ตอนที่ 21 ราชาแห่งโลก 2
กิเลนยักษ์พลันส่งลมหายใจออกทางจมูกแค่เพียงลมหายใจเท่านั้น เสาน้ำแข็งขนาดใหญ่ละลายกลายเป็นน้ำล่วงหล่นลงสู่พื้นสมุทรในทันที
ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิท สายลมโหมกระหน่ำอย่างคลุ้มคลั่ง หนิงเทียนประจักษ์ถึงความแตกต่างของพลัง และความพิโรธของกิเลน แววตาของมันเต็มไปด้วยจิตสังหารอันเย็นเยียบ
หนิงเทียนเยียดยิ้มอย่างเยือกเย็น แม้การแสดงออกของกิเลนตัวนี้จะน่ากลัวเพียงใด แต่หนิงเทียนหาได้มีความกลัวต่อมันแม้แต่น้อย
ครั้งนี้มันเข้าใกล้ความตายอย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้สัมผัส มันซึ่งเป็นผู้ที่เคยเหยียบอยู่บนเส้นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน หาได้หวั่นเกรงอันใดไม่
หนิงเทียนพลางเร่งพลังในร่างออกมา ผนึกศิลาทองในร่างของมันหมุนวนอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นพยัคฆ์กลืนจันทราในภาพแรกของม้วนภาพเทพยุทธ์ก็ปรากฎขึ้นด้านหลังของหนิงเทียนราวกับมันมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ
มันคำรามออกอย่างบ้าคลั่ง ประกายสีทองปกคลุมไปทั่วร่างของหนิงเทียน
สิ้นเสียงดัง ‘ครืน....’ กระแสน้ำขนาดยักษ์พุ่งเข้าปะทะกับร่างของหนิงเทียนอย่างรุนแรงแม้ว่ามันจะถุกปกคลุมด้วยปราณจากผนึกศิลาทองก็ตาม
แต่ด้วยความห่างของระดับพลังที่มากเกินไป ตัวหนิงเทียนกระเด็นไกลดุจว่าวที่สายป่านขาด ร่างของมันถูกฉีก กระฉากจากสายน้ำอันรุนแรง
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วจนเกินไปแม้แต่โล่ปราการสวรรค์ในมือมันก็ยังมิทันได้ใช้ออก
“นี้มัน” ทันใดนั้นดวงตาอันอัปลักษณ์ของกิเลนแปรเปลี่ยนในทันที ความตกตะลึงปรากฎบนใบหน้า มันพลันกลายร่างเป็นบุรุษร่างกายสูงใหญ่ สวมชุดเกราะสีน้ำเงิน หนวดเคราสีทอง พุ่งตรงไปยังร่างไร้สติของหนิงเทียนอย่างรวดเร็ว
มันตะโกนขึ้นมาดังก้อง “ตาเฒ่าอู๋ ตาเฒ่าอู๋” เสียงของมันดังไปทั่วชั้นฟ้า
“เฒ่าซาน” มีเหตุอันใด ต้องตะโกนเสียงดังหนวกหูเช่นนั้น สิ้นเสียงปรากฏตัวราชาแห่งเผ่าพันธุ์ภูตบินอยู่เหนือร่างที่ไร้สติของหนิงเทียน
“เฒ่าอู๋เจ้าส่งใครเข้ามาใน มิติอนันตเวคี??” น้ำเสียงของมันตอนนี้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ราชาภูตปีกสีทอง มันมิแยแสที่จะตอบคำถาม มันเพียงแต่สนใจในร่างของสหายมันมากกว่า “กี่หมื่นปีมาแล้วที่เจ้ามิได้ปรากฏกายในรูปลักษณ์ของมนุษย์”
“นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ....เจ้ารีบตอบคำถามของข้ามาก่อน” กิเลนในร่างมนุษย์นั้นตอบสหายของมันอย่างหงุดหงิด มันเหม่อหมองไปยังร่างไร้สติของหนิงเทียน
