ตอนที่ 14 คำร่ำลา
“ถึงตาข้าบ้าง พวกท่านทั้งสอง จงดูสิ่งนี้ให้ดี” น้องสี่ของพวกมันกล่าวขึ้น พร้อมทั้งเร่งพลังลมปราณไปทั่วทั้งร่าง ออร่าสีดำแผ่ออกมาจากร่างกายของมันอย่างน่าหวาดกลัว
พลันปรากฏ แสงสีดำเล็กๆขนาดเท่านิ้วก้อย ลอยออกมาจากร่างของมัน
“เมล็ดธาตุกลืนลมปราณ”ทั้งสามตะโกนออกมาอย่างเผลอตัว
แม้แต่ พี่ใหญ่ของมันที่มีท่าทีนิ่งเฉยในการละเล่นของน้องรองและน้องสามถึงกับต้องหรี่ตาแคบลงและจ้องมองไปยังสมบัติที่น้องสี่ของมันนำออกมา
เมล็ดธาตุสีดำลอยออกมาหยุดอยู่บนมือของมัน กลิ่นไอลมปราณแผ่พุ่งอย่างรวดเร็วราวกับเขื่อนที่ไม่สามารถกักเก็บพลังปราณที่กำลังถาโถมนี้ไว้ได้
“น้องสี่นี้คือ......” แม้มันจะรู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่พี่สามของมันยังถามออกอย่างไม่เชื่อสายตา
“พี่สี่ ท่านหมายถึงจะมอบ เมล็ดธาตุกลืนลมปราณ ให้กับเทียนเอ๋อ”น้องห้าถามออกอีกครั้ง
“มิผิด น้องห้า มิเช่นนั้นข้าจะกลั่นมันออกมาจากร่างเพื่ออะไร ของชิ้นนี้อยู่ในร่างข้ามานับพันปี” มันกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
“นับถือนับถือ พี่รองคนนี้ยอมแพ้จากใจจริง”
“ครั้งนี้ ข้าคงต้องยอมเจ้า”พี่สามของมันกล่าวอย่างไม่เต็มใจนัก
“น้องสี่เจ้าคิดดีแล้ว?” แม้แต่พี่ใหญ่ของมันยังต้องถามซ้ำอีกครั้ง
“ข้าต้องการเช่นนั้นพี่ใหญ่ ไม่เปลี่ยนใจแน่นอน”น้องสี่ของมันกล่าวอย่างหนักแน่น
หนิงเทียนงวนงงกับการสนทนาของบิดามารดาของมัน “ท่านพ่อสี่ นี้คืออะไร”
“ฮ่าๆ เทียนเอ๋อ ของวิเศษนี้เรียกว่า ‘เมล็ดธาตุกลืนลมปราณ’มิได้มีความสามารถในข้ามมิติเช่นกระดิ่งเร้นรอยหรือมีความสามารถในการต่อชีวิตเหมือนโอสถทิพย์เก้าทิวา
แม้กระทั้งไม่มีความสามารถป้องกันเหมือน โล่ปราการสวรรค์ มันเป็นเพียงของวิเศษที่สามารถกลืนลมปราณของผู้เป็นเจ้าของเท่านั้น”
“กลืนลมปราณของข้า?” ในใจของมันยังคงมีคำถามอยู่มากมาย
บิดาสามมองไปยังใบหน้าของหนิงเทียนที่กำลังงุนงง จึงกล่าวออกมา“เจ้าไม่ต้องห่วงไป มันเพียงกลืนลมปราณไปกักเก็บไว้ในเมล็ดธาตุนี้เท่านั้น
แต่พลังลมปราณของเจ้ามิได้หายไปจากร่างกายแต่อย่างใด มันเป็นเพียงการย้ายที่เก็บเท่านั้น”
