ตอนที่ 11 เมืองฉางผิง
หนิงเทียนจับจ้องไปยังเด็กสาวอย่างไม่วางตา “ปีนี้ข้าอายุสิบห้าปี รู้แบบนี้แล้ว เจ้ายังจะเรียกข้าเป็นผู้อาวุโสอีกงั้นรึ??”
“สิบห้าปี!!!!”เสียงของทั้งสองแทบจะดังขึ้นพร้อมกันดวงตาแข็งค้างมองไปที่ หนิงเทียนด้วยสีหน้าตกตะลึง ‘สังหารฝูงหมาป่าหลังแดงได้ในพริบตา เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่??’
ในความคิดของเฉิงฮ่าว ‘สหายน้อยผู้นี้จะต้องเป็นอัจฉริยะวัยเยาว์มีภูมิหลังเป็น ตระกูลใหญ่ในพื้นที่ราบภาคกลางอย่างแน่นอน’
เด็กสาวรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วนอย่างเขินอาย “เรื่องนี้...เรื่องนี้...เป็นเพราะผู้มีคุณ แข็งแกร่งจนข้าคิดว่าเป็นยอดยุทธ์ที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ จึงได้กล่าววาจาล่วงเกิน ต้องขออภัยจริงๆ”
หนิงเทียนพยักหน้า หากนับอายุในชีวิตก่อน มันนับว่าเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กสาวมากจึงไม่คิดถือสา หากแต่ได้กล่าวคำถามที่คิดสงสัยอยู่ในใจ “ว่าแต่!!! เมื่อครู่...เจ้าบอกว่า ตัวเองแซ่มู่งั้นรึ??”
“ใช่แล้ว ผู้มีคุณ ข้ามาจากตระกูลมู่ มีนามว่ามู่เสวี่ย?” นางกล่าวตอบอย่างไม่ปิดบัง
ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนส่ายศีรษะด้วยความคิด “แปลกจริงๆ เป็นแซ่ที่ดูคุ้นหูมากจริงๆ”
มู่เสวี่ยแย้มยิ้มอย่างภาคภูมิ “ตระกูลมู่ของเราเป็นสามตระกูลใหญ่ในเมืองฉางผิง พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างในเรื่องการค้า หากผู้มีคุณได้ไปที่เมืองฉางผิง ให้เกียรติตระกูลมู่ได้รับรองท่านบ้าง”
“เมืองฉางผิง? เมืองฉางผิงนี้อยู่ที่ใดกัน” หนิงเทียนถามกลับด้วยความสนใจ
“สหายน้อยท่านไม่รู้จักเมืองฉางผิง หรือว่า ท่านมิใช่คนของทวีปฟ้าสวรรค์?” มู่เฉิงรีบกล่าว
“ทวีปฟ้าสรรค์?” หนิงเทียนพูดซ้ำอีกครั้ง ความสงสัยบังเกิดขึ้นภายในใจ มันกล่าวต่อด้วยความตื้นตัน “ข้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนชาวป่าชาวดอยเท่านั้น พวกเจ้าพอจะบอกเล่าเรื่องราวภายนอกให้ข้าฟังบ้างได้หรือไม่?”
‘ภายนอก?? หรือว่าเด็กคนนี้จะอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้’ เฉิงฮ่าวมีคำถามในใจมากมาย
มันกลัวว่าจะเป็นการไม่สมควรที่จะกล่าว จึงไม่ได้ถามสิ่งใดออกไป
“ลุงเฉิงให้ข้าได้เป็นผู้เล่าเรื่องภายนอกให้ผู้มีคุณได้ฟัง” เวลานี้น้ำเสียงของมู่เสวี่ยสดใสราวกับน้ำค้างแก้ว
“พื้นที่ราบภาคกลางที่มนุษย์เราอาศัยอยู่แบ่งออกเป็น4ดินแดน ดินแดนตอนเหนือพวกเราเรียกว่า ทวีปฟ้าสวรรค์ เพราะเป็นเขตปกครองของอาณาฟ้าสวรรค์ และป่านรกดำที่เรากำลังยืนอยู่นี้ อยู่ในส่วนลึกของทวีปเหนือ
ทวีปฟ้าสวรรค์ประกอบไปด้วยเมืองใหญ่3เมือง ไห่หนาน จี้หลิน และ ฉางผิง
ทั้งสามอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรฟ้าสรรค์ ฉางผิงนั้นเป็นเมืองท่าหน้าด่านของทิศตะวันออกติดกับแผ่นดินใหญ่ที่ชื่อว่า ดินแดนเทวะ ”
“แดนเทวะ?” หนิงเทียนสะดุดกับคำว่าเทวะ ‘ผู้ใดช่างกล้าหาญเทียมฟ้าตั้งชื่อดินแดนของตนเองว่าแดนเทวะกันนะ??’
