ตอนที่ 16 หมู่บ้านคนใบ้
“ท่านแม่ ท่านอย่าได้เข้าใจผิดพี่ชายท่านนี้....คนที่รุมทำร้ายข้าคือพวกของปี้ฟาน”
เสียงสวรรค์ดังขึ้น ในที่สุดเจ้าเด็กก็ยอมเปิดปากพูดสักที เวลานี้หนิงเทียนรู้สึกเบาใจลงไปมาก
“ให้ข้าได้สู้กับอสูรลมปราณยังดีเสียกว่ารับมือกับสตรีที่ไร้เหตุผลเช่นนี้”
“ปี้ฟาน? เกิดอะไรขึ้นรีบเล่าให้แม่ฟัง!!” นางเอ่ยถามปี้ยี่อย่างเร่งรีบ ภายในหัวของนางตอนนี้สับสนเป็นอย่างมาก
เจ้าโจรร้ายไม่ใช่โจรร้ายแต่กลับกลายเป็นหลานหัวหน้าหมู่บ้านที่ทำร้ายลูกของมันจะเป็นไปได้อย่างไร
จากนั้นปี้ยี่ ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แก่แม่ของมันตั้งแต่เรื่องพบเจอแก่นอสูรจนถึงเรื่องที่ถูกปี้ฟานลุมทำร้าย
“ปี้ฟาน!! เหตุใดปี้ฟานถึงมาทำร้ายลูกข้าเช่นนี้ ข้าจะไปขอความเป็นธรรมจากท่านปี้ชี” นางกล่าวด้วยความโมโหถึงแม้จะเป็นหลานของหัวหน้าหมู่บ้านนางก็ไม่เกรงกลัว
ในขณะที่นางกำลังวุ่นวายกับความคิดอยู่นั้น เสียงของปี้ยี่ก็ดังขึ้นมาทำลายฟุ้งซานในหัวของนาง
“พี่ชาย ข้าชื่อว่าปี้ยี่ คนนี้คือแม่คนสวยของข้า ปี้เหยา ไม่ทราบว่าพี่ชายมีนามว่า?”
“ข้าไม่มีแซ่ ชื่อหนิงเทียน” หึสตรีเบาปัญญานางนี้ ชื่อปี้เหยา
“ข้าขอเรียกท่าน ว่า พี่ชายหนิงได้หรือไม่?”ใบหน้าของปี้ยี่นั้นเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา
“มันเป็นเรื่องของเจ้า”หนิงเทียนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“พี่ชายหนิง ขอบคุณที่ช่วยข้าไว้”ปี้ยี่ก้มศีรษะลงทำการขอบคุณ ก่อนที่มันจะสลบไปมันได้ยินคำกล่าวของหนิงเทียนที่ออกหน้าช่วยมันได้ทุกประโยค
“ไม่จำเป็น...ข้าก็ไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเลย แม่ของเจ้ามาพบเข้าก่อนต่างหาก”
เมื่อได้ยินหนิงเทียนกล่าวเช่นนั้น ปี้เหยารู้สึกสะดุ้งอยู่ภายในใจ
เวลานี้หญิงสาวที่ไร้เหตุผลเมื่อครู่ หน้าแดงด้วยความอายจากการกระทำของตัวนางเอง มันเป็นเรื่องที่นางเข้าใจผิดเองทั้งหมด
นางไม่แม้แต่จะฟังเรื่องราวให้ดีกับตาหน้าว่าหนิงเทียนคือโจรร้าย
แต่ที่น่าอายที่สุดคือโจรร้ายที่นางกล่าวหาคือผู้ที่ช่วยชีวิตปี้ยี่ ลูกของนางเอง....
