ตอนที่ 17 ขบวนคาราวาน
มันเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่ ท้องฟ้าทิศตะวันออกเริ่มที่จะสาดแสง หนิงเทียนตื่นจากการหลับใหล เนื่องจากเสียงตะโกนจากภายนอก
“พี่ชายหนิง พี่ชายหนิง ท่านตื่นแล้วหรือไม่”
หนิงเทียนเปิดเปลือกตามองไปยังต้นตอของเสียงนั้น
“ปี้ยี่ ยังเช้าตรู่ถึงเพียงนี้ เจ้ามีเรื่องอันใด”
“เปล่าๆ ท่านแม่แค่ให้ข้ามาปลุกพี่ชายหนิงเท่านั้น พวกเราจะได้ไปที่กองคาราวารบรรณาการกัน”
“กองคาราวารบรรณาการ ต้องไปเช้าเพียงนี้นั้นหรือ?”
“ถูกแล้วพี่ชายหนิง วันนี้เป็นวันแลกอาหารของพวกเรา ยามบ่ายของทุกวันหลังจากเราส่งบรรณาการเรียบร้อยแล้ว
ทุกคนในหมู่บ้านจะไปรวมตัวกันที่บ้านของท่านปี้ชีเพื่อนำผักผลไม้และฟืนที่เหลือจากส่งบรรณาการไปแลกเป็นอาหาร พี่ชายหนิงวันนี้เราจะได้กินเนื้อสัตว์ป่ากัน ฮี่ๆ”เมื่อพูดถึงเนื้อสัตว์ป่ามันยิ้มอย่างมีความสุข
“อย่างนั้น ขอเวลาข้าชั่วครู่”
จากนั้นพวกเขาทั้งสามได้เดินทางไปบ้านรับรองทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองคาราวารบรรณาการ
ระหว่างทางนั้น เสียงดังวุ่นวายของชาวบ้านดังขึ้นอย่างไม่หยุด ผู้คนในหมู่บ้านนับสิบกำลังตกแต่งหมู่บ้านอย่างยิ่งใหญ่
ที่เห็นได้ชัดเจนคือเสาบ้านทุกต้นประดับไปด้วยหนังสัตว์ผืนโต แม้กระทั่งการนำกระดูกสัตว์ป่าเก่าๆมาทำเป็นเสาโดยใช้หนังสัตว์เป็นธง ติดประดับไว้ที่หน้าบ้าน
“คนพวกนี้เหตุใดถึงวุ่นวายนัก” หนิงเทียนมองไปยังธงหนังสัตว์ป่าของชาวบ้าน มันใช้ความพยามอย่างมากในการกลั่นหัวเราะ
“คุณชายหนิงวันนี้นั้นพิเศษกว่าทุกๆครั้ง เนื่องจากครั้งนี้นายน้อยของเผ่าซิเดินทางมาด้วยตนเอง
ที่สำคัญที่สุดวันนี้เผ่าซิ จะรับเด็กผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่งจากหมู่บ้านเราไปเข้าร่วมกับเผ่าซิ”
“เผ่าซิ?” หนิงเทียนพึมพำกับตัวเองอย่างแผ่วเบาถึงอย่างนั้นปี้ยี่ที่เดินอยู่ข้างๆก็ได้ยิน มันคิดว่าพี่ชายหนิงคนนี้คงไม่รู้จักเผ่าซิ มันจึงเริ่มที่จะอธิบายออก
“เผ่าซิเป็นเผ่าที่มีอำนาจในดินแดนหุบเขาลูกที่สอง กำลังรบของเผ่าซิเทียบเท่ากับเผ่าเฮยที่คอยปกป้องดูแลหมู่บ้านของเรา”
“เผ่าซิ? แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเลย?”คิ้วของหนิงเทียนเลิกขึ้นสูง
“คุณชายหนิง เผ่าชิเป็นเผ่าของนักรบ พวกเขาถือครองทักษะบ่มเพาะวิชา ‘กระดูกราชสีห์’มันเป็นทักษะที่ผู้ชายในหมู่บ้านของเราใฝ่ฝันถึง
แม้แต่ท่านปี้ชี ยังไม่มีโอกาสกลายเป็นนักรบที่แท้จริงเพียงเพราะเขาขาดทักษะบ่มเพาะ” ปี้เหยากล่าวอย่างคาดหวัง
