ตอนที่ 13 คำสั่งสอน
6เดือนต่อมา ณ ป่าพฤกษาทมิฬ
ไอหนาวของฤดูเหมันต์เริ่มผ่านพ้น ฤดูร้อนเข้ามาแทนที่ บรรยากาศภายนอกร้อนอบอ้าวอย่างที่สุด ใบไม้และยอดหญ้าพลั่นแห้งเหี่ยวจากความร้อน
ช่วงเวลานั้น ด้วยแรงสั่นสะเทือนของพื้นดินทำให้สัตว์ป่าน้อยใหญ่ วิ่งเตลิดแตกตื่นกันไปคนละทิศทาง
ปรากฏวานรสีน้ำตาลตัวยักษ์สูงสิบจั้ง มันมิได้เป็นสัตว์แปลกใหม่อันใด มันคือเจ้าพญาวานรภูผา ที่เป็นเจ้าถิ่นในบริเวณป่าแถวนี้
ไม่มีสัตว์อสูรขั้นที่1ตัวใดกล้าที่จะรุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของมัน จะมีเพียงอย่างเดียวที่คอยกวนโทสะของมันอยู่สม่ำเสมอก็คงจะเป็นมนุษย์ตัวเล็กผู้หนึ่ง
ทันใดนั้นเหยื่ออันโอชะปรากฎขึ้นในสายตาของพญาวานรภูผา มันเป็นเด็กหนุ่มสวมชุดหนังสัตว์สีดำ
กลิ่นอายลมปราณที่ห่อหุ้มร่างของมันเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ มันเปล่งพลังของดินแดนองครักษ์ขั้นเก้าออกมา
เด็กหนุ่มยังคงก้าวเท้าเข้าไปหาพญาวานรภูผาอย่างมิได้เกรงกลัว คล้ายกับว่ามันไม่ได้หวั่นเกรงสายตาอำมหิตที่จับจ้องมาที่มันเลย
“เจ้าลิงน้อยเจอกันอีกแล้ว ตอนนี้ข้าไม่เหมือนเช่นปีก่อนแล้วนะ”
วูบบ!!!! สิ้นเสียง เงาร่างของหนิงเทียนพุ่งทะยานออกจากพุ่มไม้ดุจสายฟ้า
แรงระเบิดจากกระบี่ที่มันกุมแน่นอยู่ในมือช่างน่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง
พญาวานรภูผาเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา อุ้งมือของมันฟาดไปปะทะกับกระบี่พิรุณโปรย
หมายที่จะตบมนุษย์ตัวจ้อยนี้ให้บี้แบนอย่างไร้ปราณี
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของพญาวานรภูผากลับเป็นมนุษย์ตัวจ้อยนี้ มันไม่ได้แหลกเละไปกับพื้นปฐพี
แต่ทว่าพลังกระบี่ของมนุษย์ตัวจ้อยกับต้านทานแรงจากอุ้งมือของมันได้
นี้เป็นครั้งแรกที่หนิงเทียนได้เผชิญหน้าโดยตรงกับพญาวานรภูผา
ด้วยทักษะกายาเทพอสูรขั้นที่2ส่งผลให้ความแข็งแกร่งของร่างกายมันเกือบจะเทียบเท่าสัตว์อสูรระดับ2เลยทีเดียว
“เจ้าลิงน้อยเจ้ามีแรงเพียงเท่านี้หรือ ไม่สมกับขนาดตัวที่ใหญ่ของเจ้าเลย”
หนิงเทียนทะยานไปด้านหลังของพญาวานรภูผาใช้ออกด้วยท่า ‘เงากระบี่ใต้อักษร’ เงากระบี่ขนาดยักษ์พุ่งตรงไปที่พญาวานรภูผา
ฉับบ!!! ด้วยกระบ่วนท่า เงากระบี่ใต้อักษร อย่างเต็มกำลังเวลานี้มันไม่ได้สร้างเพียงรอยแดงๆให้กับพญาวานรภูผาเช่นก่อนแล้ว
ทุกๆกระบี่ที่มันฟาดฟันออกจะปรากฎรอยแผลขนาดเล็กๆบนผิวหนังของพญาวานรภูผา
แต่ถึงอย่างไร แผลนั้นก็มิได้เรียกโลหิตสีแดงของพญาวานรภูผาได้อย่างที่หนิงเทียนตั้งใจ
“เจ้าลิงน้อย เหตุใดหนังของเจ้ามันถึงหนานัก” แม้หนิงเทียนจะสร้างบาดแผลให้
พญาวานรภูผาได้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายมันที่เป็นอสูรลมปราณขั้นที่2(เทียบเท่า ดินแดนปราชญ์ขั้น9)บาดแผลนั้นก็มิได้ทำอันตรายใดๆแก่มันแม้แต่น้อย