“หรือว่าผู้มีคุณ ไม่รู้จักแดนเทวะ??” เวลานี้น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความงุนงง เหลือเชื่อว่ายังมีคนไม่รู้จักดินแดนที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่อีก
หนิงเทียนส่ายศีรษะพร้อมกล่าวย้ำ “ข้าบอกเจ้าแล้วไง ข้าเป็นเพียงคนป่าคนดอยเท่านั้น”
เฉิงฮ่าวรีบกล่าวเสริม “แดนเทวะเป็นดินแดนทางทิศตะวันออกของพื้นที่ราบภาคกลาง และเป็นเขตปกครองที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางอีกด้วย”
“แล้วอีกสองดินแดนที่เหลือละ??” หนิงเทียนถามต่อด้วยความอยากรู้ ตลอดสิบห้าปีมันไม่เคยย่างกรายออกไปจากป่านรกดำเลย จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้รับข่าวสารเกี่ยวกับโลกภายนอก
“ดินแดนด้านตะวันตกเป็นเขตปกครองของอาณาจักรมายานิรันดร์ และดินแดนด้านใต้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของนิกายมารทมิฬ”
เฉิงฮ่าวยังกล่าวต่ออีกว่า “สหายน้อย เรื่องดินแดนทั้งสามนั้น ข้ารู้เพียงผิวเผินเท่านั้น แต่จากความคิดข้า ด้วยความสามารถของท่านแล้ว การจะเดินทางท่องเที่ยวไป ทั่วทั้งสี่ดินแดนไม่ใช่เรื่องยากอันใดแม้แต่น้อย”
หนิงเทียนรีบสงบอาการตื่นเต้นในใจ สิ่งที่มันได้ยิน เกี่ยวกับเรื่องราวภายนอกนั้น บิดามารดาไม่เคยพูดถึงและในตำราก็ไม่เคยบันทึกไว้
“จริงสิ ข้ายังไม่ได้ถามพวกเจ้า เหตุใดถึงเข้ามาในป่าพฤกษามรกตแห่งนี้??”
“พวกเรามาตามหาท่านบรรพชนที่หายสาบสูญ” สีหน้าของเฉิงฮ่าวเต็มไปด้วยความหวังเมื่อกล่าวถึง
“บรรพชน?” ในหัวของหนิงเทียนเริ่มที่จะประมวลความคิดต่างๆออกมา ‘บนโลกนี้คงไม่มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้หรอกมั้งนะ’
“สหายน้อย ท่านพบเจอมนุษย์ในที่แห่งนี้บ้างหรือไม่??” เฉิงฮ่าวกล่าวถามอย่างคาดหวัง ถ้าพื้นหลังของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาและไม่รู้จักเรื่องราวภายนอก เป็นไปได้ว่าเขาจะอาศัยอยู่ในป่านรกดำแห่งนี้
“มีแต่คนตายเท่านั้น ที่จะอาศัยอยู่ในป่านรกดำได้” หนิงเทียนตอบกลับอย่างไม่แยแส แม้ว่าคำพูดจะเย็นชาแต่ก็ไม่ได้เป็นคำกล่าวที่เกินจริงเลย
ได้ยินเช่นนั้นมู่เสวี่ยได้แต่ก้มหน้าลง ภายในใจเต็มไปด้วยความผิดหวัง
หนิงเทียนชำเลืองมองใบหน้าเศร้าโศกของนางเล็กน้อย ก่อนที่กล่าวถามออกไป
“เหตุใดเจ้าถึงสงสัยว่า บรรพชนของพวกเจ้าอยู่ในป่าแห่งนี้??”
