ตอนที่ 19 คาดหวังกับเจ้า
เป็นอย่างที่ทุกคนรู้ดีทั้งทักษะบ่มเพาะกระดูกราชสีห์และโสมอายุวัฒนะนั้นเป็นของวิเศษที่ช่วยให้คนธรรมดานั้นกลายเป็นผู้ฝึกตนได้
มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ของทั้งสองชิ้นจะสร้างความฮือฮา คาดหวังจากฝูงชนทั้งหลายได้
ซิเฟยยังกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ข้าจะมอบมันให้แก่ผู้เยาว์ที่ชนะการประลองครั้งนี้และนอกจากทั้งสองสิ่งแล้วข้ายังจะรับมันเป็นสมาชิกของพวกเราเผ่าซิอีกด้วย”
มันหันไปมองยังปี้ฟางที่ยืนอยู่ด้านหลังปี้ชี “เจ้าคือปี้ฟาง บุตรชายของหัวหน้าชี?”
“ใช่แล้วขอรับนายน้อย ข้าคือปี้ฟาง” สิ้นเสียงปี้ฟางซิเฟยโยนกล่องเหล็กไปให้
“นี้คือทักษะบ่มเพาะและโสมอายุวัฒนะ ข้าขอฝากไว้ที่เจ้า จงดูแลรักษามันให้ดี อีก3วัน มันจะเป็นรางวัลของผู้ชนะ”
“นนาย...นายน้อยนี่มัน...”ปี้ฟางรับมาด้วยความตกตะลึง
“เดิมที่ข้าไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เพียงแค่คำพูดของข้าก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเจ้าเชื่อได้ แต่เพื่อให้ชาวบ้านทุกๆคนมั่นใจแน่ว่าลูกหลานหมู่บ้านของพวกเจ้า
จะได้รับของวิเศษทั้งสอง ข้าจึงขอฝากมันไว้กับเจ้า” คำกล่าวของซิเฟยนั้นเปี่ยมด้วยคุณธรรมถึงกับทำให้ชาวบ้านบางส่วนหลั่งน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง
“ข้าน้อยจะรักษามันอย่างดี” ปี้ฟางรับกล่องเหล็กอย่างตื่นเต้น ทักษะบ่มเพาะกระดูกราชสีห์และโสมอายุวัฒนะเป็นของวิเศษที่สุดเท่าที่มันเคยพบเจอ
เมื่อมันกล่าวจบ ซิเฟยหันไปทางปี้ยี่ พร้อมกับยกมือแตะบนบ่า “ปี้ยี่ข้าคาดหวังในตัวเจ้ามาก อย่าได้ทำให้ข้าผิดหวัง”
“ขอรับ ข้าน้อยจะพยามอย่างเต็มที่” ศีรษะที่มันก้มให้ซิเฟยเกือบจะลงไปแนบพื้นดินเวลานี้มันมีความหวังอย่างสูงในการเข้าร่วมเผ่าซิ นายน้อยเฟยช่างเมตตามันเหลือเกิน
“ดีมาก ถ้ามีปัญหาอะไรให้มาพบข้าที่กระโจมได้ทุกเมื่อ” ซิเฟยกล่าวกับปี้ยีอย่างยิ้มแย้ม ถ้าผู้คนมาเห็นภาพนี้พวกมันคงคิดว่าเป็นบิดาที่กำลังสั่งสอนบุตรอย่างแน่นอน
เอาละเรื่องในวันนี้ไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัว ซิเฟยก้มศีรษะเล็กน้อยให้แก่ฝูงชนและเดินจากไปพร้อมทั้งซิตู่และปี้ชีที่เดินตามหลังเป็นเงา....
ปี้ฟางที่ได้เห็นภาพระหว่างซิเฟยและปี้ยี่อย่างใกล้ชิดนั้น มันรู้สึกกังวลอย่างมาก
‘ถ้านายน้อยเฟย ถูกชะตากับเจ้าเด็กปี้ยี่? แล้วบุตรชายของมันละ….’