“เอ่อ..ท่านโจร...คล้ายว่ามันพึ่งได้สติในสิ่งที่มันกำลังจะกล่าว มันรีบกลืนคำว่าโจรลงคอไป
“คุณชายหนิง ข้า...ข้าขอโทษที่เข้าใจท่านผิด” ปี้เหยากล่าวพร้อมก้มศีรษะเล็กน้อย
หนิงเทียนคิดอยู่ในใจ ‘เฮ๊อะ ต่อให้เจ้ามาอุ่นเตียงให้ข้า ก็ยังไม่สาแก่ความผิดที่เจ้าป้ายสีข้า’
ในขณะที่หนิงเทียนจะกล่าวโทษออกไปมันมองยังปี้เหยาและปี้ยี่สองแม่ลูก ทำให้มันนึกถึงภาพคนๆนึง ‘เวลานี้ท่านแม้ห้าจะทำอะไรอยู่’มันระบายลมหายใจออกมา “เฮ้ออ”
“ไม่เป็นไร” มีเพียงสามคำที่ออกจากปากมันและน้ำเสียงที่กล่าวนั้นแผ่วเบากว่าทุกที
คล้ายกับว่าเด็กแปดขวบจะรู้ว่าเวลานี้แม่ของนั้นมีอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“พี่ชายหนิง ท่านไม่ใช่คนแถวนี้ ข้าไม่เคยพบเห็นท่านในหมู่บ้านนี้เลย”
แม้จะไม่ใช่คนของหมู่บ้าน แต่ถ้าเป็นผู้ฝนตนที่ผ่านไปมาระหว่างแดนเทวะและทวีปฟ้าสวรรค์ ปี้ยี่จะต้องเคยเห็นหน้ามาบ้าง
“ข้าเป็นคนต่างถิ่น ข้าได้ข่าวว่า หมู่บ้านแห่งนี้มีคาราวานขนส่งบรรณาการไปยังเมืองฉางผิง ข้าจึงเดินทางมาเพื่อที่จะร่วมขบวนเดินทาง”
หนิงเทียนกล่าวอย่างไม่ปิดบัง แม้ว่าพ่อบ้านมู่จะบอกมันถึงสถานที่ตั้งของกองคาราวาน แต่จากที่มันเห็นหมู่บ้านแห่งนี้ครั้งแรก
มันจะไปเชื่อได้อย่างไรว่าหมู่บ้านที่ไกลความเจริญแห่งนี้จะมีขบวนคาราวานที่ใหญ่โต
“พี่ชายหนิง ขบวนคาราวานบรรณาการพึ่งจะออกไปเช้านี้เอง”
คำพูดของปี้ยี่นั้น ราวกับฟ้าที่ผ่าลงมา มันไม่สามารถทำอะไรได้เลย จะให้มันเดินทางไปเมืองฉางผิงด้วยตัวเองนั้น
ไม่มีทางเป็นไปได้ แค่เพียงออกจากป่าพฤกษาทมิฬมายังหมู่บ้านปี้จุ่ย มันยังต้องใช้เวลามากกว่าที่พ่อบ้านมู่กล่าวไว้ถึง4ชั่วยาม
“เช่นนั้น ข้าต้องรออีกหนึ่งเดือน!!!” หนิงเทียนรู้สึกเสียดายเวลาอย่างมากภายในหัวของมันกำลังนึกคิดถึงทางออก
‘ข้าจะยอมเสียเวลาอยู่หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ไปอีกหนึ่งเดือนหรือว่าจะกลับไปเล่นกับเจ้าลิงโง่ดี’
“หนึ่งเดือน? พี่ชายหนิง เหตุใดท่านต้องรออีกหนึ่งเดือนกัน”ปี้ยี่นั้นงุนงงกับคำพูดของหนิงเทียน
“มิใช่ว่า ต้องรออีกเดือนหนึ่งถึงจะมีการส่งบรรณาการหรอกรึ?” ใบหน้าหนิงเทียนเต็มไปด้วยความสงสัย
ในอดีตตัวมันยึดแผ่นดินมานับสิบ ชิงเมืองมานับร้อย ทุกๆเมืองบริวารจะต้องของบรรณาการให้แผ่นดินฉินทุกๆหนึ่งเดือน เรื่องนี้เป็นธรรมเนียมของสงครามที่ทุกคนรู้กันดี
ปี้เหยาที่ยืนนิ่งอยู่นั้น กล่าวออกมากด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “หมู่บ้านปี้จุ่ยของพวกเรา จะต้องส่งบรรณาการให้เมืองฉางผิงทุกๆสิบวัน”
“สิบวัน!!” หนิงเทียนเผลอหลุดปากออกมา
มีคำกล่าวว่าแม้แต่หมาถ้ามันจนตรอกมันจะแว้งกัดเจ้าของได้ เจ้าเมืองฉางผิงนี้ช่างเป็นตัวบัดซบที่โง่งมจริงๆ