“เข้ามาลิงน้อย” ข้าอยากรู้ว่าเลือดของลิงหน้าโง่เช่นเจ้าจะเป็นสีแดงหรือไม่
โคร่กกก พญาวานรภูผาคำรามด้วยความโกรธ
มันพุ่งเข้ามาหนิงเทียนอย่างบ้าคลั่ง บัดนี้มันถูกความโกรธครอบง่ำจนเสียสติไปแล้ว
การต่อสู้ครั้งนี้หนิงเทียนได้ใช้โอสถสวรรค์ฟื้นพลังของพ่อรอง เฉกเช่นมันเป็นเพียงโอสถธรรมดาทั่วๆไปเท่านั้น
ถ้ามีผู้ใดมาพบเห็นมันคงจะก่นด่าในความโง่ของหนิงเทียนเป็นแน่ ที่ไม่ทราบถึงคุณค่าของโอสถสวรรค์เช่นนี้...
หนึ่งคน หนึ่งอสูร ต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง จากพื้นดินที่เต็มไปด้วยต้นไม้นาๆพันธุ์
เวลานี้รอบๆรัศมีสองลี้ พื้นป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์ กลับกลายเป็นพื้นที่โล่งเตียนไร้ซึ่งสิ่งมีชิวตใดๆในบริเวณนั้น
บาดแผลปรากฏขึ้นบนตัวทั้งสองมากมาย
ตอนนี้สภาพหนิงเทียนเต็มไปด้วยโลหิตทั่วร่าง แขนซ้ายของมันหักห้อยลง เหลือเพียงมือขวาที่ประครองกระบี่พิรุณโปรยในมือเท่านั้น
ส่วนร่างของพญาวานรภูผาเต็มไปด้วยบาดแผลนับสิบแห่ง แต่ไม่มีบาดแผลไหนเลยที่ จะทำให้โลหิตของมันไหลออกมาแม้แต่น้อย ร่างกายของมันแข็งแกร่งเกินไป
การต่อสู้ของหนึ่งคน หนึ่งอสูรล่วงเลยมาถึงช่วงเย็น
“วันนี้ข้าเหนื่อยแล้วพอแค่นี้ ข้าไปละ”หนิงเทียนใช้ออกด้วยวิชาท่าเก้าวิญญาณไร้เงา หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งให้พญาวานรภูผายืนคำรามด้วยความโกรธ
ในวันต่อๆมาก็ปรากฏภาพเช่นนี้เสมอๆ หนึ่งคนหนึ่งอสูรต่อยตีกันอย่างบ้าคลั่ง
แม้ว่าหนิงเทียนจะบาดเจ็บหนักเพียงใดก็ตาม เช้าวันต่อมามันจะมายั่วยุพญาวานรภูผาเหมือนเช่นเคย
โดยไม่มีเว้นวันหยุดแม้แต่วันเดียว ราวกับว่ามันทั้งคู่เป็นดั่งคู่ฝึกซ้อมของกันและกัน
……….เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในวันพรุ่งนี้เป็นวันที่หนิงเทียนจะมีอายุครบ16ปีและมันก็ถึงกำหนดที่จะได้ออกเดินทางไปยังพื้นที่ราบภาคกลางแล้ว
หนิงเทียนก็ยังนั่งบนก้อนหิน ทอดตาไปยังธารน้ำตกยักษ์ที่เป็นเหมือนประตูระหว่างป่าพฤกษาทมิฬและแดนภูติเร้นลับ
ตามปกติแล้วจิตของมนุษย์มักจะสับสนวุ่นวายกับเรื่องต่างๆตลอดเวลา สำหรับหนิงเทียนในเวลานี้ก็ไม่ต่างกัน มันเหม่อมองไปที่ธารน้ำตกอย่างไร้จุดหมาย
‘เหตุใดข้าถึงไม่สามารถเพ่งพินิจถึงภาพที่2ในม้วนภาพเทพยุทธ์ได้’
เวลานี้หนิงเทียนทำความเข้าใจ ภาพ พยัคฆ์ทมิฬกลืนจันทรา สมบูรณ์มาได้นับปีแล้ว พลังปราณฉีในร่างเขาบริสุทธิ์กว่าคนทั่วไปอย่างมาก
หนิงเทียนที่อยู่ภวังค์ของจิต ขณะนั้นก็มีแว่วเสียงใสดังออกมาข้างหู
“หากตั้งใจมากเพียงใด ยากนักที่จะจับจุดสำคัญได้ ถ้าไม่สามารถมองลึกผ่านสายตาได้ ให้ใช้จิตในการพินิจ สิ่งที่ต้องการจะเห็นได้ในพริบตา”
“ท่านแม่” หนิงเทียนหันไปยังต้นตอของเสียง
“เทียนเอ๋อ พรุ่งนี้ลูกจะต้องออกเดินทางไปพื้นที่ราบภาคกลาง ลูกวางแผนจะเดินทางอย่างไร?”