ถ้ามีนักรบที่แท้จริงในหมู่บ้าน พวกมันอาจจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ก็ได้
“ข้าเองก็อยากเป็นนักรบของเผ่าซิ” ปี้ยี่ยิ้มจนเห็นฟันขาว นักรบที่แท้จริงเป็นความฝันของมัน
หนิงเทียนฟังทั้งสองเล่าเรื่องราวของเผ่าซิอย่างภาคภูมิใจ มันทำได้เพียงยิ้มโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
ในระหว่างทางเดิน สองคนแม่ลูกยังพูดคุยถึงความยิ่งใหญ่ของเผ่าซิอย่างไม่หยุด
“แม่นางปี้เหยา ข้าต้องทำอย่างไรบ้างถึงสามารถเข้าร่วมขบวนคาราวานได้?” หนิงเทียนเปลี่ยนเรื่องทันที
แม้มันจะได้ยินเรื่องราวที่ประดุจเทพของเผ่าซิจากทั้งคู่ แต่ภายในใจของมันคร้านเกินกว่าจะสนใจเผ่าเล็กๆที่ตั้งอยู่ชายแดนเช่นนี้
ถ้าเป็นเรื่องราวของเมืองฉางผิงอาจจะทำให้มันตั้งใจฟังกว่านี้ก็เป็นได้
“คุณชายหนิง ถ้าท่านต้องการขึ้นขบวนบรรณาการมีสองวิธี วิธีแรกง่ายที่สุดท่านต้องสมัครงานในกองคาราวานท่านจะได้เข้าร่วมขบวนโดยไม่เสียเงินทองใดๆ
อีกทางหนึ่งท่านต้องใช้เงินทองเป็นค่าใช้จ่ายในการขึ้น” ปี้เหยาอธิบาย
“ใช้เงิน? .....ตัวข้านั้นไม่มีเงินติดตัวมาแม้แต่น้อย ข้าสามารถใช้สิ่งอื่นแทนเงินทองได้หรือไม่”
เป็นความจริงที่เวลานี้มันไม่มีเงินติดตัวแม้แต่น้อย เนื่องจากแดนภูติเร้นลับตัดขาดจากพื้นที่ราบภาคกลางมานับพันปีแล้ว
เช่นนั้นมันจะไปมีเงินทองที่เป็นอัตราแลกเปลี่ยนของคนในพื้นที่ราบภาคกลางได้อย่างไร?
ในความคิดของหนิงเทียน มันอาจจะต้องใช้หินลมปราณระดับต่ำสัก2-3ก้อนในการจ่ายแทนเงิน
ปี้เหยามองไปยังหนิงเทียนด้วยแววตาเห็นใจ นางคิดว่า สิ่งที่ใช้แทนเงินของหนิงเทียนคือผักผลไม้หรืออาจจะเป็นเนื้อของสัตว์ป่า
“ข้าเสียใจด้วยคุณชายหนิง....ขบวนคาราวานบรรณาการนั้น รับเพียงแต่เงินท่านั้น”
ภายในใจของนาง สงสารหนิงเทียนเป็นอย่างมากบ่อยครั้งที่มีผู้ต้องการเดินทางไปยังเมืองฉางผิงโดยปราศจากเงินติดตัว
มันจะไปรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งแลกเปลี่ยนที่หนิงเทียนพูดถึงคือหินลมปราณ แค่เพียงเงินทองนั้นยังมีใช้กันเฉพาะในชนเผ่าและเมืองใหญ่
ไม่ต้องพูดถึงหินลมปราณมีเพียงกลุ่มคนชั้นสูงเท่านั้นที่ใช้กันเป็นอัตราแลกเปลี่ยน
ในหมู่บ้านปี้จุ่ยเอง ยังใช้ ค่าแลกเปลี่ยนเป็นผักหนึ่งตะกร้าเท่านั้นเอง
ปี้เหยาพยามปลอบใจหนิงเทียนอีกครั้ง“ไม่เป็นไรคุณชายหนิง ถ้าท่านไม่มีเงิน ท่านสามารถสมัครทำงานในกองคาราวานได้”
“ทำงาน?” คิ้วของมันยกขึ้นสูง
คร่านี้น้ำเสียงของปี้เหยาเต็มไปด้วยความดีใจ คล้ายกับมันหาทางออกให้หนิงเทียนได้