สหายน้อยข้าจะขอกล่าวอย่างไม่ปิดบัง “เมื่อสามวันก่อน มารดาของคุณหนูได้ซื้อข่าวมาจากสมาคมการค้าจ้าวสมุทร จึงได้ทราบข่าวของท่านบรรพชนที่สาบสูญไปนับร้อยๆปี และจากข่าวที่พวกเราได้รับมา เมื่อ15ปีก่อนท่านได้เดินทางไปยังสมาคมการค้าจ้าวสมุทรและปรากฏตัวครั้งสุดท้ายที่ชายป่านรกดำแห่งนี้ พวกเราจึงรีบเดินทางมาบริเวณป่านรกดำ โดยหวังที่จะทราบข่าวของท่านบรรพชน แต่ในระหว่างทาง เราถูกโจรป่าไล่ล่าและได้หลบหนีอย่างไม่คิดชีวิตจึงพลัดหลงเข้ามาในป่าแห่งนี้”
“เป็นเพราะข้าที่ดื้อรั้นจะตามหาท่านบรรพชน เพราะข้า เราจึงพบเจอเภทภัยครั้งนี้” น้ำเสียงของมู่เสวี่ยเต็มไปด้วยโศกเศร้าเดิม พวกเขามีกันหลายคนแต่บัดนี้กับเหลือเพียงแค่นางกับเฉิงฮ่าวเท่านั้น ข้ารับใช้หลายคนสละชีวิตเพื่อให้พวกเขาสองคนหลบหนี
หนิงเทียนมองไปที่มู่เสวี่ย หว่างคิ้วของมันยกขึ้นสูง “หืม บรรพชน โจรป่า มันไม่สมเหตุไปหน่อยหรือเด็กสาวอย่างเจ้ามองยังไงก็อายุเพียง16ปี กลับมาตามหาบรรพชนที่หายตัวไปเป็นร้อยปี คงไม่เคยแม้แต่เจอหน้ากันด้วยซ้ำไป”
“สหายน้อย บรรพชนท่านนั้นเป็นปู่แท้ๆของคุณหนูและด้วยเหตุผลจำเป็นบางอย่างเราต้องการความช่วยเหลือจากท่านบรรพชน” เฉิงฮ่าวกล่าว
หนิงเทียนเหยียดยิ้มออกมา “มีคำกล่าวว่า คนเป็นไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากคนตาย พวกเจ้าสองคนต้องการความช่วยเหลือจากคนที่ไม่รู้ว่ายังมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้งั้นรึ??”
“นี้ท่าน!! ตัวข้ามั่นใจว่าท่านปู่ต้องมีชีวิตอยู่” ความไม่พอใจเล็กๆเจืออยู่ในน้ำเสียงของมู่เสวี่ย
“เรื่องนี้เป็นปัญหาส่วนตัวของพวกเจ้า ข้านั้นไม่ขอยุ่งเกี่ยว แต่ด้วยพลังของพวกเจ้าเกรงว่าถ้ายังไม่รีบออกไปจากป่านรกดำแล้วละก็....สาวน้อย เจ้านั้นแหละที่จะกลายเป็นคนตายก่อนเสียเอง”
คำพูดของหนิงเทียนส่งผลให้ มู่เสวี่ยและเฉิงฮ่าวได้สติกลับมาอีกครั้ง พวกมันทั้งสองนั้นลืมไปชั่วขณะว่าเวลานี้มันยังอยู่ในป่านรกดำ
“สหายน้อย ท่านชำนาญในพื้นที่แถวนี้ พอจะบอกทางออกแก่เราได้หรือไม่??”