“ท่านแม่ ตัวข้านั้นมีความรู้เล็กน้อยในเรื่องพื้นที่ราบภาคกลาง ท่านแม่โปรดสั่งสอน”
มารดาห้ามองไปที่หนิงเทียนด้วยสีหน้าอ่อนโยม รอยยิ้มจางปรากฏบนริมฝีปากแต่
ประกายในดวงตากลับมีความเศร้าเจืออยู่เล็กน้อย
“เทียนเอ๋อ เรื่องในพื้นที่ราบภาคกลาง ลูกต้องผ่านมันไปด้วยตนเอง ท่านพ่อและตัวแม่เองจะไม่ได้อยู่เคียงข้างเจ้า
เวลาประสบอันตรายใด ลูกต้องใช้ไหวพริบในการเอาตัวรอดให้ได้และจำเอาไว้จงอย่างไว้วางใจใครโดยง่าย”
“ลูกจะจดจำคำสอนของท่านแม่ให้ขึ้นใจ”
จิตใจมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความโหดร้าย เล่ห์กลมากมายที่มนุษย์มีนั้นมากกว่าพวกสัตว์อสูรในป่าพฤกษาทมิฬราวฟ้ากับเหว
มารดาห้าเกรงว่าลูกของมันจะไม่เท่าทันผู้คนมากเล่ห์เหล่านั้น
แต่มันหารู้ไม่ว่าเรื่องราวที่หนิงเทียนเคยพบเจอตอนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ขุนพลสวรรค์’นั้นมากเล่ห์ กลิ้งกลอกและโหดร้ายกว่าแดนสวรรค์นี้หลายเท่านัก
ทันใดนั้นมารดาห้าก็ชี้นิ้วอันเรียวงามของนางไปที่หนิงเทียน
บรรยากาศรอบๆกลายเป็นหนาวเย็นขึ้นมาทันที สายน้ำสายใหญ่ที่ล่วงหล่นมาจากเบื้องบนธารน้ำตกพลันแข็งค้าง หยุดชะงักไปทันที
ราวกับเวลามันกำลังหยุดนิ่ง จุดประกายสีแดงพลันปรากฏขึ้นจากมิติ พุ่งตรงสู่หว่างคิ้วของหนิงเทียน และ จมดิ่งลงภายใน
“เทียนเอ๋อหลับตาและปล่อยให้มันซึบซาบเข้าสู่ชีพจรลมปราณของเจ้า”
เวลาผ่านไปชั่วน้ำในกาเดือด
หนิงเทียนค่อยๆเปิดตาขึ้น “ท่านแม่ นี้คือ”
“ตอนนี้มันไม่สำคัญกับเจ้าแต่มันจะช่วยได้ในยามวิกฤต ไปกันเถอะ พ่อทั้งสี่ของเจ้ารออยู่” มารดาห้าของมันไม่สนใจที่จะตอบคำถามของหนิงเทียน
ยามค่ำคืน อันดึกสงัด ภายในห้องโถงใหญ่ตำนักภูตเทวะ หนิงเทียนและบิดามารดาทั้ง5ของมันรวมตัวกันอยู่อย่างพร้อมเพียง ครั้งนี้พิเศษกว่าทุกครั้งแม้กระทั่งพ่อบ้านมู่ก็ยืนอยู่ด้านหน้าประตูด้วย
“เทียนเอ๋อพรุ่งนี้ เจ้าจะต้องออกเดินทาง นี่อาจจะเป็นการเดินทางที่อันตรายแต่มันจะให้ประสบการณ์มากมายแก่เจ้า
และจงจำคำของบิดาใหญ่ไว้ให้ดี เจ้ามีเวลาฝึกตนในพื้นที่ราบภาคกลาง10ปีเท่านั้น และ10ปีให้หลังจงกลับมาที่แดนภูตเร้นลับแห่งนี้โดยห้ามล่าช้าแม้เพียงหนึ่งวัน”