“เพียงแค่เรื่องของมนุษย์ตัวเหม็น เจ้าถึงกับต้องเรียกให้ข้ามาพบ เฒ่าซาน เจ้าอย่าได้ลืมถึงข้าจะเป็นเจ้าของมิติแห่งนี้ แต่ตัวข้านั้นไม่สามารถเข้าออกได้ตามใจนึก
ข้าต้องเสี่ยงทิ้งร่างกายของข้าไว้ด้านนอก ถ้าร่างกายของข้าถูกหมาป่าคาบไป เจ้าจะรับผิดชอบเช่นไร” ราชาภูตกล่าวด้วยเสียงเชิงตำหนิไปยังสหายของมัน
“เฒ่าอู๋ เจ้าอย่าได้พูดพล่ามไร้สาระอยู่เลย จงรีบตอบคำถามของข้ามาเร็ว เด็กคนนี้เป็นใคร?” กิเลนในร่างมนุษย์กล่าวด้วยน้ำเสียงอันร้อนรน
“เฒ่าซาน เจ้าเป็นอะไรไป ข้าเพียงส่งมนุษย์ตัวเหม็นไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำคนหนึ่งเข้ามาเท่านั้น” น้ำเสียงของราชาภูตเมื่อกล่าวถึงมนุษย์แล้วมันเต็มไปด้วยความยโสโอหัง
ในขณะที่ราชาภูตมองไปยังร่างของหนิงเทียนที่นอนแน่นิ่งอยู่ มันระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา
“ฮ่าฮ่า เจ้าฆ่ามันแล้วเช่นนั้นรึ สมควรแล้ว สมควรแล้ว...เจ้ามนุษย์ตัวเหม็นนี้กล้าเรียกราชาผู้นี้ว่าคนแคระและยังบอกว่าจะเด็ดปีกของข้าอีก มันสมควรตายแล้ว”
กิเลนในร่างมนุษย์หันไปมองสหายตัวน้อยของมันด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว
“อันใด? เฒ่าซาน หรือว่าเจ้าไม่ได้กินร่างมนุษย์มาหลายหมื่นปีแล้วจึงเกิดความสงสารขึ้นมา” ราชาภูตยังคงกล่าวหยอกเหย้าสหายของมันราวกับว่าพวกมันนั้นไม่ได้เจอกันมานาน
สหายของมันหันกลับมามองไปที่ร่างกายของหนิงเทียน มันจ้องมองลึกอยู่ชั่วขณะคล้ายกับว่ามันไม่กล้าย้ายสายตาไปที่ใด
“เฒ่าอู๋ ถ้าเกิดว่า เราสังหารผู้สืบทอดของท่านหวงตี้ไป เจ้าคิดว่า เราทั้งคู่จะเป็นเช่นไร”
“ฮ่าๆ เฒ่าซาน เจ้าแก่จนหลงลืมไปแล้วหรือไร ในตอนที่ท่านหวงตี้กำลังละสังขารทิ้งกายไปนั้น
พวกเราทั้งห้าได้ให้สัจจะสาบานแก่ท่านไว้ ตราบใดที่ผู้สืบทอดของท่านปรากฏตัวพวกเราจะปกป้องผู้สืบทอดของท่านด้วยชีวิต
เจ้าไม่ต้องกล่าวถึงการสังหารทายาทของท่าน แค่เพียงพวกเรารับรู้และไม่ได้ปกป้องทายาทของท่านจากอันตราย พวกเราทั้งห้าจะถูกกักขังในโลก ‘อนธกาล’จนกว่าจะสิ้นอายุไขของพวกเรา
เช่นนั้นแล้ว เฒ่าซาน เจ้าอย่าพูดถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นนี้ออกมาอีกเลย” ในเวลานี้ราชาภูติไม่ได้มีน้ำเสียงเย่อหยิ่งแม้แต่น้อยทุกถ้อยคำที่มันกล่างถึงหวงตี้นั้นเต็มไปด้วยความเคารพ
“เฒ่าอู๋....แต่เมื่อครู่ ข้าเห็นจิตวิญญาณเทพพยัคฆ์ด้านหลังมนุษย์คนนี้” กิเลนในร่างมนุษย์กล่าวออกมาด้วยความยากลำบาก