“เมื่อ ‘เมล็ดธาตุกลืนลมปราณ’อยู่ในร่างกายของเจ้า มันจะทำให้ระดับฝึกตนของเจ้าลดลงถึง2ดินแดน
มันเป็นเพียงการเร้นซ่อนของลมปราณเท่านั้น ทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ระดับฝึกตนที่แท้จริงได้”
“ซ่อนระดับฝึกตน?” ดวงตาของมันเป็นประกายขึ้นมาทันที
“เทียนเอ๋อ เจ้าอย่าได้คิดว่ามันเพียงแค่ซ่อนระดับฝึกตนแค่นั้น ผู้ฝึกตนยิ่งแข็งแกร่งมากเพียงใด รังสีที่แผ่ออกมายิ่งซ่อนยากมากขึ้นตาม
แต่ด้วยเมล็ดธาตุกลืนลมปราณนี้มันจะทำให้ลูกเป็น พยัคฆ์ร้ายในคาบลูกแกะ” บิดาใหญ่กล่าวเสริม
“เพราะของวิเศษชิ้นนี้ ในอดีตมันทำให้พ่อสี่ของเจ้า หลบการตรวจจับ ของ ‘เย่ชิงอวิ๋น’ผู้ปกครองดินแดนตอนเหนือ
และช่วยเจ้าเมื่อครั้งเยาว์จากรังมังกรฟ้าครามได้อย่างไร้ร่องรอย” มารดาห้ากล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน
“ฮ่าๆ เสียที ที่เย่ชิงอวิ๋นได้รับฉายาว่าจอมมารฟ้า มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทูตมรณะ จูซง ไปวิ่งเล่นอยู่สวนหลังบ้านของมัน” บิดาสี่ของหนิงเทียนกล่าวอย่างเย้ยหยัน
“ขอบพระคุณท่านพ่อสี่” หนิงเทียนเข้าใจถึงการสนทนาของบิดามารดาได้อย่างดี
ในชีวิตก่อนของเขามีคำกล่าวว่า อัจฉริยะมักจะไม่ได้อยู่รอดจนจบสงคราม มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะสามารถอยู่รอดได้
เมื่อเมล็ดธาตุกลืนลมปราณเข้าสู่ร่างกายของหนิงเทียน เขาไม่ได้รู้สึกเปลี่ยนแปลงอะไรในร่างกายแม้แต่น้อย มีเพียงลมปราณที่เขาแผ่ออกมาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป
เวลานี้พลังที่แผ่ออกมาของมันเทียบเท่ากับ ดินแดนมนุษย์ขั้น9 เท่านั้น
“เรื่องร่างกายเทวะสวรรค์ของเทียนเอ๋อ พวกเราจะปกปิดมันอย่างไร” บิดาสี่กล่าวขึ้น
“เรื่องนี้มิใช่ปัญหา พี่รองได้ครุ่นคิดมาตั้งแต่หนึ่งปีก่อนแล้ว นี้คือยาเหลืองอำพันที่ข้าคิดขึ้น มันช่วยยับยังพรสวรรค์ของเทียนเอ๋อได้หนึ่งชั่วยาม”
มันหันไปกำชับกับหนิงเทียนอย่างจริงจัง “เทียนเอ๋อ เจ้าต้องกินมันก่อนที่จะทำการทดสอบศิลาพรสวรรค์ทุกครั้ง
