ตอนที่ 12 วิกฤตแดนภูติ
พื้นที่ราบภาคกลางที่เต็มไปด้วยไฟสงคราม ทั่วทุกแห่งเต็มไป
ด้วยการนองเลือดจากการแก่งแย่งชิงดินแดนของอำนาจต่างๆ ไม่ต้องกล่าวถึงขั้วอำนาจทั้งสี่
แค่เพียงสำนักต่างๆ ตระกูลน้อยใหญ่ หรือชนเผ่าห่างไกล ก็มีการต่อสู้กันอยู่บ่อยๆ
...
....
พี่ใหญ่ของมันมิได้ตอบคำถามของน้องสาม ทั่วทั้งห้องอยู่ในความเงียบชั่วขณะ
มีแต่เพียงเสียงระบายลมหายใจออกมาเท่านั้น
เฮ้อ!!!!
พี่ใหญ่มันเปิดปากออกมา “เมื่อพันปีก่อน การต่อสู้ที่หุบเขาเหนือราชันย์ ได้ถูกกล่าวขานว่า ‘สงครามจักรพรรดิ’
ในเวลานั้นมีผู้ที่เข้าสู่ระดับขั้นจักรพรรดิเพียง10คน 9ใน10คนได้เข้าร่วมสงครามในครั้งนั้นทั้งหมด ขาดเพียงแต่ ‘แพทย์เทวดา’ ที่หายสาบสูญไป...
ในเวลานั้นทวีปทางเหนือและใต้ร่วมมือกันเข้าเปิดศึกกับดินแดนตะวันออก”
“พันธมิตรเหนือใต้ นำทัพโดย ‘จอมมารฟ้าและราชันทมิฬ2จักรพรรดิแดนเหนือและใต้’ พร้อมกับอีก3จักรพรรดิที่เหลือ
โดยทางดินแดนเทวะ นำโดย ‘กษัตริย์สวรรค์และนักพรตอมตะ’ ตัวพี่ใหญ่เองก็เป็นหนึ่งในจักรพรรดิของฝ่ายตะวันออก”
“พี่ใหญ่แล้วผลการต่อสู้เป็นอย่างไร...”
“สงครามครั้งนั้นกินเวลาไป7วัน7คืน ตัวข้าเองปะทะกับ ‘เทพไรน้ำตา เซียวหลงซาน’
แม้พวกเราทั้งสองจะเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ทั้งข้าและจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นไม่มีฝ่ายใดเอาจริงแม้แต่น้อย
ตอนกลางวันพวกเราปะทะเพลงกระบี่ ตกค่ำพวกเรานั่งร่ำสุรากัน
อีกสามจักรพรรดิก็เช่นกัน พวกเรามักจะปะทะคารมกันเสียเป็นส่วนใหญ่
ในเวลานั้นผู้ที่ต่อสู้กันจริงจังเห็นจะมีเพียง จอมมารฟ้า ราชันทมิฬ กษัตริย์สวรรค์และนักพรตอมตะ สี่คนเท่านั้น
การต่อสู้ของทั้งสี่สะเทือนไปทั่วพื้นที่ราบภาคกลาง ในวันที่7ของสงคราม กษัตริย์สวรรค์และนักพรตอมตะก็ได้สยบ ราชันทมิฬและจอมมารฟ้าลงได้
แม้ว่าดินแดนตะวันออกจะเป็นฝ่ายชนะแต่ก็ต้องแลกมาด้วย เมืองหน้าด่านที่ใหญ่ที่สุดของดินแดนเทวะ เมืองรุ่งอรุณหายสาบสูญไปชั่วนิรันดร์”
“พี่ใหญ่เหตุใดฝ่ายตะวันออกที่ชนะสงคราม ถึงไม่สังหารกษัตริย์สวรรค์และราชันทมิฬแล้วเข้ายึดดินแดนทางเหนือและใต้?”