“ฮ่าๆ ฮ่าๆ เฒ่าซาน....เจ้าหลับนานเกินไป จนฝันเสียมากกว่า” ราชาภูตหัวเราะเยาะสหายของมันอย่างสนุกสนาน
กิเลนในร่างมนุษย์ส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่ได้ฝัน เฒ่าอู่ ถ้าเจ้าไม่เชื่อเจ้าดูสิ่งนี้”มันคลายมือของมันออกปรากฏรอยช้ำเล็กๆให้สหายของมันดู
“ฮ่าๆ อะไรเฒ่าซานเจ้าถูกมนุษย์ในแดนองครักษ์ ทำร้าย” ภูตตัวน้อยยังกล่าวด้วยเสียงหยอกล้ออยู่เช่นเดิม
สายตาของกิเลนในร่างมนุษย์เหม่อลอยไปยังร่างที่ไร้สติของหนิงเทียนเช่นเดิม “เฒ่าอู๋ เจ้าลองสัมผัสไอปราณที่แฝงมากับร่องรอยนี้ดู”
“เจ้านี่ยิ่งแก่ยิ่งเรื่องมากเสียจริง” มันกล่าวตำหนิสหายของมัน
ทันทีที่มันเอามือน้อยๆของมันไปสัมผัสรอยช้ำของสหายมันนั้น ทุกสิ่งถูกความเงียบเข้าปกคลุม ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจของทั้งคู่ดังออกมา
ราชาภูตมองไปยังสหายของมันสลับกับมองร่างที่แน่นิ่งของหนิงเทียน มันสลับแบบนี้อยู่สองถึงสามรอบ
“………..”
“…………”
“เฒ่าซาน พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดี” ราชาภูตยังกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ
‘……’ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากสหายของมัน
เพียงชั่วครู่ ราชาภูตส่งเสียงดังเอะอะโวยวายแก่สหายของมัน “เฒ่าซานเจ้าทำอะไรลงไป! เจ้าแก่จนหลงลืมแล้วหรือไร เจ้าเห็นพลังปราณของเทพพยัคฆ์ เหตุใดถึงไม่หยุดมือ....”
ราชาภูตตำหนิสหายของมันอย่างเกรี้ยวกราด ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับมันแม้แต่น้อย
“ไม่ใช่เจ้าหรือเฒ่าอู๋ที่ส่งเขามาหาข้า?” มันมองไปที่สหายมันอย่างขุ่นเคือง
ถ้ากิเลนในร่างมนุษย์ตัวนี้ไม่ได้ยั้งมือตามที่สหายของมันกล่าวละก็ เวลานี้หนิงเทียนคงจะไม่เหลือร่างกายให้พวกมันทั้งสองได้เห็นแล้วและพวกมันทั้งคู่จะต้องตกลงไปในโลกอนธกาล โดยที่พวกมันไม่รู้สาเหตุด้วยเหมือนกัน
“เฒ่าซานเจ้าจะยืนนิ่งอีกนานแค่ไหน รีบมาช่วยเขาก่อนเร็ว” ราชาภูติหยิบขวดเล็กๆออกมาภายในบรรจุน้ำสีขาวบริสุทธิ์ จากนั้นมันนำไปหยดกลางหน้าผากของหนิงเทียน
“น้ำตาภูต” เมื่อสหายของมันเห็นสิ่งนั้น ถึงกับอุทานออกมา
“เฒ่าซานเจ้าอย่ามั่วแต่พูด รีบใช่พลังรักษาอวัยวะภายในของเขาก่อน”
เสียงของราชาภูตปลุกมันให้ตื่นจากภวังค์ มันรีบส่งพลังปราณเข้าไปรักษาร่างกายของหนิงเทียนอย่างรวดเร็ว
ราชาภูตที่มองไปยังสหายของมันที่กำลังช่วยเหลือหนิงเทียนอยู่นั้น มันกล่าวออกมาอย่างเหนื่อยใจ “เฒ่าซานเจ้านั้นสร้างปัญหาใหญ่ให้แก่เราแล้วจริงๆ!!”