จำไว้ว่าพรสวรรค์ของเจ้าห้ามให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาด ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ส่วนเรื่องจุดชีพจรทั้ง54 ‘เหมันต์ไร้ใจ’ของน้องห้า สามารถใช้ปราณหยิน เปิดและปิดได้ดั่งใจนึก”
“เทียนเอ๋อมาหาแม่ แม่มีของจะมอบให้”
ทั้งสามจ้องมองไปที่น้องห้าของมันอย่างรวดเร็ว คล้ายว่าพวกมันกำลังอยากรู้ในของวิเศษที่น้องห้ากำลังจะให้เทียนเอ๋อ
“เจ้าต้องเดินทางฝึกฝนในพื้นที่ราบภาคกลางนานสิบปี
นี้เป็นชุดขนสัตว์ที่ตัดเย็บอย่างประณีตสามชุด และนี่ไข่มุกเหมันต์หมื่นปี จงนำติดตัวไปด้วยแม่รู้ว่าเจ้าชอบอาบน้ำจากมันเป็นที่สุด”
หัวใจของหนิงเทียนสั่นสะท้าน มันมองไปที่เสื้อผ้าทั้งสามชุด ทุกฝีเข็มบนเสื้อผ้าทั้งสามชุดนี้มารดาของมันเป็นผู้ลงมือตัดเย็บด้วยตนเองทั้งสิ้น
เมื่อหนิงเทียนเงยหน้าขึ้นมาสบตาผู้เป็นมารดา สิ่งที่มันพบเห็นคือความรัก ความห่วงใย อย่างไร้ที่สิ้นสุดตั้งแต่ถือกำเนิดบนโลกใหม่นี้มา
มารดาห้าเป็นคนเดียวที่ไม่เคยบังคับให้มันต้องฝึกหนักและเธอทำทุกสิ่งอย่างเพื่อหนิงเทียน
ยามนี้เมื่อมันต้องออกเดินทางไกล มารดาห้าจะต้องเป็นห่วงและคิดถึงอย่างที่สุดเป็นแน่...
ดวงตาของหนิงเทียนเริ่มที่จะชื้นขึ้น น้ำตา? ครั้งสุดท้ายที่เขามีล่องรอยของน้ำตามันนานเพียงใดแล้ว “ขอบพระคุณท่านแม่”
หนิงเทียนคุกเข่าและโคกหัวคำนับไปที่มารดาของมัน
มารดาห้าส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนไปที่หนิงเทียน “และของชิ้นสุดท้ายที่แม่จะมอบให้เจ้า มันมิใช่ของวิเศษอันใด มันเป็นเพียงเครื่องรางป้องกันภัยเท่านั้น”
นางส่งแหวนสีแดงเข้มสลักด้วยลวดลายอันน่ากลัว สร้างความหวาดหวั่นแก่ผู้ที่มอง ด้านในของแหวนมีคำว่า ‘เลือด’ สลักอยู่
พี่ของมันทั้งสี่จ้องมองที่แหวนอย่าตื่นตะลึง แต่มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา…..
“เมื่อเจ้าพบปัญหาที่แก้ไม่ตก หรือไปยั่วยุขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในพื้นที่ราบภาคกลาง ให้สวมแหวนวงนี้และเดินทางไปยัง ‘นิกายเอกโลหิต’ มันจะช่วยแก้ปัญญาให้แก่เจ้าได้”
“นิกายเอกโลหิตคืออันใดท่านแม่?”