“หึ ถึงแม้มันจะถูกเรียกกล่าวขานอย่างยิ่งใหญ่ว่าสงครามจักรพรรดิ
แต่แท้จริงแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับละครปาหี่แม้แต่น้อย
แม้ว่าผลการต่อสู้แดนเทวะจะเป็นผู้ชนะก็ตาม แต่ผลของสงครามมันถูกกำหนดมาตั้งแต่สงครามยังไม่เกิดด้วยเริ่มด้วยซ้ำไป”
“พี่ใหญ่ท่านหมายความว่าอย่างไร” พวกมันทั้งสี่แทบจะกล่าวขึ้นพร้อมกัน
“ไม่มีจักรพรรดิคนไหนต้องการเห็นแดนเทวะมีอำนาจมากจนเกินไป
และก็ไม่มีจักรพรรดิคนใดต้องการเห็นพันธมิตรเหนือใต้เอาชนะแดนเทวะได้
พวกมันถูกกำหนดให้ต่อสู้กันโดยไม่มีผู้ใดแพ้และชนะ”
“ในเวลานั้น กษัตริย์สวรรค์รู้ดีว่ามันไม่อาจสังหารราชันทมิฬและจอมมารฟ้าได้
มันจึงได้ร่างสัญญาจักรพรรดิขึ้นมา โดยมิให้จักรพรรดิผู้ใดทำการต่อสู้กันเอง
ในเวลานั้นมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
เนื่องจากราชันทมิฬและจอมมารฟ้าเป็นผู้พ่ายสงคราม ฝ่ายที่เห็นด้วยจึงมีมากกว่า
จักรพรรดิทั้งเก้าได้ลงนามในสัญญา เป็นเหตุให้พันปีมานี้ ไม่มีสงครามระหว่างดินแดนเกิดขึ้นเลย”
เมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้ น้ำเสียงของมันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที
“เมื่อสิ้นกษัตริย์สวรรค์ พี่ใหญ่เกรงว่านักพรตอมตะคนเดียวจะไม่สามารถหยุดยั้งความทะเยอะทะยานของทั้งสองคนได้
แม้ว่าอ๋องสยบสี่ทิศของ แดนเทวะ จะก้าวมาเป็นจักรพรรดิคนที่11แล้วก็ตามที”
“พี่ใหญ่ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่า สัญญาจักรพรรดิจะสิ้นสุดลง พื้นที่ราบภาคกลางจะกลับสู่ กลียุค อีกครั้ง” น้องสามของมันกล่าวเสียงดัง
“แม้จะคืนสู่ กลียุค แต่พวกเรานั้นไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพื้นที่ราบภาคกลางแล้ว พวกเราจะ สนใจไปทำไม?”เสียงใสกังวานของน้องห้าดังขึ้น
พี่รองกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ข้าคิดว่าไฟที่เราไม่ได้จุดจะลุกขึ้นมาเผาพวกเรา
ถึงแม้พวกเราจะไม่อยากยุ่งเรื่องภายนอก แต่เรื่องภายนอกนั้นจะวิ่งเข้ามาหาเราเอง”
“พี่รองท่านหมายความว่า?” น้องห้าถามออก
“ถูกของน้องรองแล้ว หนามที่คอยทิ่มตำ ‘เย่ชิงอวิ๋น’อยู่มิใช่แดนเทวะ แต่เป็น ป่าพฤกษาทมิฬแห่งนี้” พี่ใหญ่ของพวกมันกล่าวเสริมในความคิดของน้องรอง
“พี่ใหญ่ ท่านคิดเหมือนข้า ‘จอมมารฟ้า’ มันคงไม่ยอมให้ใครมาอยู่หลังบ้านมันตลอดไป”พี่รองกล่าวเสริม
“ถึงเวลานั้นพวกเราคงต้องสู้ แล้วท่านมีแผนการอย่างไร” น้องสามเอ่ยขึ้น