“เอาเถอะ ไหนๆช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุดใช่มั้ยละ??” กล่าวจบหนิงเทียนกระชับกระบี่พิรุณโปรยในมือแน่น จิตสังหารของหนิงเทียนแผ่ลึกลงไปในกระบี่พวยพุ่งไปข้างหน้าเป็นเส้นตรง
ตูมม......รังสีกระบี่พุ่งเป็นแนวยาวทอดออกไปไกลสุดตา
“ให้เจ้าเดินไปตามรังสีกระบี่ของข้า ไม่เกินครึ่งชั่วยาม จะสามารถออกจากป่านรกดำได้ ตลอดทางข้าแผ่จิตสังหารไปกับรังสีกระบี่ สัตว์ป่าระดับ1และ2 พวกมันไม่มีความกล้าพอที่จะจู่โจมพวกเจ้าแน่ เว้นเสียแต่พวกเจ้าจะดวงแย่เกินไปพบเจอกับสัตว์อสูรเข้า ถ้าเป็นอย่างหลังให้คิดเสียว่าบริจาคร่างกายเป็นอาหารสัตว์ไปแล้วกัน”
ทั้งสองคนจ้องมองการกระทำของหนิงเทียนด้วยสายตาหวาดหวั่นพรั่นพรึงสุดแสนและยังมีคำพูดของหนิงเทียนที่เย็นลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่ามู่เสวี่ย จะเรียกสติกลับมาได้ “ขอบคุณผู้มีคุณ หวังว่าเราจะมีโชคชะตาได้พบกัน”
หนิงเทียนมองไปยังมู่เสวี่ยที่กำลังจะจากไป เขาระบายลมหายใจออกมาเป็นครั้งที่สอง “เอาเถอะ สาวน้อยข้ามีของขวัญจะมอบให้แก่เจ้า” กล่าวเสร็จ หนิงเทียนโยนกล่องหยกออกไป
มู่เสวี่ยรับมาอย่างุนงง “ผู้มีคุณสิ่งนี้คือ???”
“เจ้าจงจำคำข้าไว้ให้ดี เปิดมันในยามที่เจ้ารู้สึกสิ้นหวัง ลาก่อน” สิ้นเสียง หนิงเทียนทะยานร่างหายไปจากสายตาของคนทั้งคู่อย่างรวดเร็ว
“ข้าคงช่วยได้เพียงเท่านี้” หนิงเทียนส่ายศีรษะ มันกล่าวย้ำกับตัวเองอีกครั้ง “ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องของข้า”
มู่เสวี่ยมองไปยังกล่องหยกในมือ พร้อมทวนคำพูดของหนิงเทียนอยู่ภายในใจ ‘ยามสิ้นหวังหรือ?’ “อะไรของเขากันนะ??”
……
……
หนิงเทียนทะยานผ่านหมู่ต้นไม้นานาชนิด มันหยุดยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่
เหม่อมองไปบนท้องฟ้าที่มืดมิด เรียงรายไปด้วยหมู่ดาวน้อยใหญ่ แม้จะมีดวงดาวมากมายเพียงใด แต่กลับเป็นความรู้สึกเฉกเช่นค่ำคืนสุดท้ายในชีวิตก่อน เสมือนลางร้ายกำลังจะบังเกิดขึ้น
“อย่าทำตัวเป็นภูตผีวิญญาณอยู่ตลอดเวลาเลย ออกมาเถอะ”ดวงตาของหนิงเทียนจับจ้องไปบนท้องฟ้าอย่างไม่ละสายตา ทว่าเสียงที่มันเปล่งออกมา ราวกับว่ากำลังพูดอยู่กับใครบางคน
“ข้าน้อยพยายามลบจิตสัมผัสมากเพียงใด ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตานายน้อยไปได้”ชายชราหลังค่อมเดินออกมาจากเงามืดพร้อมกล่าวด้วยวาจาชื่นชม
“เจ้าไม่ตลกไปหน่อยหรือ?? ลบจิตสัมผัสของตัวเองเพื่อจะซ่อนตัวจากข้า
แต่กลับขยายมันออกล้อมรอบตัวข้าเป็นบริเวณกว้างเพื่อป้องกันอันตราย”
“หามิได้นายน้อย ข้าต้องห่วงความปลอดภัยของท่านเป็นอันดับแรก”
เห็นอีกฝ่ายปรากฎตัว หนิงเทียนละสายตาจากท้องฟ้าที่มืดมิด หางตาเหลือบมองไปมองพ่อบ้านมู่ “เจ้าคงเห็นเด็กสาวชุดเขียวคนนั้นแล้ว?”