เห็นแก่ประโยชน์ตรงหน้าเพียงชั่วคราว ข้ามั่นใจได้เลยอีกไม่เกิน10ปี จะต้องเกิดคลื่นใต้น้ำอย่างแน่นอน
“พวกเราเป็นหมู่บ้านเล็กๆ บรรณาการของพวกเราจะถูกส่งไปยัง เผาเฮ่ย และส่งต่อไปที่เมืองฉางผิงอีกทอดหนึ่ง”
ปี้เหยากล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ ถึงแม้หมู่บ้านปี้จุ่ยจะมีการค้าขายผักผลไม้และไม้ฟืนกับผู้ฝึกตนอยู่บ้าง แต่กลับไม่ช่วยให้พวกมันมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเลย
เพราะอาหารส่วนใหญ่ที่ได้จากการปลูกและค้าขายนั้น ชาวบ้านจะต้องรวบรวมส่งเพื่อเป็นบรรณาการในทุกๆสิบวัน
เวลานี้หนิงเทียนได้เข้าใจแล้วถึงเหตุผลที่หมู่บ้านนี้มีชื่อว่า ปี้จุ่ย(??-หุบปาก)
ผู้คนในหมู่บ้านเพียงแค่ก้มหน้าก้มตาปลูกผัก ค้าขาย หาบรรณาการไปโดยไม่ต้องมีปากเสียงอะไรทั้ง
แค่เพียงพวกมันทั้งหมดหุบปากแล้วก้มหน้าทำงานเยี่ยงทาส สมกับชื่อหมู่บ้านมันแล้วจริงๆ
“คุณชายหนิง ข้านั้นมีความสนิทสนมกับท่านปู่ซานอยู่บ้าง เพื่อเป็นการไถ่โทษพรุ่งนี้ตัวข้าจะพาท่านไปสมัครงานที่กองคาราวานเอง”
ปี้เหยามองไปทางหนิงเทียนพร้อมกับยิ้มแห้งๆ น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสำนึกผิด
“ปู่ซาง?”
“ท่านปู่ซานเป็นผู้ดูแลขบวนคาราวาน ท่านเป็นคนใจดี ยิ่งท่านแม่เป็นคนแนะนำ ท่านปู่ต้องหางานที่ไม่ลำบากให้พี่ชายหนิงได้แน่”
ปี้ยี่ยิ้มกว้างก่อนที่มันจะกล่าวต่อ “จริงสิ พี่ชายหนิงคืนนี้ ท่านจะไปพักที่ใด?”
“อย่าได้ห่วง ข้าเป็นเพียงคนร่อนเร่ ดินคือเตียง ฟ้าคือหลังคา ขอเพียงมียังพื้นดิน ที่ไหนๆข้าก็นอนได้”
คำพูดนี้มิได้เกินเลยแม้แต่น้อย แม้ชีวิตนี้ หนิงเทียนจะอยู่ในตำหนักภูตที่โออ่า ใหญ่โต แต่ชีวิตก่อนเขาทำศึกทั่วเหนือใต้การนอนกลางดินถือว่าเป็นเรื่องปกติ
“ท่านแม่ ให้คืนนี้ให้พี่ชายหนิงพักที่บ้านเราได้ไหม”ปี้ยี่หันไปถามแม่ของมันด้วยดวงตาที่ใสซื่อ
“แต่ว่า บ้านของเรามีเพียงสองเตียงเท่านั้น”ปี้เหยากล่าวอย่างลำบากใจ แม้นางจะไม่คิดมากเรื่องที่หนิงเทียนเป็นคนแปลกหน้า
แต่ด้วยความขัดสนของบ้าน การให้คนอื่นมาพักนั้นนับว่าเป็นการสร้างความลำบากอยู่ไม่น้อย
“ให้พี่ชายหนิงนอนเตียงข้า เดียวข้าจะไปนอนกับท่านแม่เอง”รอยยิ้มที่เห็นฟันขาวของปี้ยี่ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก
เมื่อลูกของนางกล่าวเช่นนั้น ปี้เหยาเองก็ไม่ใช่คนใจแคบอย่างใด
“ถ้าเช่นนั้นคุณชายหนิง คืนนี้ท่านพักที่นี้เถอะ ข้างนอกนั้นฝนตกหนักมากคงจะไม่ดีนักที่จะให้ท่านไปนอนกลางฝน”
“เช่นนั้นข้าต้องรบกวนแล้ว” หนิงเทียนไม่ปฎิเสธความหวังดี
ถึงแม้มันจะบอกว่าเตียงคือดินฟ้าคือหลังคาก็เถอะ แต่คืนนี้ฟ้ารั่วเช่นวันนี้ ถ้ามันไม่ได้หลังคาจริงๆ มันคงต้องกลายเป็นลูกนกเปียกน้ำเป็นแน่....