“เจ้ามิต้องต้องกังวล ถึงเราจะเป็นเป้าหมายของ‘เย่ชิงอวิ๋น’แต่เมื่อ9ปีก่อนน้องรองได้ ก้าวมาเป็นจักรพรรดิที่12 มันคงไม่กล้าพอจะบุกแดนภูตของเรา”
“ข้าคิดว่าครั้งนี้ ไม่ง่ายเหมือนเมื่อพันปีก่อนแน่”เมื่อได้ยินคำพูดของน้องสี่ ดวงตาของคนทั้งสี่หรี่ลงอย่างรวดเร็ว
“น้องสี่ เจ้าหมายถึง จักรพรรดิคนอื่นจะเข้าร่วมสงครามอย่างแท้จริง?” พี่รองของมันถามออกเวลานี้คิ้วของมันขมวดเข้าหากัน
“ข้าคิดว่าเป็นเช่นนั้น”
“มีเหตุผลอันใดที่จะทำให้พวกมันเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้” พี่สามถามออกมา
“พี่สามท่านลืมไปแล้วหรืออย่างไร ในสุสานจักรพรรดิบรรพกาลครั้งนั้น
กษัตริย์สวรรค์ได้ครอบครอง ‘ลัญจกรมังกรคู่’ อาวุธสวรรค์ของจักรพรรดิบรรพกาลหวงตี้’ ตามตำนานเล่าว่ามันเป็นอาวุธที่มีจิตวิญญาณของอสูรเทวะ
พี่สามของมันกล่าวแย้ง “น้องห้าอสูรเทวะของเผ่าอสูรเทียบได้กับจักรพรรดิของเผ่ามนุษย์ มันไม่มีทางที่จะมากลายเป็นอาวุธจิตวิญญาณของจักรพรรดิบรรพกาลได้
และถ้า1ใน100ตำนานที่เล่าเป็นจริง เหตุใด กษัตริย์สวรรค์ที่ครอบครองอยู่ถึงไม่เคยใช้มันออกมา”
“น้องสามเจ้าอย่าได้มองข้าม เรื่องเล่าพวกนี้ พวกเราก็ได้สัมผัสม้วนภาพเทพยุทธ์ด้วยตนเองมาแล้วไม่ใช่หรือ?”
“ที่พี่รองกล่าวก็มีเหตุผล ม้วนภาพเทพยุทธ์ยังเป็นทักษะที่ท้าทายสวรรค์ และ เหตุใด อาวุธของจักรพรรดิบรรพกาลจะเป็นแค่เพียงอาวุธจิตวิญญาณทั่วไป”น้องห้ามันกล่าวเสริม
“สิ่งที่น้องสี่กล่าวมิใช่เรื่องที่เราจะมองข้าม จักรพรรดิที่เหลืออาจจะเคลื่อนไหวในสงครามครั้งนี้ ข้ามีแผนในใจแต่ยังต้องการความเห็นของพวกเจ้าทั้งสี่”
“พี่ใหญ่ท่านกล่าวมาเถอะ พวกเราทั้งหมดพร้อมทำตามอยู่แล้ว”
“เรื่องนี้เราพอมีเวลาที่จะเตรียมตัว พวกเราทั้งห้าต้องเก็บตัวบ่มเพาะโดยเฉพาะน้องห้า เจ้าต้องทะลวงขึ้นมาเป็นจักรพรรดิให้ได้ภายใน10ปี เมื่อนั้นแดนภูติของเราก็ไม่ต้องไปเกรงอำนาจใด”
“ส่วนเรื่องเทียนเอ๋อ ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งปีในการสั่งสอนเคล็ดวิชาที่เหลือ หนึ่งปีให้หลังข้าจะส่งเทียนเอ๋อ ออกไปฝึกตนในพื้นที่ราบภาคกลาง”
“ข้าเห็นด้วย ความรู้ความสามารถของเทียนเอ๋อจะต้องสร้างชื่อได้แน่นอน”น้องสามกล่าวอย่างมั่นใจ
“พี่ใหญ่ แม้เทียนเอ๋อจะเก่งกาจเหนือกว่าผู้เยาว์ในรุ่นเดียวกัน แต่ถ้าเทียบกับพวกตาแก่รกโลกในพื้นที่ภาคกลาง เทียนเอ๋อเป็นเพียงแค่แสงหิ่งห้อย” น้องห้ากล่าวอย่างเป็นห่วง