ณ หมู่บ้านปี้จุ่ย ภายในบ้านโกโรโกโสหลังหนึ่ง
แกร๊กก..... เสียงของประตูที่ใกล้จะผุพังดังขึ้น ด้วยประตูหน้าบ้านของนางเป็นเพียงการนำไม้แผ่นใหญ่มาวางกั้นเท่านั้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่หนิงเทียนจะบอกว่ามันเป็นบ้านร้าง
“ท่านแม่ท่านไปที่ใดมา” เสียงของปี้ยี่ดังขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ท่านปี้ฟางให้ชาวบ้านไปช่วยกันขนตะกร้าผลไม้จากบ้านของท่าน เพื่อการฉลองสำหรับผู้ชนะการประลองวันนี้”ปี้เหยาตอบด้วยเสียงปกติพร้อมกับกล่าวต่อ
“ปี้ยี่ลูกแน่ใจหรือว่าจะเข้าร่วมการประลองวันนี้”นางยังกล่าวด้วยความเป็นห่วง
“ท่านแม่ ข้าแน่ใจ และข้าต้องชนะการประลองให้ได้” ปี้ยี่ทุบไปที่อกของตัวเอง จากคำพูดของนายน้อยเฟยและคำพูดของพี่ชายหนิงที่กระซิบบอกมันก่อนจะจากไป ทำให้เวลานี้ตัวมันมีกำลังใจอย่างสูง
ปี้เหยามองไปยังลูกของนาง “เจ้าต้องสัญญากับแม่ก่อน ว่าจะไม่ทำอะไรที่เป็นการเสี่ยงเกินไป”
“ท่านแม่ ข้าให้สัญญา ข้าต้องชนะแน่นอน” ปี้ยี่ตบปากรับคำเสียงดัง
ปี้เหยาส่ายศีรษะขณะที่มองไปทางปี้ยี่ “แม่ให้เจ้าสัญญาว่าจะไม่เสี่ยงไม่เป็นอันตราย ไม่ใช่สัญญาว่าต้องชนะ”
“ฮี่ๆ คอยดูฝีมือข้าเถอะ สามวันมานี้ข้ารู้สึกเหมือนมีกำลังเพิ่มมากขึ้น หลังจากดื่มน้ำผึ้งของพี่ชายหนิง ท่านแม่รู้สึกเหมือนลูกหรือไม่?” มันมองไปยังร่างกายของตนเองที่แต่ก่อนเคยผอมแห้ง บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อในบางส่วน
“แม่ก็คิดเช่นเจ้า ว่าแต่นี้ก็3วันมาแล้วเหตุใดคุณชายหนิงยังมิกลับออกมาจากป่าพฤกษาทมิฬเลย แม่เกรงว่าเขาจะเรื่องไม่ดี” น้ำเสียงของนางเวลามีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านแม่คิดถึงพี่ชายหนิง ท่านแม่ไม่ต้องห่วงยังไงพี่ชายหนิงเป็นถึงผู้ฝึกตนในดินแดนมนุษย์ขั้นที่9”
“แม่ไม่ได้ห่วงเขาสักหน่อย ว่าแต่เด็กคนนี้ เจ้าไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากใคร”ใบหน้าของนางปรากฏเค้าสีแดงจางๆบนแก้มทั้งสอง
“ท่านปู่ซาง มักจะเล่าเรื่องในยามที่ท่านเป็นหนุ่มให้ข้าฟังบ่อยๆนะท่านแม่”
ทั้งสองคนแม่ลูก หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
….
ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นพ้นขอบฟ้า ในเวลานั้นผู้คนจำนวนมากแอดอัดกันอยู่ที่ลานกว้าง
เวทีนั้นได้ถูกจัดตั้งอยู่บนพื้นราบเรียบบริเวณใจกลางของหมู่บ้าน
ทุกคนในหมู่บ้านมารวมตัวกันที่จุดรวมพล เพียงไม่ถึงสิบนาที ทุกคนในหมู่บ้าน ต่างพากันมามุ่งดูกันอยู่ที่ลานประลองอย่างไม่ขาดแม้แต่คนเดียว
คนส่วนใหญ่นั้นตื่นเต้นที่จะมีคนจากหมู่บ้านมันเข้าร่วมเผ่าใหญ่เช่นเผ่าซิ แต่ก็เป็นเพียงส่วนใหญ่เท่านั้น มันมิใช่ทุกคนที่อยากดูการประลองครั้งนี้
แต่ที่พวกมันทุกคนมารวมตัวกันโดยไม่ขาดแม้แต่บ้านเรือนเดียว ก็เพียงเพราะหวาดกลัวว่าเผ่าซิจะเอาเรื่องคนที่ไม่มาชมการประลองแห่งนี้เท่านั้น
ปี้ยี่เป็นคนสุดท้ายที่มาถึง เด็กน้อยเดินจูงมือแม่ของมันมา
ปี้ยี่นั้นกลับเป็นจุดสนใจอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะทุกสายตามองมาที่มันด้วยแววตาสังเวช บ้างก็สงสาร
จะมีเพียงกลุ่มผู้เยาว์ด้วยกันนั้นต่างออกไป มันมองไปยังปี้ยี่ด้วยความตื่นเต้น
ถ้างานนี้ขาดปี้ยี่ การประลองจะไปสนุกได้อย่างไร
ชายหนุ่มผมดำสวมชุดนักรบสีเงินยืนอยู่ใจกลางลานประลอง โดยด้านข้างมี ปี้ชีและซิตู่ยืนขนาบทั้งสองข้าง มันเหลือบมองไปทางปี้ยี่และพยักหน้าให้
ปี้ยี่มองไปยังซิเฟย พร้อมกับก้มหัว ภายในใจมันเกิดความตื้นตันกับท่าทีของนายน้อยเฟยเป็นอย่างมาก ท่านช่างเมตตามันเหลือเกิน
ใครจะรู้ว่าสิ่งที่น่าสนใจในสายตาของซิเฟยนั้นจะเป็นปี้ยี่ หรือ ปี้เหยาที่อยู่ด้านหลังกันแน่
ปี้เหยานั้นมีท่าทางเรียบร้อย สง่างาม แม้จะปรากฏความหยาบกร้านจากการทำงานหนักบนผิวหนังเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความงามของนางลดลงเลย
ใบหน้าของนางแม้จะยังไม่ถึงกับล้มเมืองได้ แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้นางเป็นสาวงามอันดับ1ของหมู่บ้านนี้ หรือแม้แต่ในเผ่าซิเองก็ตาม ยังปฎิเสธไม่ได้ว่าปี้เหยาจะไม่ใช่นางงามอันดับ1ของเผ่า
หลังจากที่ปี้เหยาได้ทานน้ำผึ้งหยกเย็นแล้วนั้น ไม่เพียงแค่ใบหน้า แม้แต่ผิวที่แห้งกรานจากการทำงานหนักยังเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ผิวพรรณของนายกลายเป็นละเอียดอ่อน เปล่งประกาย ชวนให้ผู้ได้มองเกิดอาการหลงใหล
มุมปากของซิเฟยยิ้มขึ้น ไม่มีใครผู้ใดรู้ได้ว่ารอยยิ้มนี้มีสาเหตุมาจากอะไร
พวกมันทั้งหลายเพียงคิดว่า ซิเฟยนั้นรู้สึกดีใจที่เห็นผู้เยาว์ของหมู่บ้านมันมีพรสวรรค์เช่นนี้
วันนี้เป็นวันที่ได้นัดหมาย เพื่อหาผู้ที่จะได้เข้าร่วมกับเผ่าซิ ข้าซิเฟยขอแทนตัวเองเป็น
กรรมการในการต่อสู้นี้ ผู้เยาว์ที่ชนะจะได้รับทักษะบ่มเพาะกระดูราชสีห์และโสมอายุวัฒนะของเผ่าซิเรา
ในการต่อสู้นั้นจะแบ่งเป็น3รอบ จาก8เหลือ4จาก4เหลือ2และเราจะหาผู้ชนะเพียงคนเดียว “ผู้เยาว์ที่เข้าร่วมการประลองจงก้าวมาข้างหน้า ชิตู่ เจ้าเอาสลากให้พวกเขาจับ”
“ขอรับนายน้อย” ซิตู่ตอบรับคำสั่งพร้อมทั้งส่งเสียงดังออกมา “พวกเจ้า จงเรียงแถวกันมาจับฉลากอย่าได้ชักช้า”
“ข้า ขอจับคนแลก” เสียงดังออกมาจากกลุ่มของผู้เยาว์ มันเป็นเสียงของปี้ฟาน
ปี้ฟานก้าวไปหาซิตู่พร้อมกับถูมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน “ขอให้ข้าโชคดีได้อัดเจ้าเด็กน้อยปี้ยี่ ตั้งแต่รอบแรกเถอะนะ”
ปี้ยี่กัดฟันแน่น ภายในใจของมันส่งเสียงออกมา ‘ข้าก็รอเจ้าอยู่เช่นกัน’
ปี้ฟาน หมายเลข 1 ชิตู่ตะโกนเสียงดัง
ปี้ซิง หมายเลข 2
.....