“เมื่อถึงเวลาเจ้าจะรู้ด้วยตนเอง”
นางยังกล่าวต่อ“ข้านั้นมิได้ให้ของวิเศษในการช่วยชีวิตแก่เจ้าเพราะการเดินทางครั้งนี้ของลูกเพียง เพื่อการฝึกตน มิใช่ให้เจ้าไปเสี่ยงตาย จงจำคำของแม่ให้ดี”
“ทราบแล้วท่านแม่”หนิงเทียนรับคำอย่างหนักแน่น
บิดารองหัวเราะร่า “ถูกต้อง ถูกต้อง เจ้าไปฝึกตน มิใช่ไปเสี่ยงตาย”
พี่สี่มองไปยังน้องห้าของมันและครุ่นคิดอยู่ภายในใจ
‘เฮอะ! เจ้ายังกล้าบอกว่า มิใช่ให้ไปเสี่ยงตาย ตัวข้านั้นให้เพียงของวิเศษ แต่เจ้ากับผลาญแก่นโลหิตตัวเองให้ไป ช่างน่าขันสิ้นดี’
“เทียนเอ๋อเจ้ามีแผนการเดินทางอย่างไร”
“เรียนพ่อใหญ่ ข้าต้องการเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทวีปฟ้าสวรรค์และแดนเทวะขอรับ”
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนี้ การที่เจ้าพกแหวนมิติสีทองมากมาย อาจก่อปัญหาให้แก่เจ้าได้
นี้คือแหวนมิติหยก ในนี้มีทักษะกระบี่สังหารเทพ11กระบวนที่เหลือและหินลมปราณระดับสูงไว้ให้เจ้าบ่มเพาะ จงนำสมบัติทั้งหมดของเจ้ามาเก็บรวมไว้ในนี้เถิด”
แหวนมิติหยก เป็นแหวนระดับที่ห้าจากทั้งหมด มูลค่าของมันเพียงพอที่จะซื้อเมืองหนึ่งเมืองได้เลย
“จงหยดเลือดเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของมันซะ”
เมื่อหนิงเทียนหยดเลือดลงไปแหวนมิติหยก มันเลือนหายไปจากนิ้วของหนิงเทียนทันที เพียงแค่ใจคิดมันก็ปรากฏออกมาเหมือนเช่นเดิม
นี้เป็นคุณสมบัติของแหวนมิติระดับห้าความสามารถในการซ่อนตัว
“เทียนเอ๋อตอนนี้เจ้าเหลือเพียงครึ่งก้าวจะเข้าสู่ดินแดนปราชญ์ เจ้าต้องคิดให้ดีเกี่ยวกับการชักนำธาตุจากธรรมชาติเข้าสู่ร่างกาย” พี่รองของมันไม่วายที่จะกล่าวเตือน
หนิงเทียนผงกศีรษะรับอย่างเชื่อฟัง
“เอาล่ะเรื่องที่ควรพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว” ตอนนี้เจ้าสามารถออกเดินทางได้แล้ว
“ลูกผู้ชายเมื่อถึงเวลาก็ต้องไปจงอย่าได้ลังเล”
หนิงเทียนคุกเข่าลง พร้อมโคกหัวสามครั้ง ‘ท่านพ่อท่านแม่โปรดถนอมตัว’
กลางป่าพฤกษาทมิฬ หนิงเทียนมองไปข้างหน้าอย่างมิหวั่นเกรง กระบี่พิรุณโปรย ปรากฏขึ้นในมือข้างขวา
หนิงเทียนวาดกระบี่ไปข้างหน้า เงากระบี่สายใหญ่พุ่งไปราวกับอัสนีบาท เมื่อใกล้จะปะทะกับอุ้งมือขนาดยักษ์ มันพลันแตกแต้มเป็นสายดั่งหยาดพิรุณที่กำลังร่วงลงสู่พื้น
ตูม!!! ฝนเลือดกระเซ็นออกมาจากอุ้งมือของอสูรตัวนั้น
ทันใดนั้น อุ้งมือขนาดยักษ์อีกข้างก็พุ่งเข้าปะทะ หนิงเทียนพลิ้วร่างหลบด้วยท่าเท้าเก้าวิญญาณท่องนภา ก่อนที่อุ้งมือนั้นจะฟาดต้นไม้ขนาดใหญ่ด้านหลังหนิงเทียนโค่นลง
มันแผดเสียงคำรามกึกก้องไปทั่วป่า คร่านี้มันใช้ทั้งสองมือทุบเข้าใส่หนิงเทียน
หนิงเทียนทะยานหลบไปด้านหลังต้นไม้ยักษ์ พยามที่จะใช้ความใหญ่ของต้นไม้ลดแรงปะทะจากอุ้งมือทั้งสองที่ฟาดมา
หนิงเทียนสู้กับมันมานับสิบครั้ง แม้บัดนี้เขาจะอยู่จุดสูงสุดขององครักษ์ขั้นที่9 แต่ไม่มีครั้งไหนเลย ที่หนิงเทียนจะทานพละกำลังระดับนี้ได้