“ในกองคาราวานมีงานมากมายนัก เช่น ทำอาหาร กวาดพื้น ส่งอาหาร ให้อาหารสัตว์ และแบกหามบรรณาการ
ท่านสามารถเลือกอย่างใดก็ได้ เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถเข้าร่วมขบวนคาราวานได้แม้จะไม่มีเงิน”
ได้ฟังเช่นนั้นหนิงเทียนยืนอึ้งไปชั่วขณะ “…..”ไร้คำกล่าวใดๆออกจากปากของหนิงเทียน
มันตัดสินใจที่ไม่อธิบายอะไรให้หญิงที่ไร้ปัญญาเช่นนี้ฟัง
พวกเรามาถึงแล้ว ปี้ยี่ชี้ไปทาง กระโจมผ้าถักขนาดใหญ่ ขนาดของมันสูงใหญ่กว่าบ้าน ของชาวบ้านนับ10เท่า มันตกแต่งไปด้วยลวดลายสีแดงงดงาม สลักไปด้วยลายพู่กันสี คราม
หนิงเทียนมองไปยังกระโจม ถึงมันเป็นเพียงแค่กระโจมธรรมดา แต่การที่มันตกแต่งได้เช่นนี้ แสดงว่าผู้ที่สร้างมันต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาเป็นแน่หาใช่คนป่าคนดอยไม่
“นี้คือคาราวานของหมู่บ้านเจ้า”
“คุณชายหนิงท่านล้อข้าเล่นแล้ว ไหนเลยหมู่บ้านเราจะมีกองคาราวานใหญ่เช่นนี้”
“หรือจะเป็นของเผ่าเฮย?”
“คุณชายหนิงกระโจมคาราวานบรรณาการนี้เป็นของ เมืองฉางผิง”
หมู่บ้านปี้จุ่ยนับได้ว่าเป็นประตูทางเข้าสำหรับการเดินทางจากแดนเทวะมาทวีปฟ้าสวรรค์
มันจึงไม่แปลกอันใดที่เมืองใหญ่เปี่ยมด้วยอำนาจอย่าง ฉางผิง จะมาตั้งขบวนคาราวานที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้
“พวกเราเข้าไปกันเถอะ”สิ้นเสียงของปี้เหยา ทั้งสามเดินเข้าไปในกระโจมสีแดงทันที
ปี้เหยาเปิดประตูผ้าอย่างระมัดระวัง ทั้งสามพลันเห็นชายชราคนหนึ่งแต่งตัว เรียบร้อย ลักษณะดูไม่แยแสต่อสิ่ง นั่งอยู่บนโต๊ะโดยที่ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท
“คาราวะท่านปู่ซาง” ปี้เหยากล่าวด้วยความเคารพ พร้อมกับก้มศีรษะลง
“ท่านปู่ซาง” ปี้ยี่ตะโกนเสียงดังพลันวิ่งไปหาชายชราอย่างรวดเร็ว
ชายชราค่อยๆเปิดตาขึ้นมา มันบิดขี้เกียจและมองไปยังผู้มาเยือนทั้งสาม
เมื่อเห็นปี้ยี่ที่วิ่งเข้ามาสายตาที่เย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน
“โอ้!! เด็กน้อยข้าคิดว่าเจ้าลืมตาแก่คนนี้ไปแล้ว”สองมือที่เหี่ยวชราอุ้มปี้ยี่ขึ้นมานั่งที่ตัก
น้ำเสียงและท่าทางของมันแปรเปลี่ยนไปทันที จากชายชราที่ไม่แยแสต่อสิ่งใดกลับกลายเป็นชายแก่ที่ดูอบอุ่นคล้ายกับปู่เฒ่าในบ้าน
“เด็กน้อยใบหน้าของเจ้าไปโดนอะไรมา”ปู่ซางมองไปยังรอยเขียวเล็กๆในบนหน้าของปี้ยี่ จิตสังหารของมันบังเกิดขึ้นชั่วพริบตาก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของหนิงเทียนหรี่ลงมันมองไปยังชายแก่ตรงหน้า คิ้วของเขายกสูง ‘จิตสังหารหืม!! ดินแดนองครักษ์ขั้น9?’