มันรีบวิ่งตามซิเฟยไปทันทีนะนนายน้อยเฟย มันรวบรวมความกล้าอยู่ชั่วครู่
“ท่านตกลงแล้ว...” ปี้ฟางกล่าวอย่างร้อนรน พ่อของมันยอมจ่ายไป มันกังวลว่าซิเฟยจะไม่ทำตามสัญญา
“เจ้ามีปัญหาใดกับการตัดสินใจข้า” คิ้วของซิเฟย ยกสูงมันมองไปยังปี้ฟาง ทันทีที่สายตาของซิเฟยจ้องมายังมัน ตัวมันสั่นไปด้วยความกลัว
เมื่อปี้ชีเห็นการกระทำของลูกชายมัน มันรีบกล่าวออก “นายน้อยเฟยอย่าได้มีโทสะ”
“ลูกฟางเจ้ารีบขอโทษนายน้อยเฟยเดียวนี้” ปี้ชีรีบตะโกนห้ามลูกของมัน มันเกรงว่าปี้ฟางจะสร้างโทสะให้แก่คนผู้นี้
สายตาอันเยือกเย็นของหนิงเทียนจับจ้องไปยังแผ่นหลังของทั้งสี่ ที่เดินจากไป ทุกๆการกระทำของพวกมันอยู่ในสายตาหนิงเทียนทั้งหมด
เขายกยิ้มขึ้นอย่างเยือกเย็น‘สนุกจริงๆละครฉากนี้ ข้าต้องการรู้ว่าอีกสามวัน พวกมันจะแสดงอะไรให้ข้าได้ชมอีก’
ในขณะที่ปี้ยี่เดินกลับมาหาแม่ของมันด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิ “ท่านแม่ นายน้อยเฟย ช่างเป็นคนดีจริงๆ ถ้าข้าได้เข้าร่วมเผ่าซิ ข้าจะล่าเนื้ออร่อยๆมาให้ท่านแม่กินทุกวันเลย”
ปี้เหยายิ้มอย่างอ่อนโยน “นายน้อยเฟยเมตตาลูกมาก เจ้าอย่าได้ทำให้ท่านผิดหวัง”
“ฮี่ฮี่ ท่านแม่คอยดูข้าจะต้องเอาชนะการประลองได้แน่”ปี้ยี่กำหมัดของมันแน่นถ้าเป็นการประลองตัวต่อตัว มันมั่นใจอยู่5ใน10ส่วน ตราบเท่าที่ใจมันไม่ยอมแพ้ มันสามารถชนะปี้ฟานได้แน่
ในขอบเขตของมนุษย์ขั้นแรกที่ยังไม่สามารถรับรู้ได้ถึงปราณฉีได้นั้น เพียงแค่อุบัติเหตุเล็กๆก็สามารถส่งผลต่อการแพ้ชนะได้
“พี่ชายหนิง คิดอะไรอยู่” บนทางกลับบ้าน ปี้ยี่ถามหนิงเทียนที่ไม่ได้สนใจในการสนทนาของเขากับแม่เลยแม้แต่น้อย
หนิงเทียนส่ายศีรษะเล็กน้อยและยิ้มตอบมันกำลังนึกถึงละครเมื่อครู่อยู่ภายในใจ หนิงเทียนไม่ต้องการบอกอะไรกับปี้เหยาและลูกของนาง
มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไปเปิดหนังแกะที่ห่มหมาป่าอยู่
ตัวมันนั้นเป็นใคร? มันเป็นเพียงคนที่ผ่านมาได้วันเดียวเท่านั้น ไม่มีผลเหตุอะไรที่สองแม่ลูกนี้ต้องเชื่อคนแปลกหน้าอย่างมันมากกว่านักบุญผู้สูงศักดิ์อย่างซิเฟย
เวลานี้ตัวมันเพียงแต่ตั้งหน้าที่จะรอดูการแสดงสนุกๆที่จะกำลังเกิดต่อไปเท่านั้น
ในความจริงแล้ว การแสดงออกของซิเฟย นั้นไม่มีความผิดปกติใดๆแม้แต่น้อย
เขาเป็นนายน้อยที่ห่วงใยและมีน้ำใจกับทุกๆคน มีอัธยาศัยดีและไม่ใช้อำนาจข่มเหงใครแต่ถึงอย่างนั้นมันจะรอดพ้นสายตาเหยี่ยวของหนิงเทียนไปได้อย่างไร เรื่องพวกนี้ดูออกง่ายกว่ากลศึกในสนามรบมากมายนัก