…..
ปี้ยี่หมายเลข7
และปี้จู หมายเลข8
ทั้งหมดเตรียมพร้อม ข้าให้เวลาพวกเจ้าเตรียมตัว 100ลมหายใจ
“ฮ่าๆ พี่ฟาน ข้านั้นโชคดีมากที่ได้อัดเจ้าปี้ยี่” เสียงของปี้จูดังขึ้นมันไม่รีรอที่จะกล่าวประจบปี้ฟาน
“ดีมาก ปี้จู เจ้าจงอัดมันให้หนัก หักแขนและขาของมันทิ้ง เมื่อข้าได้เข้าเผ่าซิแล้ว เจ้าจะได้รับรางวัลอย่างงาม”
“ขอบคุณพี่ฟาน”เด็กหนุ่มนามว่าปี้จูมองไปยังร่างกายของปี้ยี่ด้วยสายตาอำมหิต
“หมายเลข1และหมายเลข2 เริ่มการประลองได้” สิ้นเสียงของซิตู่
ปี้ฟานในชุดไหมถักส่งให้รูปลักษณ์ของมันเด่นขึ้นคล้ายกับชนชั้นสูงอยู่เล็กน้อย มันก้าวขึ้นมาบนลานประลองอย่างสง่างาม คู่ต่อสู้ของมันคือ ปี้ซิง ลูกน้องมือซ้ายของมันเอง
เสียงของฝูงชนตะโกนเรียกชื่อปี้ฟาน ปี้ฟาน... ปี้ฟานนั้นคือความหวังของหมู่บ้านมันเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่สุดในหมู่บ้านปี้จุ่ยแห่งนี้แล้ว
ปี้ซิง เหลือบตาไปมองปี้ฟานเล็กนาย ก่อนจะกล่าว “ท่านกรรมการ ข้าขอยอมแพ้”
ซิตู่ที่เป็นกรรมการ มองไปยังปี้ซิงด้วยสายตาเหยียดยาม “ขยะก็ยังเป็นขยะเช่นเคย”มันกล่าวด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาแต่ก็พอที่จะทำให้หน้าของปี้ซิงชาขึ้นมา
“ในการประลองคู่ที่1 ปี้ฟานเป็นผู้ชนะ”
การประลองก็ยังดำเนินต่อไป บนเวทีการต่อสู้ของผู้เยาว์ยังคงสู้กันอย่างดุเดือด แม้ว่าผลมันจะถูกกำหนดไว้ให้ปี้ฟานอยู่แล้ว
แต่เด็กคนอื่นก็พยามที่จะแสดงความสามารถโดยหวังว่าเพียงว่า ขอให้มันได้เข้าไปเป็นเด็กรับใช้ของเผ่าซิก็พอ
พวกมันไม่ได้มีความหวังถึงทักษะบ่มเพาะและโสมอายุวัฒนะแต่อย่างใด