ทุกๆครั้งเขาสามารถสร้างบาดแผลให้มันได้แค่เพียงภายนอกเท่านั้น สิ่งที่หนิงเทียนมีเหนือกว่ามันคือความเร็วเท่านั้น
‘แค่เพียงอาศัยพลังปราณของข้าตอนนี้คงไม่มีทางตัดผ่านผิวหนังของมันได้แน่’หนิงเทียนครุ่นคิดในใจ
“เจ้าลิงเจ้าต้องระวังให้ดี คร่านี้ข้าจะใช้กระบวนท่าที่แม้แต่ข้ายังควบคุมมันไม่ได้” หนิงเทียนกระชับกระบี่พิรุณโปรยในมือแน่
พลางวาดเป็นวงกลม บรรยากาศรอบๆมืดลงในพริบตา ‘ร่ายรำล้อเงาจันทร์’
กระบ่วนท่าที่2 ของเพลงกระบี่สังหารเทพการใช้ออกด้วยกระบวนท่านี้หนิงเทียนต้องใช้พลังปราณถึง9ใน10ส่วนของทั้งหมดที่ตัวมันมี
ฉับ!!!
บาดแผลขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นบนกลางอกของพญาวานรภูผา นี้เป็นครั้งแรกที่มันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในการฟันจริงๆ แต่นั้นก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดอุ้งมือยักษ์ที่ฟาดมาใส่มัน
ตูม!!!!
ร่างหนิงเทียนกระเด็นออกไปไกลดุจว่าวที่สายป่านขาด ร่างที่ลอยอยู่กลางอากาศของมันกระแทกต้นไม้ยักษ์โค่นลงมา
กระดูกในร่างมันหักไปหลายส่วน ถ้ามันมิได้ฝึกวิชากายาเทพอสูรป่านนี้มันคงตายตั้งแต่ยังไม่ได้ออกจากป่าพฤกษาทมิฬ
มองกลับไปยังพญาวานรภูผา บัดนี้ ราชาแห่งเขตพื้นที่นี้ มันล้มลงปรากฏแผลขนาดยักษ์กลางอกมัน
มันนอนหายใจอย่างแผ่วเบามองมาที่ หนิงเทียน แม้ว่าบาดแผลมันจะสาหัสแต่ด้วยร่างกายที่เทียบเท่ากับปราชญ์ขั้น9 กระบี่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้มันตายได้
ทั้งสองจ้องหน้ากันโดยที่พวกมันทั้งคู่ยังทรุดอยู่แทบพื้นดิน
“เจ้าลิง ยังจะสู้ต่อไหม” หนิงเทียนเปล่งเสียงออกอย่างยากลำบาก
“โคร้งงงง!!!” เสียงคำรามของสัตว์เดรัจฉานดังตอบมา
“ระหว่างเรานี้คงเป็นการ ดวลกันครั้งสุดท้าย ข้าจะไปจากป่านี้แล้วคงเป็นเวลานับสิบปี กว่าข้าจะกลับที่นี้อีก.....แม้สุดท้ายแล้วข้าก็ยังไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้อยู่ดี”
หนิงเทียนยังคงพูดอยู่คนเดียวราวกับสัตว์หน้าขนตัวนี้จะฟังคำพูดเขาออก
พญาวานรภูผาจ้องไปที่หนิงเทียน แววตาของมันไม่ได้มีความรู้สึกถึงจิตสังหารแต่อย่างใด คล้ายกับมันมองไปที่เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของมัน
“โคร้กก…..” มันคำรามขึ้นและพยามใช้พลังเฮือกสุดท้ายของมันรุกขึ้นและเดินหายเข้าไปในป่าลึก
หนิงเทียนยันกายขึ้นจากพื้น กระดูกในร่างมันของราวกับกำลังเคลื่อนออกจากกันมันหอบหายใจอย่างหนักหน่วง พลันตะโกนตามหลังไป
“เจ้าลิงโง่ อีกสิบปีเรามาดวลกันใหม่” สิ้นเสียงของหนิงเทียน พลันได้ยินเสียงคำรามออกมา ในขณะที่ร่างของพญาวานรภูผานั้นหายลับไปในป่าลึกแล้ว
หนิงเทียนล้วงเอา ‘โอสถสวรรค์ฟื้นฟูกระดูก’ ออกมาจากแหวนหยกมิติ เม็ดยาเหล่านี้เป็นของพ่อรองที่เตรียมไว้ให้มัน
ทุกโอสถที่อยุ่ในแหวนหยกมิตินี้เป็นโอสถที่ปรุงโดยพ่อรองของมันทั้งสิ้น มันโยนโอสถพื้นฟูกระดูกเข้าปากและทำการปิดตานั่งสมาธิ
….