ทั้งสามเดินมาถึงหน้าบ้านโกโรโกโสของปี้เหยา “แม่นางปี้เหยา เรื่องในวันนี้ข้า ขอบคุณมากแต่คงจะไม่ดีแน่ถ้าวันนี้ข้าต้องรบกวนแม่นางอีก”
“พี่ชายหนิงท่านจะไปแล้ว?” น้ำเสียงของปี้ยี่เศร้าลงในทันที
“พี่ชายต้องการเข้าไปในป่าพฤกษาทมิฬเพื่อตะเตรียมอาหารเล็กน้อยสำหรับเดินทาง”หนิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับก้มไปกระซิบข้างหูของปี้ยี่อยู่สองสามประโยค
ปี้ยี่ได้แต่พยักหน้ารับด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“คุณชายหนิง ในป่าพฤกษาทมิฬมีแต่อันตรายท่านต้องระวังตัวให้มาก” นางกล่าวด้วยความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจ
“ขอบคุณในความเป็นห่วงของแม่นาง” หนิงเทียนกล่าวพร้อมกับส่งขวดหยกขนาดเล็กให้ปี้เหยา “นี้คือ น้ำผึ้งจากบ้านข้า แม่นางโปรดรับมันไว้”
ก่อนจะจากไป หนิงเทียนได้ทั้งกำชับให้พวกมันทั้งสองดื่มกินน้ำผึ้งหยกเย็นทุกๆวันอย่าได้ขาด
…….
….
อาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า หนิงเทียนทะยานไปในทิศใต้ของป่าพฤกษาทมิฬ
บัดนี้อาการบาดเจ็บของเขาฟื้นมา8ใน10ส่วนแล้ว หนิงเทียนเปิดใช้ทักษะเก้าวิญญาณท่องวิญญาณเพื่อเร่งความเร็วขึ้นอีก
แม้หนิงเทียนจะคุ้นเคยกับป่าพฤกษาทมิฬเป็นอย่างดีแต่เขาก็ไม่ต้องการเดินทางในป่าแห่งนี้ยามที่ไร้แสงจากดวงตะวัน
โดยเฉพาะตอนนี้ไม่ได้มีพ่อบ้านมู่คอยติดตามเช่นเมื่อก่อนแล้ว
เพียงไม่ถึงชั่วยาม หนิงเทียนได้เข้ามาในดินแดนด้านใต้ของป่าพฤกษาทมิฬ ‘กวางหิมะ’ คือเป้าหมายในการมาครั้งนี้ของมัน
กวางหิมะเป็นสัตว์ป่า ขั้นที่2 เนื้อของกวางหิมะนั้นมีสรรพคุณต้านพิษเย็นและที่สำคัญรสชาติของมันเป็นสุดยอดของเนื้อสัตว์ป่าทั้งหมด
หลังจากเดินวนอยู่ประมาณ สามลี้ หนิงเทียนก็ยังไม่พบเจอ กวางหิมะแต่อย่างใด
เขายังคงทะยานไปในทิศทางเดิมและไปหยุดยืนอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้แม่น้ำ
‘ฟู่’ พลันปรากฏเสียงของต้นไม้สั่นไหว วัตถุสีดำพุ่งออกมาจากต้นไม้โดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้าใดๆ
หนิงเทียนรีบโบกชายเสื้อ พลันปรากฏแท่งน้ำแข็งพุ่งตรงไปปะทะกับวัตถุสีดำ
วัตถุสีดำส่งเสียงร้องประหลาดออกมา หนิงเทียนมองไปยังวัตถุที่เขาพึ่งโจมตีไป
มันเป็นสัตว์ลักษณะคล้ายนก แต่ตัวเล็กกว่ามาก บริเวณต้นขามันมีกรงเล็บสีขาวสองอันไว้จู่โจมศัตรู
นั้นมัน ‘ยุงขนดำ’ มันเป็นสัตว์อสูรขั้นที่1 หนิงเทียนรู้สึกแปลกใจ ‘เหตุใดสัตว์อสูรถึงมาอยู่ในเขตสัตว์ป่า’
ทันใดนั้น วัตถุสีดำนับร้อยพุ่งออกมาใส่หนิงเทียนอย่างรวดเร็ว