“ทั้งสองคงหิวแล้ว ข้าจะไปเตรียมอาหาร” ปี้เหยา กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสามชีวิตนั่งสนทนากันอยู่ภายในบ้านเล็กๆ ขณะที่ปี้เหยากำลังเตรียมอาหาร นางพยามที่จะจุดไฟอย่างยากลำบากเพราะอากาศข้างนอกชื้นจากฝนที่กำลังตก
ปี้เหยาหยิบถุงข้าวที่เกือบจะว่างเปล่าขึ้นมา
สิบนาทีต่อมาปี้เหยาจัดเตรียมหนังสัตว์ผืนเก่าเป็นผ้ารองและวางถ้วยโจ๊กสองชามกับผักต้มถ้วยเล็ก
หนิงเทียนมองไปยังอาหารที่ปี้เหยานำมาอย่างเหม่อลอย‘ข้าต้องกินของพวกนี้’
มันเป็นผู้ฝึกตนแดนองครักษ์ เขาสามารถอดอาหารได้สบายๆเป็นอาทิตย์โดยไม่มีผลต่อร่างกาย
แต่เหตุผลที่เขาทานอาหารทุกวันเป็นเพราะความเคยชินจากชีวิตก่อนของเขานั้นเอง
“คุณชายหนิง บ้านข้าไม่มีของดีมากมาย ผักต้มนี้เป็นของดีที่สุดท่านลองทานดู”น้ำเสียงของปี้เหยาเวลานี้อ่อนโยนเป็นอย่างมาก ช่างแตกต่างจากเมื่อสองชั่วยามก่อนราวฟ้ากับเหว
ปี้ยี่ที่มองไปยังจานผักต้มด้วยความตื่นเต้น “พี่ชายหนิง ผักต้มของท่านแม่อร่อยที่สุด ท่านโชคดีมากๆ โดยปกติแล้วท่านแม่จะทำผักต้มเพียงอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น”
ด้วยความยากลำบากของครอบครัวมัน โดยปกติแล้วมันกับแม่ของมันจะกินเพียงโจ๊กเปล่าและผลไม้เท่านั้น การที่จะมีผักต้มนั้นถือว่าเป็นโอกาสที่พิเศษจริงๆ
หนิงเทียนพยามตักผักต้มเข้าปาก นี้มัน!! มันแย่มากจนเขาแทบจะกลืนไม่ลง
ไม่ได้เป็นเพราะปี้เหยาทำอาหารแย่แต่อย่างใด มันเป็นเพราะวัตถุดิบที่นำมาปรุงนั้นแย่สุดๆนั้นเอง
ในตำหนักภูตมารดาห้ามักจะทำของดีๆ ให้หนิงเทียนกินมากมาย แม้กระทั่งเนื้อของมังกรก็ไม่ใช่อาหารแปลกประหลาดอะไรสำหรับมัน
หนิงเทียนมองไปทางปี้ยี่ที่กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยและละสายตาไปทางปี้เหยา เขาสังเกตเห็นว่าปี้เหยากำลังมองพวกเขาทานอย่างมีความสุข
แต่...เหตุใดถึงไม่มีชามโจ๊กตรงหน้านาง มันฉุกคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่มันจะมองไปยังถ้วยโจ๊กของตนเอง “แม่นางปี้เหยา เหตุใดถึงไม่มีชามโจ๊กของท่าน”
หลังจากได้ยินเช่นนั้นปี้ยี่หยุดทานทันที มันพึ่งจะนึกได้ว่าแม่ของมันไปเก็บผักเก็บฟืนทั้งวัน จะมีเอาเวลาว่างตอนไหนไปกินอาหาร “ท่านแม่ท่านยังไม่ได้กินอาหาร”