..
เช้าวันรุ่งขึ้น
หนิงเทียนลืมตาจากสมาธิ บัดนี้กระดูกที่หักของมันหายกว่าครึ่งแล้ว ‘โอสถฟื้นฟูกระดูก’ที่พ่อรองปรุงช่างมีประสิทธิภาพมากจริงๆ
ถ้าเป็นโอสถฟื้นฟูกระดูกที่ข้าปรุงเกรงว่าคงใช้เวลาราว7วันถึงจะเชื่อมกระดูกที่หักให้ต่อกันเหมือนเดิมได้
ถ้าตัวมันรู้ว่ามนุษย์ปกติในพื้นที่ราบภาคกลางนั้นใช้เวลาฟื้นฟูกระดูกนานนับเดือน มันจะต้องรู้สึกเสียดายกับโอสถสวรรค์ที่มันใช้ไปอย่างไม่คิดแน่นอน
หนิงเทียนครุ่นคิดกับตนเองอยู่ครู่ มันก็ลุกขึ้น
“ข้าได้รับคำสั่งให้ออกไปฝึกตนในพื้นที่ราบภาคกลางแล้ว เหตุใดเจ้ายังตามข้าเป็นวิญญาณเช่นนี้ละ?”
ชายชราหลังค่อมเดินออกมาจากต้นไม้ใหญ่ “นายน้อยท่านจะไปแล้ว?”
“หึ เจ้าคงไม่ใช่จะมาส่งข้า?”
“ข้าน้อยย่อมต้องมาส่งนายน้อยให้ออกจากป่าพฤกษาทมิฬอย่างปลอดภัย”
ตาแก่คนนี่ช่างเล่นลิ้น...หนิงเทียนกล่าวอย่างมีโทสะเล็กน้อย“เจ้ามีอันใดก็ว่ามา อย่าได้อ้อมค้อม”
“นายน้อย ข้าน้อยคนนี้มีเรื่องที่อยากจะขอร้องท่าน” พ่อบ้านมู่ คุกเข่าของมันลงต่อหน้าหนิงเทียน
หนิงเทียนหรี่ตาลง “เรื่องหลานสาวของเจ้า?”
“นายน้อยถ้าท่านจะกรุณาตาแก่ใกล้ลงโลงคนนี้ ขอให้นายน้อยช่วยเหลือตระกูลมู่ด้วย”
“ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า เหตุใดจึงไม่ยืนมือเข้าช่วยด้วยตนเอง??”