พ่อบ้านมู่นิ่งเงียบไร้คำพูด “…..”
“ข้าคงคาดเดาได้ถูกต้องสินะ” หนิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ
พ่อบ้านมู่เหม่อมองไปในทิศทางด้านนอกของป่านรกดำด้วยแววตาคนึงถึง
“เรื่องมันผ่านมาร้อยปีแล้ว ข้าน้อยไม่ใช่คนของตระกูลมู่อีกต่อไป”
“คำพูดของเจ้าช่างเย็นชาเสียจริงนะ” แม้คำพูดมู่เฉิงจะเย็นชา แต่น้ำเสียงและแววตาของมันนั้น ไหนเลยจะรอดพ้นสายตาของหนิงเทียนไปได้
“เหตุใด บรรพชนของตระกูลมู่ ถึงมาเป็นพ่อบ้านอยู่ในแดนภูตเร้นลับได้ละ??”
“ชีวิตข้าน้อยเป็นของนายท่านใหญ่ ข้าน้อยสาบานว่าจะละทิ้งเรื่องราวในพื้นที่ราบภาคกลางทั้งหมดและใช้ชีวิตแก่ๆของข้าน้อยเพื่อรับใช้นายท่านทั้งหมดน้ำเสียงหนักแน่นดังจากปาก
“ช่างเถอะ ทางเดินของเจ้า ข้าไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่ง” เมื่อกล่าวจบหนิงเทียนกำลังจะจากไป หากแต่เสียงของพ่อบ้านมู่นั้น ทำให้หนิงเทียนหยุดเดินและหันกลับไป
“นายน้อย ข้าน้อยขอถามท่านสักข้อได้หรือไม่??”
“จงเอ่ยมา”
“ในเมื่อนายน้อยมีความสามารถในการถอนพิษให้เด็กสาวผู้นั้นได้ง่ายดาย
แต่แล้วเหตุใดถึงใช้วิธี มอบเกสรผึ้งหยก เพื่อรักษาพิษหนอนหิมะ”
“พิษหนอนหิมะ ของหลานสาวเจ้าไม่ใช่พึ่งได้รับมาวันสองวัน แต่ได้รับมานานกว่าหนึ่งปี หนอนหิมะใช้เวลาฝักตัวสามปี ตราบใดที่ยังไม่ถึงระยะฝักตัวผู้ที่ถูกพิษจะไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือมีอาการผิดปกติอันใด”
หนิงเทียนกล่าวต่อ “จะใช้พิษหนอนหิมะต้องมีความเชี่ยวชาญกึ่งหนึ่ง เนื่องจากตัวหนอนหิมะอ่อนแออเป็นย่างยิ่ง มันจะสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ในวันที่เจ้าของร่างอ่อนแอหรือเจ็บป่วยเท่านั้น เด็กสาวคนนั้นเป็นถึงผู้ฝึกตนในดินแดนนักรบ จึงเหลือเพียงทางเดียวคือการเจ็บป่วย เจ้าคิดว่าใครกัน ที่สามารถใช้หนอนหิมะในวันที่นางเจ็บป่วยได้
ถ้าไม่ใช่คนที่ใกล้ชิดและได้รับความไว้วางใจจากนาง เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเวลาที่นางกลับไปยังตระกูลพร้อมกับร่างที่ปราศจากพิษร้าย??”
“นายน้อยท่านกำลังจะบอกว่า หากคนที่วางยา รู้ว่าพิษหนอนหิมะในร่างของนางถูกจำกัดไปหมดสิ้น มันผู้นั้นจะมอบความตายโดยตรงให้นางอย่างรวดเร็ว” สีหน้าของพ่อบ้านมู่ตกตะลึง ความคิดอ่านของเด็กอายุ15ปีกลับมีความคิดล้ำลึกมากเสียยิ่งกว่ามัน
อีกทั้งนายน้อยมิเคยพบมนุษย์ผู้ใดนอกจากบิดามารดาและตัวมันเลย จะมีความเข้าใจในเล่ห์กลของมนุษย์ได้ถึงเพียงนี้??