แม้มันจะเกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียวไหนเลยมันจะรอดพ้นสายตาของหนิงเทียนไปได้
“ท่านปู่ซางข้าพาสหายมาสมัครงานในกองคาราวานเจ้าค่ะ”น้ำเสียงของปี้เหยาบ่งบอกถึงเคารพปู่ซางคนนี้อย่างสูง
ในขณะชายชราซางยังจับจ้องไปยังหนิงเทียนอย่างครุ่นคิด มันกลับเปล่งเสียงร้องออกมา
“โอ้ย!! เจ้าเด็กน้อยอย่าดึงหนวดข้าสิ ชายชรากล่าวเชิงดุไปที่ปี้ยี่” มันยังคงใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเดิมเหมือนเช่นคราวแรกไม่เปลี่ยน
“ฮี่ฮี่” ปี้ยี่หัวเราะอย่างสนุกสนาน
“เหยาเอ๋อ เจ้าหนุ่มคนนี้คือเป็นใคร?” ชายชราถามพลางเล่นกับปี้ยี่ไปพร้อมกัน
“ท่านปู่ซาง นี้คือคุณชายหนิง เป็นสหายของผู้เยาว์และยังเป็นผู้มีพระคุณกับปี้ยี่ด้วยเจ้าค่ะ” ปี้เหยาเริ่มที่จะแนะนำหนิงเทียน
“โอ๋ เป็นผู้มีพระคุณกับเด็กน้อยปี้ยี่”ชายชราเริ่มที่จะให้ความสนใจกับหนิงเทียน
“ข้าต้องการร่วมขบวนไปยังเมืองฉางผิง” หนิงเทียนกล่าวความต้องการของมันออกมาด้วยเสียงราบเรียบ
ในขณะที่สายตาของมันจับจ้องไปยังชายชราตรงหน้า‘หมู่บ้านเช่นนี้กลับมีบุคคลในดินแดนองครักษ์ขั้น9?’
ชายชราซาง ยิ้มออกมา พร้อมกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “เจ้ามีอะไรมาแลกเปลี่ยนกับข้า?”
“ข้าต้องการเป็นผู้คุ้มกัน” หนิงเทียนตัดสินใจที่จะไม่ใช้ทั้งหินลมปราณหรือสมัครเป็นคนรับใช้มันเลือกที่จะเป็นผู้คุ้มกัน
คงเป็นการดีที่สุดที่มันจะไม่ทำตัวเป็นเหมือนคุณชายผู้ร่ำรวย ที่มีพลังฝึกตนเพียงขั้น9ของแดนมนุษย์
ปี้เหยาและปี้ยี่ ที่มากับมันแสดงสีหน้าประหลาดใจ
“ผู้คุ้มกัน!! คุณชายหนิงท่านอย่าได้เข้าใจผิดไป ผู้คุ้มกันเป็นงานอันตรายอีกทั้งต้องเป็นผู้ฝึกตนเท่านั้น”ปี้เหยารีบกล่าวเตือนหนิงเทียนอย่างรวดเร็ว
“โฮะๆๆ เจ้าหนุ่มเจ้าต้องการเป็นผู้คุ้มกัน เจ้าต้องรู้ว่าผู้คุ้มกันนั้นเป็นหน้าที่อันตราย จะต้องปกป้องสิ่งของและผู้คนในขบวนด้วยชีวิต เจ้ามีความมั่นใจ?”
“ข้าต้องการเป็นผู้คุ้มกัน” ครั้งนี้มันกล่าวด้วยเสียงแข็งไร้ซึ่งความเคารพใดๆต่อชายแก่ตรงหน้า
ชายชราซางระบายลมหายใจออกมาทางปาก เฮ้อ… ‘มีเด็กหนุ่มมากมายที่มั่นใจในตัวเองเกินไปและเอาชีวิตมาทิ้งในการเป็นผู้คุ้ม ’
“เนืองจากเจ้าเป็นสหายของเหยาเอ๋อ เช่นนั้นเจ้าจงฟังให้ดี ข้าจะไม่กล่าวเป็นครั้งที่สอง
จากหมู่บ้านนี้ไปเมืองฉางผิงใช้เวลาร่วม40วัน บางครั้งอาจจะราบรื่นหรือบางครั้งเจ้าต้องพบเจอโจรป่าหรือแม้กระทั่งสัตว์อสูร
ถ้าเจ้าไม่มั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง เจ้าจงเลือกตำแหน่งอื่นไม่เช่นนั้น มันอาจเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายในชีวิตของเจ้า”