“ไม่ ตอนกลางวันแม่เก็บผลไม้ และได้กินมันไปบางส่วนแล้ว เจ้าอย่าได้ห่วงแม่”
หนิงเทียนชะงัก ข้าเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ โจ๊กถ้วยนี้คงมีไว้สำหรับสองคนแม่ลูกนี้
หนิงเทียนผลักชามโจ๊กไปหน้าปี้เหยา “ท่านกินเถอะ ตัวข้าพอจะมีอาหารมาบ้าง สำหรับข้าขอเพียงชามเปล่าก็พอ”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด คุณชายหนิงเป็นผู้มีพระคุณของปี้ยี่ สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เราจะตอบแทนท่านได้ ขอให้ท่านกินมันเถอะ ตัวข้านั้นไม่หิวจริงๆ”
ปี้เหยาบอกปัดในขณะที่ท้องของนางกำลังทรยศนางเอง
“ข้าไม่ต้องการมัน” คร่านี้หนิงเทียนตอบอย่างเสียงแข็ง
ปี้ยี่ที่มองไปทางสองคน ซ้ายทีขวาที “เอาเช่นนี้”มันพูดราวกับได้ข้อสรุป
ปี้ยี่หยิบถ้วยโจ๊กตรงหน้ามันและของหนิงเทียน เทรวมกัน และตักแบ่งใหม่เป็นสามถ้วย
แม้เมื่อแบ่งแล้ว มันจะเหลือเพียงน้อยนิดก็ตามแต่มันก็หาได้สนใจ มันยิ้มกว้างไปทางทั้งสองคน
หนิงเทียนมองไปยังถ้วยโจ๊กในมือ มันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งนี้เป็นเรื่องยากลำบากเพียงใด
แต่บัดนี้มันตระหนักดีว่าตัวเองนั้นโชคดีเพียงใดที่ได้กำเนิดในโลกนี้โดยมีบิดามารดาทั้งห้าที่รักและคอยเอาใจใส่
ถ้าข้าเกิดมาในหมู่บ้านปี้ยี่เช่นนี้ ตัวข้าจะต้องดิ้นรนมากเพียงใดกัน
ในความคิดของเขาโลกนี้มันแตกต่างจากโลกในชีวิตก่อนมากมาย มีพลังฝึกตนที่เรียกว่าปราณและมีสมบัติวิเศษต่างๆมากมาย ด้วยสองสิ่งนี้มันสมควรช่วยให้ผู้คนอยู่โดยไม่ลำบาก
แต่ในความจริงแล้วจะโลกใหม่หรือโลกเก่ามันก็ไม่ต่างกันแม้แต่น้อยชนชั้นใต้การปกครองยังเป็นเพียงเศษเดนของมนุษย์ที่อยู่อย่างยากลำบากเสมอชนชั้นสูงก็ยังทำตนกดขี่ชาวบ้านอยู่ทุกยุคทุกสมัย
ในเวลานั้นเองความคิดชั่ววูบก็แล่นเข้ามาในสมองของมัน ‘ถ้าข้าได้เป็นฮ่องเต้ของแผ่นดินนี้ มันจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน’
ตัวมันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดถึงมีความคิดเช่นนี้
ทั้งสามกินโจ๊กตรงหน้าหมดอย่างรวดเร็วแม้กระทั่งผักต้มยังไม่เหลือแม้แต่ชิ้น
หนิงเทียนคล้ายพึ่งจะคิดอะไรออกมา จริงสิแม้ข้าจะไม่มีอาหารติดตัวมาแต่ในแหวนมิติข้ามี ‘น้ำผึ้งหยกเย็น’