ครั้งนี้มันมิใช่เพียงคำกล่าวทั่วไปของบิดาใหญ่ทว่ามันเป็นดั่งคำสั่งที่หนิงเทียนต้องปฎิบัติตาม
“ข้าทราบแล้วขอรับท่านพ่อใหญ่”
บิดาสามของมันกล่าวขึ้น“เจ้าจงจำไว้อยู่ในพื้นที่ราบภาคกลางนั้น อย่าได้เอ่ยชื่อหรือ อะไรที่เกี่ยวกับแดนภูตเร้นลับนี้เด็ดขาด มันจะส่งผลร้ายแก่ตัวเจ้าเอง”
“เป็นอย่างที่พี่สามพูด ศัตรูของบิดามารดาเจ้า มีทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่เพียงแค่ในพื้นที่ราบภาคกลางเท่านั้น
กระทั่งดินแดนรอบนอกพวกเรายังมีศัตรูอยู่มากมาย พวกมันไม่มีความสามารถที่จะแก้แค้นบิดาได้
แต่ถ้ามันรู้ว่าลูกเป็นผู้สืบทอดของพวกเราแล้วละก็ มันจะต้องพลิกแผ่นดินตามล่าลูกอย่างแน่นอน”บิดาสี่กล่าวย้ำอีกคนหนึ่ง
“ข้าจะจำไว้ให้ขึ้นใจขอรับท่านพ่อสาม ท่านพ่อสี่”
“เทียนเอ๋อ เข้ามาหาพ่อใหญ่”ขณะเดียวกันมันก็ได้ส่งวัตถุชิ้นเล็กไปให้หนิงเทียน
“นี้คือกระดิ่งเร้นลอย จงพกมันติดตัวไว้ตลอด”
หนิงเทียนมองไปที่กระดิ่งเร้นลอยในมือด้วยความงุนงง
“ท่านพ่อใหญ่มันคือวัตถุชนิดใด?”
บิดาใหญ่เริ่มอธิบาย“กระดิ่งเร้นลอยเป็นอุปกรณ์ธาตุมิติระดับสูง เพียงลูกทำลายมันทิ้ง
มันสามารถที่จะเรียกบุคคลที่ทำสัญญาเลือดกับกระดิ่งเร้นลอย มาปรากฎตัวต่อหน้าเจ้าได้”
“พ่อจะให้ ‘มู่เฉิน’หยดเลือดทำสัญญากับกระดิ่งเร้นลอยไว้
แต่เจ้าจงจำไว้ให้ดี ของวิเศษธาตุมิติสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าไม่มีวิกฤตใดๆถึงชีวิตอย่าได้ใช้มันเด็ดขาด”
จากนั้นบิดาใหญ่ก็ให้พ่อบ้านมู่หยดเลือดลงทำพันธะสัญญากับกระดิ่งเร้นลอย ลำแสงสีขาวพุ่งเข้าสู่หว่างคิ้ว ของพ่อบ้านมู่
จากนั้นมันส่งหยกจิตวิญญาณของหนิงเทียนให้แก่ มู่เฉิน พร้อมกำชับกับมู่เฉินว่า
“หยกจิตวิญญาณของเทียนเอ๋อ ตราบใดที่แสงของมันมืดดับลง แสดงว่าลูกของข้ากำลังมีอันตราย
เวลานั้นข้าอนุญาตให้เจ้าออกจากแดนภูตเร้นลับเพื่อช่วยเหลือนายน้อยของเจ้าได้โดยมิต้องสนใจคำสาบานใดๆที่เจ้าได้ให้ไว้แก่ข้า”
“ขอรับนายท่าน” พ่อบ้านมู่โค้งศีรษะรับคำ ด้วยความเคารพ
“จิ๊จิ๊ พี่ใหญ่ ตัวท่านให้กระดิ่งเร้นลอยแก่เทียนเอ๋อ ตัวข้าเองจะน้อยหน้าได้อย่างไร น้องรองของมันโบกมือวัตถุสามชิ้นปรากฎต่อหน้าหนิงเทียน”