“ข้าต้องการเป็นผู้คุ้มกัน” เวลานี้หนิงเทียนมีโทสะอย่างมาก ไอ้แก่นี่มันเป็นใคร ขนาดพ่อบ้านแห่งแดนภูตเร้นลับยังมิกล้าให้หนิงเทียนกล่าวคำเดิมถึง3ครั้ง
ถ้าไม่ติดว่าชายชราตรงหน้ามัน กล่าวด้วยความหวังดีและยังสนิทสนมกับครอบครัวที่ ให้ความช่วยเหลือมันแล้วละก็ กระดูกผุๆของตาแก่คนนี้คงได้หักสักสองถึงสามท่อน …
“โฮะๆๆ เจ้าหนุ่มเจ้าช่างไม่เห็นคุณค่าของชีวิตจริงๆ เช่นนั้นเจ้ารับหินทดสอบนี้ไป ถ้าเจ้ามีความแข็งแกร่งในแดนมนุษย์ระดับเก้าขึ้นไป เจ้าสามารถลงชื่อเป็นผู้คุ้มกันได้” สิ้นเสียง ชายชราซางส่งหินทดสอบลมปราณมาให้หนิงเทียน
หนิงเทียนเร่งลมปราณในร่างขึ้น และส่งพลังไปยังหินทดสอบพลันเกิดแสงสีเหลืองและกระพริบอยู่เก้าครั้ง
“หืมม ดินแดนมนุษย์ขั้น9 เหตุใดถึงอยู่ในขั้นเก้า9แดนมนุษย์?” สายตาของชายชราหรี่แคบลง คล้ายกับมันกำลังคิดอะไรบางอย่าง
ปี้ยี่กล่าวด้วยเสียงติดๆขัดๆ “พี่...พี่ชายหนิง ท่านเป็นผู้ฝึกตนซ้ำยังอยู่ในขั้นสูงสุด”
ปี้เหยามองไปที่หนิงเทียนอย่าง ตกตะลึง ภายในใจของนางสั่นสะท้าน คนที่อยู่หน้านางตอนนี้ เด็กกว่านางถึง2ปีแต่กลับมีระดับการฝึกตนเทียบเท่าหัวหน้าหมู่บ้านอย่างท่านปี้ชี
“ก็แค่ดินแดนมนุษย์เท่านั้น”หนิงเทียนตอบปี้ยี่อย่างไม่แยแส
พวกมันต้องไม่ยอมเชื่อแน่ๆ ถ้าหนิงเทียนบอกว่าตัวมันอยู่เหลืออีกเพียงครึ่งก้าวจะเข้าสู่ดินแดนแห่งปราชญ์
“เจ้าหนุ่ม เจ้ามาลงชื่อไว้อีกเก้าวันข้างหน้า จงมาที่นี้และถึงแม้เจ้าจะได้เป็นผู้คุ้มกันในขบวนคาราวาน
แต่ข้าหาได้มีค่าตอบแทนใดๆให้ นอกเหนือจากให้เจ้าร่วมขบวนเดินทางไปยังที่หมายเท่านั้น ส่วนเรื่องอาหารและที่พักเจ้าต้องช่วยเหลือตนเอง”
หนิงเทียนไม่ได้กล่าวตอบอะไรชายชราซ่าง มันทำเพียงแค่พยักศีรษะตอบรับเท่านั้น
“ท่านปู่ซาง วันนี้เป็นวันแลกเปลี่ยนอาหาร ปี้เหยาต้องขอตัวก่อน”
“เช่นนั้นจงรีบไป ถ้าเจ้าลำบากให้รีบมาหาตาแก่คนนี้ อย่าได้เกรงใจ”
ปี้เหยายิ้มอย่างอ่อนโยน มันมองไปยังปู่ซางด้วยความเคารพ
“ขอบพระคุณท่านปู่ซางมาก เมื่อปี้เหยาได้รับเนื้อสัตว์แล้ว ในวันพรุ่งนี้ ปี้เหยาจะทำซุปเนื้อที่ท่านปู่ชอบมาให้”
“วิเศษ วิเศษ เพียงแค่คิดข้าก็น้ำลายไหลแล้ว โฮ๊ะๆ” ชายชราซางยิ้มอย่างอบอุ่น
ปี้ยี่ที่ยิ้มจนเห็นฟันขาวที่เรียงตัวกัน “ท่านปู่ไว้ข้าจะมาเล่นด้วยใหม่”
ชายชราซางมองไปยังคนทั้งสามที่กำลังเดินจากไป สีหน้าที่อ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยในทันที มันครุ่นคิดถึงสาเหตุ