“เทียนเอ๋อไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปยั่วยุคนพวกนั้น และข้าคิดว่า พวกมันคงคิดเช่นเดียวกับเรา ตอนนี้มันคงปิดประตูบ่มเพาะฝึกวิชากันอย่างบ้าคลั่งแน่”
“ไม่มีบิดา มารดา คนใดเลี้ยงบุตรได้ตลอดไป การให้เทียนเอ๋อไปเผชิญโลกมันเป็นผลดีแก่ตัว เขา” พี่รองของมันกล่าวเสริม
“ถูกต้องแม้จะอันตรายเพียงใดแต่ข้าเชื่อว่า เทียนเอ๋อ เอาตัวรอดได้แน่”
“น้องห้า เมื่อพี่สี่ของเจ้าอายุเท่าเทียนเอ๋อ ข้าได้ออกมาผจญโลกกว้างถึงได้พบพานโชคชะตามากมาย เจ้าอย่าได้กังวลไป”
“แต่ว่า.....”แม้ว่าพวกพี่ๆของมันจะกล่าวเช่นนั้น แต่ตัวมันยังไม่อาจวางใจได้
“น้องห้าเจ้าอย่าได้ห่วง แม้พวกเราทั้งห้าจะเก็บตัวบ่มเพาะก็ตามแต่ข้าจะให้พ่อบ้านมู่ ถือหยกจิตวิญญาณของเทียนเอ๋อไว้ค่อยช่วยเหลือยามจำเป็น”
“ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามที่พี่ใหญ่เห็นสมควร”
แม้ว่าจะยังไม่เห็นด้วย แต่นางก็เข้าใจในสิ่งที่พี่ๆของนางกล่าวออกมา มันเป็นหนทางที่ดีที่สุดในตอนนี้ และมันจะเป็นเส้นทางให้เทียนเอ๋อของนางเติบโตไป
.........
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อหนิงเทียนกลับมาถึงตำหนักภูตสิ่งแรกที่มันทำคือการเข้าไปในตำหนักภูตเหมันต์ เพื่อที่จะลงแช่ในไข่มุกเหมันต์หมื่นปี
“เย็นสบายเสียจริง....ข้าไม่ได้ลงแช่มันมาหกเดือน แม่น้ำในป่าพฤกษาทมิฬเหมือนเช่นน้ำร้อนหาได้เหมือนน้ำในตำหนักภูตเหมันต์ของท่านแม่ไม่”
“เทียนเอ๋อ เจ้ากลับมาเหตุใดยังไม่มาหาแม่ หรือเจ้าลืมไปแล้วว่ายังมีแม่คนนี้อยู่”
เสียงบางเบาดั่งขึ้นมาด้านหลังหนิงเทียน สำหรับมันแล้ว เสียงของแม่ห้า เย็นเยียบยิ่งกว่าไข่มุกเหมันต์หมื่นปีซะอีก
“ท่านแม่ข้า ข้ากลับมาแล้ว’หนิงเทียนพยามทำตัวเป็นปกติเหมือนว่ามิมีเหตุใดเกิดขึ้น
“เทียนเอ๋อ เจ้ากินอะไรมาหรือยัง”เสียงของแม่ห้าแม่จะเย็นชาแต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“ยังเลยท่านแม่”หนิงเทียนรู้สึกแปลกใจ ทุกๆครั้งที่มันหนีออกไปข้างนอกนานๆเมื่อมันกลับมาแล้วแม่ห้ามักจะดุมันอยู่ตลอด แต่เวลานี้กลับไม่เป็นเช่นทุกครั้ง
หนิงเทียนเข้าใจได้ดี ป่าพฤกษาทมิฬเต็มไปด้วยความอันตรายแม้จะมีพ่อบ้านมู่คอยเฝ้าดูแต่แม่ของมันก็ยังเป็นห่วงในความปลอดภัยมาก
“เช่นนั้นแม่จะไปเตรียมอาหารมาให้เจ้า” สิ้นเสียง มารดาห้าของมันก็เดินจากไป
“แปลกแฮะ เหตุใดท่านแม่ถึงไม่ดุหรือว่าท่านจะโกรธข้ามาก”
ภายในโต๊ะรับประทานอาหารตำหนักภูตเหมันต์ มีหนึ่งบุตรหนึ่งมารดา นั่งทานอาหารกันอยู่ในความเงียบ...