“พ่อรองแหวนมิติ ป้ายเหล็กและกล่องหยกนี้คือ?”หนิงเทียนรับของทั้งสามพร้อมถามไปยังพ่อรองทันที
“แหวนมิติทองนี้มิใช่ของวิเศษอันใดมันเป็นเพียงโอสถพิษนับสิบชนิดของตำหนักภูตโอสถที่พ่อรองปรุงขึ้นเจ้าจงนำมันติดตัวไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน”
พร้อมทั้งกล่าวต่อ“ในอดีตข้าได้ทำการค้าขายโอสถพิษมากมาย ป้ายเหล็กนั้นคือเงินทองที่ข้าเก็บสะสมไว้ เจ้าสามารถนำมันไปขึ้นเงินได้ที่สมาคมการค้าจ้าวสมุทร
ส่วนภายในกล่องหยกนั้นคือ โอสถทิพย์เก้าทิวา”
เมื่อได้ยินคำว่า‘โอสถทิพย์เก้าทิวา’ บิดามารดาทั้งสามมองไปที่กล่องยกในมือของหนิงเทียนอย่างตกตะลึง
“พี่รองท่านช่างมีน้ำใจเหลือเกิน นับถือ นับถือ”น้องสี่ของมันกล่าวยกย่อง
“น้องสี่ เทียนเอ๋อจะออกเดินทาง ของขวัญจากข้าต้องวิเศษที่สุด”
มันเน้นคำว่าวิเศษที่สุด ราวกับจะอวดอ้างความมั่งคั่งในตัวของมัน
ได้ยินเช่นนั้นคิ้วของน้องสามและน้องสี่ของมันกระตุกขึ้นมาทันที
“ท่านพ่อรอง โอสถทิพย์เก้าทิวา มันมีสรรพคุณอย่างไร’ถึงแม้หนิงเทียนจะเป็นถึงเจ้าโอสถปฐพีแต่หนิงเทียนกลับไม่เคยได้ยินชื่อโอสถชนิดนี้มาก่อน
“โอสถทิพย์เก้าทิวา มันมิใช่โอสถที่เกิดจากมนุษย์มันเป็นโอสถที่กำเนิดจากน้ำค้างหมื่นปีที่ไม่ล่วงลงพื้นเป็นเวลาเก้าวัน
เล่ากันว่านับตั้งแต่โบราณมันมีเพียง เจ็ดเม็ด เท่านั้น มันไม่ได้ส่งเสริมเพิ่มพูนลมปราณแก่ผู้กินแต่อย่างใด
แต่มันสามารถต่อชีพจรชีวิตคนได้ตราบใดที่อวัยวะภายในของมนุษย์ผู้นั้นไม่แหลกสลายไป
เมื่อได้รับโอสถทิพย์นี้ ภายใน9ทิวา มันผู้นั้นจะฟื้นจากความตายและยังช่วยเพิ่มอายุขัยได้อีก3ปี”บิดารองมันอธิบายความวิเศษอย่างภาคภูมิใจ
“มีเพียงเจ็ดเม็ดเท่านั้น?” หนิงเทียนอุทานออก มันซึ่งเป็นผู้ปรุงโอสถ ทราบดีว่าโอสถที่ในโลกมีเพียงเจ็ดเม็ดนั้น มันหายากถึงเพียงใด
“เมื่อพันปีก่อน สี่ในเจ็ด ถูกใช้ในสงครามระหว่างจักรพรรดิ หนึ่งในเจ็ดอยู่กับพ่อรอง ส่วนอีกสองคาดว่าคงอยู่ในสมาคมการค้าเจ้าสมุทร”
มารดาห้า มองไปยังโอสถทิพย์เก้าทิวา “พี่รองถ้าคนจากแดนเทวะเห็นโอสถเม็ดนี้เข้าข้าเกรงว่า นักพรตอมตะ และ อ๋องสยบสี่ทิศ