‘มนุษย์ขั้นเก้า เหตุใดข้าถึงไม่สามารถรับรู้พลังฝึกตนของเจ้าเด็กนั้นได้ตั้งแต่คราวแรก หรือว่าข้าจะแก่จนจิตสัมผัสทื่อลงหมดแล้ว’มันได้แต่ถอนหายใจกับตนเอง
ในโลกฝึกตนแห่งนี้ เป็นเรื่องปกติสามัญทั่วไป ผู้ที่มีพลังฝึกตนในดินแดนที่สูงกว่ามักจะสัมผัสถึงระดับฝึกตนของผู้ที่อ่อนกว่าได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้หินทดสอบปราณ
ในระหว่างที่พวกมันกำลังเดินทางกลับ “ท่านสอนข้าต่อสู้บ้างได้ไหมพี่ชายหนิง” ปี้ยี่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เจ้าต้องการฝึก ไว้ต่อยตีกับเด็กที่ชื่อปี้ฟานนั้น” หนิงเทียนถามออก
“ข้าไม่ได้ต้องการต่อสู้กับปี้ฟาน ข้าเพียงต้องการแข็งแกร่งเพื่อที่จะได้ล่าสัตว์ป่าเอาเนื้อมาให้ ท่านแม่ได้กินทุกวัน”
ได้ยินดังนั้นปี้เหยายิ้มอย่างมีความสุข พลางเอามือไปลูบที่ศีรษะของปี้ยี
หนิงเทียนมองไปยังปี้เหยา “ข้าขอถามอะไรแม่นางปี้เหยาสักอย่างได้หรือไม่?”
“คุณชายหนิงอย่าได้เกรงใจพวกเรา ถ้ามันเป็นสิ่งที่ข้ารู้ ข้าย่อมตอบอย่างเต็มใจ”
“ท่านพอจะรู้ความเป็นมาของชายชราซางคนนี้หรือไม่?”
“คุณชายหนิงตัวข้านั้น รู้เพียงแต่ว่า ท่านปู่ซางมาประจำที่ขบวนคาราวานของหมู่บ้านปี้จุ่ยตั้งแต่ ข้าอายุ10ปีเท่านั้น นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้วข้าไม่รู้อะไรแม้แต่น้อย”
หนิงเทียนหันมองกลับไปยังกระโจมสีแดง ‘ดินแดนองครักษ์ขั้น9 เหตุผลใดถึงมาอยู่ในหมู่บ้านที่ไร้ซึ่งทรัพยากรเช่นนี้’
“คุณชายหนิง ท่านให้ปี้ยี่ พาชมรอบๆหมู่บ้านเราไปก่อนส่วนตัวข้าจะรีบกลับบ้านไปนำตะกร้าผักมาแลกอาหาร” เสียงของปี้เหยาปลุกหนิงเทียนให้ตื่นจากภวังค์ความคิด
“ไม่จำเป็น ข้านั้นสนใจเกี่ยวกับการแลกอาหารของหมู่บ้านนี้มากกว่า อีกทั้งข้ายังจำเป็นต้องเตรียมอาหารในการเดินทางเองด้วย”
ปี้ยี่มองไปยังแม่ของมัน “เราไปพร้อมกันเถอะ ข้าจะได้ช่วยท่านแม่แบกตะกร้าได้”
“ตกลง...พวกเราไปพร้อมกันเถอะ”
...
......
บริเวณใจกลางของหมู่บ้านปี้จุ่ย ปรากฏบุคคลสองคนนั่งอยู่ใจกลางของฝูงชน ด้านหน้าของพวกเขาปรากฏโต๊ะขนาดใหญ่ ที่ถูกลุมล้อมไปด้วยคนนับร้อย
“ผัก8ตะกร้า ฟืน2ตะกร้า แลกข้าวสาร10ขันเนื้อสัตว์1ขีด”
“ผลไม้10ตะกร้า ฟืน6ตะกร้า แลกข้าวสาร 15ขันเนื้อสัตว์2ขีด”
เสียงของทหารผู้ดูแลการแลกของทำหน้าที่อย่างแข็งขัน
“พวกเจ้าไม่ต้องแย่งกันใครมาก่อนได้แลกก่อน” เสียงของเด็กหนุ่มในชุดเกราะเงินที่นั่งอยู่กลางฝูงชนตะโกนออก ลักษณะของมันสูงส่งแตกต่างจากคนในทั่วไปโดยสิ้นเชิง
ด้านข้างของมันมีชายแก่หนวดเครายาว สวมชุดถักทอนั่งอยู่คู่กัน