มันหยิบน้ำผึ้งหยกเย็นออกมาหยดลงไปในชามโจ๊กที่ว่างเปล่าผสมเข้ากับน้ำฝนและยื่นให้ทั้งสองคน
“นี้คือ น้ำผึ้ง จากหมู่บ้านของข้า พวกเจ้าลองดื่มดู” กลิ่นหอมจางๆมันแผ่ออกมาจากชาม เพียงได้กลิ่นหอมจางๆทำให้ทั้งคู่หลงใหลไปกับน้ำผึ้งถ้วยนี้
“พี่ชายหนิง นี้คือน้ำผึ้งอะไร ทำไมถึงได้หอมเช่นนี้” ปี้ยี่ถามด้วยความอยากรู้ ในขณะที่มือของมันประครองถ้วยน้ำผึ้งไว้อย่างดี
“มันเป็นเพียงน้ำผึ้งธรรมดาเท่านั้น”หนิงเทียนคร้านเกินกว่าที่จะอธิบายไป
ความจริง ผึ้งหยกเย็นเป็นสัตว์อสูรลมปราณขั้นที่1 ถึงมันจะเป็นเพียงระดับ1 แต่เนื่องจากพวกมันอยู่รวมกันเป็นกลุ่มนับพันๆตัว
แม้แต่อสูรลมปราณระดับ2ยังไม่กล้าที่จะไปขโมยน้ำผึ้งของพวกมัน
น้ำผึ้งหยกเย็นถือว่าเป็นวัตถุดิบระดับโลกขั้นกลาง แม้จะยังมิได้ปรุงเป็นน้ำทิพย์
แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้มนุษย์ธรรมดากลายเป็นผู้ฝนตนในแดนมนุษย์ขั้นสองได้ภายในเจ็ดวันเพียงแค่เพียงดื่มมันลงไปเท่านั้น
...........
ยามวิกาลดึกสงัด
ฟ้าคำราม พายุโหมกระหน่ำอย่างรุ่นแรง เมฆฝนสีดำบนท้องฟ้า ไม่มีที่ท่าว่าจะจางหายไป พายุฝนยิ่งโหมแรงขึ้น สภาพอากาศรอบด้านเปลี่ยนเป็นดุดันน่ากลัว
หนิงเทียนปิดเปลือกตาอยู่บนเตียง จิตของเขาทำสมาธิเข้าสู่ห้วงการรับรู้พยามที่จะเพ่งพินิจไปยัง ม้วนภาพเทพยุทธ์ภาพที่2
เค้าลางจางๆปรากฏบนภาพที่2 มันมีเส้นสายมากมาย แต่มันเลือนรางเกินไปที่จะบอกได้ว่ามันคือภาพอะไร
หนิงเทียนรู้สึกได้ชัดเจนว่าปราณฉีภายในเส้นลมปราณของเขามีความบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น
แม้ว่าความแตกต่างจะไม่มาก แต่หลังจากที่ปราณฉีถูกโคจรไปทั่วร่างของหนิงเทียนนับสิบครั้ง ความบริสุทธิ์มันเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง1ใน100
‘แค่เพียงเส้นเลือนราง’หนิงเทียนอุทานออกมามันไม่กล้าคิดเลยเมื่อภาพที่2ปรากฎชัดออกมา ความอัศจรรย์ใดจะเกิดขึ้นกับร่างของมัน
บัดนี้ตัวมันรู้สึกเหมือนว่าใกล้ที่จะทะลวงไปดินแดนแห่งปราชญ์เต็มที
‘ยังเร็วเกินไป...ข้าต้องรอให้ปราณฉีในร่างเสถียรเสียก่อน คงจะใช้เวลาประมาณ30วัน’หนิงเทียนค่อยๆทิ้งตัวลงกับเตียงที่แข็งดุจพื้นหิน