หนิงเทียนพลิ้วกายไปยืนอยู่บนต้นไม้ สีหน้าแสดงอาการเคร่งเครียด มันท่องเที่ยวในป่าพฤกษาทมิฬมานับสิบปีไม่เคยเจอเห็นการประหลาดแบบนี้
ยุงขนดำนับร้อยนั้นไม่ได้จู่โจมหนิงเทียนแต่อย่างใด ราวกับมันไม่ได้เห็นหนิงเทียนเป็นศัตรู การที่มันพุ่งใส่คร่าแรกนั้นเป็นหนิงเทียนเองที่ขวางทางบินของพวกมัน
คิ้วทั้งสองข้างของหนิงเทียนขมวดเข้าหากันในทันที ‘มันกำลังหนี!!!’
ในเขตแดนของพวกมันเกิดอะไรขึ้นแน่ หนิงเทียนทะยานร่างเข้ามาในเขตของพวกยุงขนดำ
ทันใดนั้นแรงกดดันที่รุนแรงโหดร้ายและกระหายเลือดแผ่กระจายออกมา พร้อมกับเสียงคำรามที่ดั่งสนั่นไปทั่วพื้นป่า
นั้นมัน ‘แรดหลังเหล็ก’ นี้เป็นครั้งแรกที่หนิงเทียนรู้สึกวิตก แรดหลังเหล็กเป็นสัตว์อสูรขั้นที่3
ระดับมันเทียบเท่ากับขั้นที่9ของผู้ฝึกตนในดินแดนวีรชน มันไม่ใช่ศัตรูที่หนิงเทียนจะสามารถสู้ได้ในตอนนี้
คำถามมากมายถาโถมอยู่ในศีรษะของมัน ‘สัตว์อสูรขั้นที่3เหตุใดถึงมายังเขตแดนของพวกสัตว์อสูรขั้น1’
ลักษณะท่าทางของแรดหลังเหล็กกำลังอาละวาดมันใช้หัวของมันพุ่งชนต้นไม้ใหญ่ อย่างบ้าคลั่ง ราวกับมีใครไปยั่วยุมัน
ในขณะที่ด้านหน้าของแรดหลังเหล็กนั้นปรากฏ สัตว์ป่าลักษณะคล้ายมนุษย์มันมีขนาดเล็ก
ถ้ามองด้วยตาเปล่ายากที่จะบอกได้ว่ามันกับยุงขนดำใครมีขนาดใหญ่กว่ากัน ด้านหลังของมันมีปีกสีทองเล็กๆที่ช่วยพยุงให้มันลอยอยู่กลางอากาศ
เห็นได้ชัดว่าลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างมันเป็นเพียงแดนมนุษย์ขั้น9เท่านั้น แต่มันกับบินอยู่เหนือศีรษะแรดหลังเหล็กคล้ายกำลังยั่วยุโทสะของสัตว์เดรัจฉานอย่างไม่รู้จักความตาย
หนิงเทียนมองไปยังเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างงุนงงมีเรื่องแปลกไม่มากนักที่จะทำให้หนิงเทียนตาค้างได้ดั่งเช่นครั้งนี้
สัตว์อสูรขั้นที่3ถูกยั่วยุโดยสัตว์ป่าขั้นที่1แรดหลังเหล็กพุ่งเข้าใส่สัตว์ป่าตัวน้อยอย่ารวดเร็ว ดุจเงาของปีศาจร่างยักษ์ ด้วยสองขาหน้าของมันเพียงพอที่จะถล่มภูเขาได้
ทันใดนั้นเพียงพริบตาเดียว แรดหลักเหล็กหายไป จากสายตาของหนิงเทียนราวกับ มันไม่เคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน
‘แรดหลังเหล็กหายไปไหน???’ สีหน้าของหนิงเทียนกลายเป็นปั่นยากเข้าไปใหญ่
“ฮ่าๆ เดรัจฉานหน้าโง่ บังอาจมายั่วยุราชาผู้นี้”
ดวงตาของหนิงเทียนเบิกกว้าง ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวด้วยอาการตกตะลึงกับสิ่งที่มันได้ยินอย่างมาก ‘นั้น....นั้นสัตว์ป่าสามารถพูดภาษามนุษย์ได้’