เสียงของเด็กหนุ่มดังออกมาทำลายความเงียบ “ท่านแม่ท่านโกรธข้าขอโทษที่ออกไปโดยมิได้บอกท่าน”
หนิงเทียนกล่าวด้วยความรู้สึกผิด มันยอมให้แม่ห้าของมันดุว่า ยังจะดีเสียกว่าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
“ไม่มีเหตุใดที่แม่ต้องโกรธลูก เทียนเอ๋อเจ้ากินอีกสิ กินเยอะๆ”ใบหน้าของมารดาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน มันเป็นความอบอุ่นที่หนิงเทียนคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“อาหารฝีมือท่านแม่อร่อยที่สุด” หนิงเทียนกินอย่างรวดเร็วหกเดือนมาแล้วที่เขาไม่ได้กินอาหารฝีมือท่านแม่
“ค่อยๆกินก็ได้ ไม่มีผู้ใดมาแย่งเจ้าหรอก”แม้ว่าตอนนี้หนิงเทียนจะอายุ15ปีแล้วก็ตาม
แต่ในสายตาของมันหนิงเทียนยังไม่ต่างอะไรกับทารกน้อยที่มันคอยป้อนขาวเวลาหิวและเช็ดตัวในเวลาที่ไม่สบาย
“เทียนเอ๋อ เมื่อเจ้ากินเสร็จแล้ว แม่มีเรื่องสำคัญจะพูดกับเจ้า”
“ท่านแม่ มีเรื่องสำคัญอันใดจะพูดกับข้า?” หนิงเทียนยกศีรษะที่กำลังวุ่นอยู่กับอาหารในจานขึ้นมา มองไปยังใบหน้าที่สละสวยของมารดาห้า
เวลานี้น้ำเสียงของมารดาห้าเต็มไปด้วยความจริงจัง เคร่งเครียด “ท่านพ่อทั้งสี่และแม่ ตัดสินใจกันแล้ว อีกหนึ่งปีหลังจากนี้ พวกเราจะส่งเจ้าไปฝึกตนในพื้นที่ราบภาคกลาง”
“พื้นที่ราบภาคกลาง” หนิงเทียนตะโกนออกด้วยความดีใจ มันเป็นสิ่งที่เขาหวังอย่างมากในการออกไปพบเห็นสิ่งต่างๆในโลกที่แปลกพิสดารใบนี้
“แต่มีข้อแม้ว่า ภายในหนึ่งปีนี้ต้องทำให้แม่เห็นว่าเจ้าแข็งแกร่งพอที่จะดูแลตัวเองได้ มิเช่นนั้นต่อให้พ่อทั้งสี่ของเจ้าคิดเช่นไร แม่จะค้านให้ถึงที่สุด”
“ข้าจะตั้งใจบ่มเพาะพลัง ไม่ทำให้ท่านแม่ผิดหวังแน่นอน” ในเวลานี้ดวงตาของมันเปล่งประกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มารดาห้ามองไปยังแววตาเป็นเปล่งประกายของหนิงเทียน มันกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้“เช่นนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พรุ่งนี้เจ้าจะต้องเริ่มเรียนสุดยอดวิชาของแม่”
“ข้าพร้อมแล้ว ท่านแม่โปรดสั่งสอน” หนิงเทียนกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
