกายใหญ่โต “ยกโทษ?” มันรู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
มันนั้นจำภูตบัดซบตัวนี้ได้ดี แต่กับบุรุษร่างใหญ่ข้างๆนั้น มันแน่ใจว่าไม่เคยเจอมาก่อนแต่อย่างใด
“ใช่แล้ว เป็นข้าที่วู่วามทำร้ายท่านเอง” กิเลนในร่างมนุษย์กล่าวโทษอีกเป็นครั้งที่สอง
“หรือว่า!!!!...เจ้า...เจ้าคือกิเลนตัวนั้น” ดวงตาของหนิงเทียนเบิกกว้าง
มันนึกถึงคำพูดของท่านแม่มันขึ้นมา ‘อสูรปีศาจนั้นสามารถพูดภาษามนุษย์ได้มีเพียงอสูรสวรรค์เท่านั้นที่จำแลงกายเป็นมนุษย์’
อสูรสวรรค์....กิเลนตัวนี้เป็นอสูรสวรรค์ มันได้แต่พยักหน้ารับคำช้าๆโดยมิได้กล่าวอันใดออกมา มันรู้สึกเกินกว่าจะมีคำพูดใดๆออกมาในตอนนี้‘…...’
“ฮ่าฮ่าๆ มนุษย์ตัวหอมเจ้าฟื้นแล้ว ราชาผู้นี้กับเฒ่าซานจะได้สบายใจขึ้น”
ในตอนนี้มันเปลี่ยนคำเรียกหนิงเทียนจากมนุษย์ตัวเหม็นกลายเป็นมนุษย์ตัวหอม เวลานี้ต่อหน้าหนิงเทียนนั้นความหยิ่งยโสของราชาแห่งเผ่าภูตอันตรธานหายไปหมด
“มนุษย์ตัวน้อยข้าขอถามเจ้าสักเล็กน้อยได้หรือไม่” กิเลนในร่างมนุษย์ก็เช่นกัน น้ำเสียงที่ดุร้ายโกรธเกรี้ยวเมื่อคร่าแรกที่มันพบเจอเวลานี้ไม่หลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย
“เรื่องอันใด?” หนิงเทียนรู้สึกแปลกใจกับท่าทีของทั้งคู่ที่เปลี่ยนไปอย่างมาก
“มนุษย์ตัวน้อย ทักษะบ่มเพาะของเจ้าคือม้วนภาพเทพยุทธ์?”
หนิงเทียนประหลาดใจ เหตุใดกิเลนที่เกือบจะฆ่าเขาตัวนี้ถึงรู้จักทักษะบ่มเพาะม้วนภาพเทพยุทธ์ได้
แม้หนิงเทียนจะไม่ได้ตอบคำถามของมัน แต่จากลักษณะอาการที่หนิงเทียนแสดงออกมานั้น
ทำให้พวกมันทั้งคู่นั้นมั่นใจในความคิดของตนเองเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาของพวกมันทั้งสองมีประกายแจ่มชัดขึ้นมาในทันใด
“คุณชาย ราชาผู้นี้มีเรื่องอยากจะขอร้องท่าน” เป็นอีกครั้งที่ราชาภูตเปลี่ยนคำเรียกหนิงเทียนจากมนุษย์ตัวหอมเป็นคำว่า คุณชาย อย่างรวดเร็ว
“ไม่” หนิงเทียนตอบอย่างไม่สนใจ
แม้เวลานี้มันจะถูกรุมล้อมจากตัวประหลาดทั้งสองนี้ มันก็ไม่ได้แสดงออกถึงความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย หนิงเทียนจะไม่ยอมเผยจุดอ่อนให้อีกฝ่ายเอาเปรียบมันเป็นแน่
“คุณชายโปรดฟังราชาก่อน” มันรีบกล่าวอย่างจนใจ
“ไม่จำเป็น” หนิงเทียนปฎิเสธอย่างไม่แยแส มันไม่สนใจฟังเรื่องราวใดๆของภูตบัดซบตัวนี้แน่นอน
เมื่อได้ยินคำพูดที่ไร้เยื่อใยของหนิงเทียน หนึ่งภูตหนึ่งกิเลนมองหน้ากันด้วยความรู้สึกยากที่จะอธิบาย
“คุณชาย ราชาผู้นี้รู้ว่าได้ล่วงเกินท่านไปมาก จะมีเรื่องใดที่ราชาผู้นี้จะทำเพื่อชดใช้ ความผิดของการไม่รู้ได้บ้าง”
น้ำเสียงของราชาภูตอ่อนโยนถ้าผู้ใดได้ฟังจะต้องโอนอ่อนตามด้วยความสงสารเป็นแน่
หนิงเทียนมองไปยังท่าทางที่แสดงออกของราชาภูตและกิเลนในร่างมนุษย์ หนิงเทียนยังไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดพวกมันทั้งสองจึงเปลี่ยนท่าทีไปเช่นนี้
แต่ที่แน่ๆมันจะต้องเกี่ยวกับทักษะม้วนภาพเทพยุทธ์ที่กิเลนตัวนั้นเอ่ยถามแน่
“ถ้าข้าได้กระบี่คืน ข้าอาจจะมีเวลาพอพูดคุยกับพวกเจ้าก็ได้” หนิงเทียนเริ่มที่จะต่อรองก่อน ยังไงเสียมันก็ต้องพึ่งพาภูตบัดซบในการนำตัวมันออกไปจากมิติแห่งนี้
“เรื่องง่ายนิดเดียวคุณชาย”ทันใดนั้น มันล้วงมือเข้าไปในอากาศหยิบกระบี่พิรุณโปรยออกมาส่งคืนหนิงเทียนอย่างรวดเร็ว
หนิงเทียนระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ มันรีบเก็บกระบี่พิรุณโปรยไปในแหวนมิติทันที “เจ้าสามารถส่งข้าออกไป....”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด แค่เพียงคุณชายรับคำขอร้องจากราชาผู้นี้ ราชาผู้นี้สามารถส่งท่านออกไปได้ทันที