ท่านแม่เคยบอกไว้ว่า มีเพียงอสูรปีศาจและอสูรสวรรค์เท่านั้นที่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้ามันนั้นเป็นเพียงสัตว์ป่าขั้นที่1เท่านั้น
พลังของมันอ่อนแอเช่นนี้ไม่มีทางที่จะเป็นอสูรระดับสูงพวกนั้นได้แน่ แต่ความไม่สบายใจยังคงอยู่ในจิตใจของมัน
คำถามที่ก้องอยู่ในหัวมันซ้ำๆคือ ‘แรดหลังเล็กหายไปไหน?’
ทันใดนั้น สายตาของตัวประหลาดจ้องมองไปที่หนิงเทียน สายตาของพวกมันทั้งคู่จับจ้องซึ่งกันและกัน
ร่างกายของหนิงเทียนเย็นเฉียบ ขนในกายของมันลุกชันขึ้นมาทันที
มันไม่ได้ประมาทแม้แต่น้อย มันลบจิตสัมผัสรวมทั้งการคงอยู่ทุกอย่างของมันไปหมดสิ้น
อีกทั้งด้วยเมล็ดธาตุกลืนลมปราณ พลังของมันตอนนี้เป็นเพียงแค่ ดินแดนมนุษย์ขั้น9ที่ง่ายต่อการหลบซ่อนเป็นอย่างมาก
แล้วเหตุใดสัตว์ป่าขั้นที่1 ถึงตรวจจับการมีอยู่ของมันได้อย่างไร
“เจ้ามนุษย์ตัวเหม็น บังอาจจ้องมองราชาด้วยสายตาเช่นนี้”
มันชี้นิ้วมาทางหนิงเทียน พลันเกิดลมปราณเล็กๆสายหนึ่งพุ่งไปยังหนิงเทียน ด้วยลมปราณของมนุษย์ขั้นที่9
เพียงแค่นิ้วเดียวของหนิงเทียนก็สามารถที่จะสลายพลังนี้ให้หายไปได้ แต่เมื่อได้เห็นแรดหลังเหล็กที่หายไปต่อหน้ามันเมื่อครู่นี้ ทำให้หนิงเทียนไม่กล้าประมาทแต่อย่างใด
“บัดซบ ข้าจ้องมองด้วยสายตาเช่นใด? เดรัจฉานตัวนี้ไร้เหตุผลสิ้นดี”หนิงเทียนคำรามรอดลายฟันออกมา
ในมือของมันปรากฏกระบี่พิรุณโปรย เสียงคำรามของมังกรวารีดังกึกก้องไปทั่วป่าพฤกษาทมิฬ มันแผ่ไอเย็นออกมาทั่ว ชั้นบรรยากาศรอบๆแปรเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง
ไอเย็นที่มันแผ่นออกมานั้นยิ่งรุนแรงมากขึ้นกว่าทุกครั้ง ราวกับมันสามารถที่จะแช่แข็งก้อนเมฆบนท้องฟ้าได้
ไม่ใช่เพียงหนิงเทียนคนเดียวที่รู้สึกตึงเครียดกับเหตุการณ์ตรงหน้ามันแม้แต่จิตวิญญาณมังกรวารีในกระบี่วิพิรุณโปรย ยังแสดงอาการออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หนิงเทียนกระชับกระบี่ภายในมือ มันฟันไปที่กระแสปราณที่ตัวประหลาดปล่อยออกมา ด้วยพลังของจุดสูงสุดในดินแดนองครักษ์การต่อสู้นี้สมควรจะจบในพริบตา
เมื่อกระบี่พิรุณโปรยและกระแสปราณประหลาดนั้นเข้าปะทะกัน ทันใดความรู้สึกที่คุ้นเคยบังเกิดขึ้นในจิตใจของหนิงเทียน มันผู้ที่เคยผ่านการต่อสู้มานับพัน เหตุการณ์เสี่ยงตายมานับหมื่น
ความรู้สึกเช่นนี้มันบอกได้ทันทีว่านี้คือหายนะ สัญชาตญาณของมันบอกร่างกายให้หนี
ในชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่กระบี่พิรุณโปรยจะปะทะกับปราณประหลาดนั้น หนิงเทียนตัดสินใจบิดกาย พริ้วหลบกระแสปราณประหลาดและใช้ออกด้วยท่าเท้าเก้าวิญญาณท่องนภา ทันที
ฟรึบ!!!