“เดิมข้าน้อยเป็นแค่ตาแก่ธรรมดาเท่านั้น เพราะได้รับ บุญคุณจากนายท่านใหญ่
ท่านได้นำข้าน้อยมาอยู่แดนภูติเร้นลับ และได้สั่งสอน ชี้แนะทักษะต่อสู้จึงทำให้ข้าน้อยมีความสามารถเช่นทุกวันนี้”
น้ำเสียงของพ่อบ้านมู่เต็มไปด้วยความสำนึกพร้อมกล่าวต่อ“ข้าน้อยได้สาบานกับนายท่านใหญ่ไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าน้อยจะไม่ยุ่งเรื่องทางโลกมนุษย์อีก
และความสามารถที่ข้าน้อยมีนั้นเพียงช่วยบรรเทาความสะดวกสบาย แก่นายท่านทั้งห้าเท่านั้น”
หนิงเทียนมองไปยังพ่อบ้านมู่ ในใจพลันนึกถึงเด็กสาว นาม มู่เสวี่ย “เอาล่ะ ถ้าข้าได้ผ่านไปที่เมือง ฉางผิง ข้าจะแวะไปเที่ยวบ้านเจ้าสักครั้งแล้วกัน”
“ขอบพระคุณนายน้อยที่กรุณา” พ่อบ้านมู่มองไปที่นายน้อยของมัน ด้วยแววตาเป็นประกาย
“เจ้ายังมีเหตุใดอีก ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าอย่าอ้อมค้อมกับข้า”
“นายน้อย นี้คือป้ายบรรพชนของตระกูล ท่านกรุณาส่งมันกลับไปยังตระกูลมู่ด้วย
ถ้านายน้อยถึงตระกูลมู่แล้วเห็นใครสมควรแก่ป้ายบรรพชนนี้ที่สุด ก็แล้วแต่ความกรุณาของท่าน”
“ข้าเพียงบอกแค่จะแวะไปเที่ยว แต่มิได้รับปากว่าจะช่วยตระกูลเจ้าถ้ามันเกินความสามารถของข้า
ก็คงต้องขอผ่าน ข้าไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงกับเรื่องของผู้อื่น....”
มันหยุดคิดชั่วครู่ก่อนที่จะกล่าวต่ออย่างมีเลศนัย “แต่เอาเถอะมีไว้ดีกว่าไม่มี”
หนิงเทียนหยิบป้ายบรรพชนตระกูลใส่ไปในแหวนมิติอย่างไม่ใส่ใจที่จะมองด้วยซ้ำว่าป้ายตระกูลมู่มีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร
หนิงเทียนจับจ้องไปที่ดวงตามองพ่อบ้านมู่ พร้อมกล่าวอย่างไม่แยแส
“หนึ่งปีมาแล้ว เจ้าคิดว่าหลานสาวของเจ้ายังมีชิวิตอยู่?”
“ข้าน้อยเพียงหวังว่า ถ้านางยังมีชีวิตอยู่ นายน้อยจะมอบความเมตตาเล็กๆน้อยๆแก่นาง เพียงเท่านี้ตาแก่คนนี้จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดกับตระกูลและคงนอนตายตาหลับแล้ว”
แม้พ่อบ้านมู่จะมักทำนิสัยเย็นชา แต่หนึ่งปีนับจากที่เขาเห็นหลานสาวตนเอง ความรู้สึกผิดก็เกิดขึ้นภายในใจของเขาอย่างมาก
“มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้า ถ้าตระกูลมู่ของเจ้าเป็นดั่งเช่นตัวโง่งม ข้าอาจจะช่วยสงเคราะห์ให้หายไปเองก็ได้เจ้าไม่ต้องห่วง....”
เมื่อพ่อบ้านมู่ได้ฟังเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ มันนั้นรู้ดีว่านายน้อยของมันนิสัยเป็นเช่นไร
ถ้าจะมีใครที่สามารถอ่านความคิดของเขาออกคงมีแต่ ‘ธิดาโลหิต’ผู้ที่เป็นมารดาบุญธรรมของเขาเพียงคนเดียว
“ว่าแต่ ข้าจะเดินทางไปทวีปฟ้าสวรรค์ได้เช่นไร??”
“นายน้อยการเดินทางในทวีปฟ้าสวรรค์นั้น ท่านต้องเดินทางร่วมกับคาราวานบรรณาการเท่านั้น”