มารดาห้าแปรเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นแข็งกร้าวในทันที นี้แทบจะเป็นครั้งแรกที่หนิงเทียนได้ยินน้ำเสียงที่ทำให้ขนในกายของมันลุกซู่ด้วยความหวาดกลัว ร่างกายเย็นเหยียบในทันตา
“ทักษะต่อสู้ที่สร้างชื่อให้กับข้ามีชื่อว่าวิชา ‘เหมันต์ไร้ใจ’ ทักษะนี้ผู้ใช้จะต้องมี
พลังหยินในร่างที่สูงมาก ถึงจะแปรเปลี่ยนพลังลมปราณในร่างให้กลายน้ำแข็งได้
สำหรับตัวเจ้าซึ่งอาบไข่มุกเหมันต์หมื่นปีมาตั้งแต่แรกเกิดจึงไม่เป็นปัญหาใดๆ”
มารดาห้ายกนิ้วขึ้นมาแตะหน้าผากของหนิงเทียน มวลความรู้ต่างๆของทักษะวิชาเหมันต์ไร้ใจพุ่งสู่จิตวิญญาณแห่งการรับรู้ของเขา
มันคล้ายกับตอนที่เขาได้รับทักษะม้วนภาพเทพยุทธ์
“ท่านแม่นี้มัน....” หนิงเทียนกล่าวด้วยความตกตะลึง เคล็ดวิชาและกระบวนท่าหลั่งไหลเข้ามาภายในหัวของมันอย่างบ้าคลั่ง
“เหมันต์ไร้ใจคือทักษะโบราณ ที่สืบทอดมาจากบรรพกาล ตระกูลของแม่สืบเชื้อสายมาจากเทพแห่งน้ำแข็ง
ทักษะนี้จึงสามารถส่งต่อทางจิตวิญญาณได้เช่นเดียวกับทักษะวิชาม้วนภาพเทพยุทธ์ของเจ้า”
ข้าได้บอกถึงหลักการและวิธีใช้ออกของเหมันต์ไร้ใจให้แก่เจ้าแล้ว ที่เหลือล้วนอยู่ที่ตัวเจ้าแล้วว่าจะเรียนรู้มันได้ถึงเพียงไหน....
หนิงเทียนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ภายในหัวของหนิงเทียนตอนนี้ไม่ได้มีเพียงทักษะวิชาเหมันต์ไร้ใจเพียงทักษะเดียว แต่มันมีถึงสองทักษะ
“ท่านแม่ เหตุใดถึงไม่ได้มีแค่เหมันต์ไร้ใจทักษะเดียวและอีกทักษะหนึ่งคือ...?”มันมองไปยังใบหน้าของแม่ห้าราวกับต้องการคำตอบจากปากนาง
“ทักษะที่สองคือวิชา ‘เหมันต์นิรันดร์’ มันเป็นทักษะที่จะถ่ายทอดเฉพาะผู้สืบทอดเท่านั้น
อีกทั้งเหมันต์นิรันดร์ยังเป็นทักษะที่ใช้โลหิตของตนเองมาสร้างเป็นปราณน้ำแข็งสีเลือด
ยิ่งเจ้าใช้ทักษะเหมันต์นิรันดร์มากเพียงใด อายุไขของเจ้าก็จะถูกมันบั่นทอนลงไปมากเท่านั้น”
มารดาของมันยังกล่าวต่อ“อีกเรื่องที่เจ้าต้องรับปากแม่ ทักษะเหมันต์นิรันดร์นั้นเป็นวิชาต้องห้ามตราบใดที่ไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต เจ้าห้ามใช้มันเด็ดขาด”
“ขอรับท่านแม่” หนิงเทียนผงกศีรษะรับคำ ภายในใจของมันทบทวนคำพูดของแม่ห้าอย่างถี่ถ้วน เหมันต์นิรันดร์สมควรเป็นสุดยอดวิชาสายจู่โจมอย่างแท้จริง...