จักต้องมาเยี่ยมเยือนป่าพฤกษาทมิฬแห่งนี้ เพื่อโอสถต่อชีวิตกษัตริย์ของพวกมันเป็นแน่”
“พี่รองถ้าท่านต้องการเช่นนี้ก็ย่อมได้ เทียนเอ๋อ นี้เป็นของขวัญจากพ่อสามของเจ้า รีบมาดูว่าเจ้าชอบมันหรือไม่’ มันวางกล่องเหล็กสีดำลงบนโต๊ะพลางหัวเราะร่า
“ขอบคุณ ท่านพ่อสาม” เมื่อหนิงเทียนเปิดออก ภายในกล่องมีขนาดใหญ่ประมาณหนึ่งฝ่ามือภายในวางไว้ด้วยผนึกแก้วสีน้ำตาลเข้ม
ขนาดของมันเทียบเท่ากับหินลมปราณทั่วไปเท่านั้น จากมุมมองของหนิงเทียนมันแทบไม่ต่างอะไรกับหินลมปราณสีน้ำตาลเข้มเท่านั้น
“พ่อสามหรือมันจะเป็นหินลมปราณระดับสูงหรือขอรับ?”หนิงเทียนถามอย่างไม่รู้ความสำคัญของมัน
ยามพวกมันทั้งสามพี่น้องได้เห็นผนึกแก้วชิ้นนี้เต็มๆ ดวงตาของทั้งสามใหญ่โตขึ้นมาทันที
‘นี้มันโล่ปราการสวรรค์!!’
แม้มันจะดูคล้ายหินลมปราณระดับสูงทั่วไป แต่ปฎิกิริยาของคนทั้งสาม สามารถบอกถึงความวิเศษ ของ ผนึกแก้วสีน้ำตาล
พ่อสามของมันไม่สนใจปฎิกิริยาของคนทั้งสามมันกล่าวกับหนิงเทียนว่า นี้คือ‘โล่ปราการสวรรค์’ มันเป็นสมบัติประจำตัวของพ่อ
แม้ลักษณะมันจะดูทั่วๆไป แต่ยามที่เจ้าเผชิญภัยอันตราย จงทุบมันให้แตก มันจะปลดปล่อยม่านพลังคุ้มกันเจ้าเป็นเวลา12ชั่วยาม
เมื่อม่านพลังคุ้มกันถูกเปิดต่อให้บิดาใหญ่ของเจ้าลงมือด้วยตัวเอง พ่อสามเกรงว่าจะเขาจะต้องนั่งรอจนกว่าม่านพลังนี้จะสลายไปเองเท่านั้น
“ในอดีตพ่อได้ใช้ ‘โล่ปราการสวรรค์’ท่องแดนสวรรค์รอบนอก มันช่วยให้พ่อพ้นจากความตายมานับครั้งไม่ถ้วน
บัดนี้มันหลงเหลืออยู่เพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้น นี้จึงเป็นของวิเศษป้องกันรักษาชีวิตอย่างแท้จริง”
“มันย้ำคำว่า อย่างแท้จริง” และปลายตามองไปยังพี่รองมองมันอย่างภาคภูมิ
“น้องสามเจ้าจะบอกว่า โอสถทิพย์เก้าทิวาของข้าต้องตายก่อน แต่ของเจ้าไม่อย่างนั้นรึ?” พี่รองของมันหรี่ตาแคบลง
“ฮ่าฮ่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้นแม้แต่น้อยพี่รอง” เสียงหัวเราะอันน่าเกลียดของมันดังทั่วห้อง
หนิงเทียนมองไปยังของทั้งสองในมือมันอย่างลิงโลด
นี้มันไม่ใช่การให้ของขวัญในการออกเดินทางครั้งแรกของมันแล้ว มันราวกับการแสดงประชันของวิเศษในหมู่พี่น้องของพวกมันมากกว่า