ต้นไม้ใหญ่ด้านหลังของมัน หายไปอย่างไร้ร่องรอย มันเป็นเช่นเดียวกับเหตุการณ์ของแรดหลังเหล็ก ไม่มีสัญญาณจากการถูกทำลาย แต่กลับหายไปราวกับมันไม่เคยมีอยู่มาก่อน
หนิงเทียนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ทันใดนั้นมันรู้สึกว่างเปล่าขึ้นมาในทันที
ไม่เพียงแค่แรดหลังเหล็กและต้นไม้ใหญ่ แม้แต่กระบี่พิรุณโปรย อาวุธในมือของเขาก็ถูกตัวประหลาดนี้ทำให้หายไป
“นี้มัน เรื่องบ้าอะไรกัน!!!!” หนิงเทียนคำรามด้วยความโกรธ ตอนนี้มันไม่สามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณมังกรวารีเลยแม้แต่น้อย
เพียงแค่2วันที่มันออกเดินทางมาเท่านั้น ศาสตราวุธคู่กายของมันกลับหายไปอย่างไร้ร่องลอย มันจะมีหน้ากลับไปหาบิดาใหญ่ของมันได้เช่นไร มันจะมีหน้ากลับแดนภูตได้อย่างไร?
ตัวประหลาดจ้องมองไปทางหนิงเทียน “ฮ่าๆ มนุษย์ตัวเหม็น รู้ฤทธิ์ของราชาผู้นี้แล้วยังไม่รีบก้มหมอบให้แก่เรา”
หนิงเทียนแทบกระอักเลือดออกมา มันทำลายกระบี่ของเขาเพียงแค่พวกมันทั้งคู่มองหน้ากันเท่านั้นยังไม่พอมันยังต้องการให้เขาก้มมอบให้แก่มันอีก
มีเพียงอสูรปีศาจขึ้นไปเท่านั้นที่พูดภาษามนุษย์ได้ แต่ตัวประหลาดตรงหน้ามันไม่ใช่ทั้งอสูรปีศาจและอสูรสวรรค์แน่นอน
ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ใช่เพียงแค่กระบี่พิรุณโปรยเท่านั้นที่หายไป แม้แต่ชีวิตมันก็คงไม่เหลือรอด
บนใบหน้าของหนิงเทียนเวลานี้บิดเบี้ยวไปด้วยโทสะ “สารเลว คืนกระบี่ของข้ามา” มันยกมือใช้ออกด้วยทักษะเหมันต์ไร้ใจ แท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่ร่างกายของตัวประหลาด
“บัดซบ ไอ้มนุษย์ตัวเหม็น บังอาจเรียกราชาผู้นี้ว่า สารเลว” นิ้วมืออันเรียวเล็กทั้งห้าของตัวประหลาดกางออก ปรากฎปราณสีดำพุ่งเข้าใส่แท่งน้ำแข็งของหนิงเทียน