หนิงเทียนกล่าวอย่างไม่แยแสใดๆ “ถ้านางฟังคำเตือนของข้า ไม่ได้คิดเปิดกล่องหยกก่อนเวลา นางอาจจะมีเวลาดูโลกนี้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งถึงสองปี”
ได้ยินเช่นนั้นพ่อบ้านมู่คุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้น “ข้าน้อยขอขอบคุณแทนเด็กน้อยจากตระกูลมู่ ในความเมตตาของนายน้อย”
“ช่างเถอะ ข้าก็แค่ว่างเกินไปเท่านั้น ลุกขึ้นได้แล้ว พวกเราจะกลับวังภูตกัน”
....
....
ห้องโถงกลางตำหนักภูตกระบี่ ปรากฏบุคคลทั้งห้ากำลังสนทนากันอยู่ หากแต่สีหน้าของแต่ละคน เคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“พี่ใหญ่ท่านเรียกพวกเรามารวมกันอย่างเร่งร้อน เป็นเพราะปรากฎการณ์บนท้องฟ้าเมื่อครู่??” จูซ่งถามกล่าวถาม
ซุนเอินพยักหน้าแทนคำตอบ โดยที่ดวงตายังคงจับจ้องไปยังกลุ่มดาวอย่างไม่วางตา “พี่ใหญ่ ท่านดูปรากฏการณ์ฟ้าจะเกิดเรื่อง ดีหรือร้าย??”เทียนไห่ชางเยว่ถามออก
“เกรงว่าจะเป็นร้ายมากกว่าดี”
“ดวงดาราที่ท่านกำลังดูคือดาวจักรพรรดิ ของ กษัตริย์สวรรค์ ไป๋ต้าเทียน??” เกาฉางกงกล่าวถามเพื่อยืนยันความสงสัย
“ถูกต้อง นั้นคือ ดาวเทพกษัตราของกษัตริย์สวรรค์”
เทียนไห่ชางเยว่มองไปยังมองดวงดาวด้วยความประหลาดใจ “มันกำลังอ่อนแรงใกล้ดับแสง!!”
ซุนเอินมองไปยังดวงดาวบนท้องฟ้าทั้ง12ดวงที่กำลังเปล่งแสงประจันกัน
“น่าเศร้าดวงดาวที่เคยมีแสงเหนือดาวดวงอื่น สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้นวัฏจักรของเวลา จากที่ข้าคำนวณคาดว่าภายใน10ปี กษัตริย์สวรรค์จะทิ้งสังขารละจิตสิ้นอายุขัย”
“พี่ใหญ่ท่านแน่ใจ...ปีศาจหมื่นปีเช่นนั้นกำลังจะตาย??” น้ำเสียงยากจะเชื่อดังออกจากปากของจูซ่ง
“ไม่มีผู้ใดหลีกหนีความตายได้ แม้แต่กษัตริย์สวรรค์เองก็ไม่เว้น” ซุนเอินละสายตาจากท้องฟ้า มองไกลออกไปยังดินแดนทางทิศตะวันออก
เกาฉางกงเอ่ยอย่างแผ่วเบา เวลานี้ภายในใจบังเกิดความคิดมากมาย “ตาแก่นั้นเป็นบุคคลที่อยู่ในยุคเดียวกับอาจารย์ของข้า ในพวกเราจักรพรรดิทั้งสิบสอง มันเป็นผู้เดียวที่ก้าวข้ามผ่านยุคสมัยมาได้”
“พี่ใหญ่ ถ้าเป็นอย่างที่คาด เมื่อกษัตริย์สวรรค์สิ้นลงสัญญาแห่งจักรพรรดิที่เคยทำไว้เมื่อพันปีก่อนจะยุติลง??” หวงหลงมองไปที่พี่ใหญ่ของมันโดยหวังจะได้คำตอบ...