ตอนที่ 10 ไม่ใช่เรื่องของข้า
ดวงตะวันกำลังลับขอบฟ้า ความมืดเข้าปกคลุมท้องฟ้าเหมือนดั่งเช่นทุกๆวัน
“คงได้เวลากลับไปแล้ว” ทันใดนั้นแววเสียงประหลาดดังออกมาจากบริเวณต้นไม้ใหญ่
แววตาประหลาดใจจ้องมองไปยังทิศทางของเสียง “มนุษย์?? เหตุใดถึงมีมนุษย์อยู่ในป่านรกดำได้” หว่างคิ้วยกสูงด้วยความสนใจ เพราะนอกจากบิดามารดาและพ่อบ้านมู่แล้ว คนกลุ่มนี้คือมนุษย์พวกแรกที่หนิงเทียนพบเห็นเจอนับตั้งแต่ถือกำเนิดในโลกแห่งนี้
หนิงเทียนลบจิตสัมผัสของตนเองและทะยานตัวขึ้นไปบนต้นไม้สูง สายตามองสังเกตลงมา ปรากฏชายชรา ร่างกายผอม ใบหน้าหยาบก้านเป็นริ้วรอยบ่งบอกถึงอายุและระดับบ่มเพาะที่ต่ำ สวมชุดยาวสีน้ำตาลอ่อน ลมปราณที่ปกคลุมทั่วร่างเตรียมพร้อมที่ต่อสู้ได้ทุกเวลา
“ตาแก่คนนี้โชคดีจริงๆเป็นเพียงนักรบขั้น9แต่สามารถอยู่รอดในป่านรกดำได้” หนิงเทียนมองชายชราก่อนจะละสายตาไปยังเด็กสาวอีกผู้หนึ่ง
“อะไรกัน...ดินแดนนักรบขั้น6เองรึ??”
ที่กำลังสนทนากับชายชราอยู่คือเด็กสาวในชุดสีเขียว ดูจากใบหน้าและกระดูกมีอายุราวๆ15-16ปี สิ่งที่สะดุดตาคือผิวพรรณขาวราวหิมะ ริมฝีปากสีกุหลาบแสนดึงดูด และจมูกน้อยๆที่แต้งแต้มได้อย่างเหมาะสม ดวงตาเป็นประกายกระจ่างใส
ใบหน้าสะท้อนไปด้วยความอ่อนโยน ด้วยอายุเพียงเท่านี้กลับเปี่ยมล้นไปด้วย เสน่ห์ความงาม ชวนให้คิดว่าเมื่อเติบโตขึ้นจะมีความงดงามมากเพียงใด
“ท่านลุงเฉิง พวกมันเป็นโจรป่า?” เด็กสาวในชุดเขียวกล่าวพลางหอบหายใจเข้าลึกด้วยความเหนื่อยล้า
สีหน้าของชายชราซีดขาวอ่อนแรงไม่ต่างกัน มันกล่าวออกโดยเว้นช่วงหายใจอยู่หลายครั้ง “ระดับของพวกมัน น่าจะเป็นผู้บ่มเพาะที่ทำตัวเฉกเช่นโจรมากกว่า”
เด็กสาวในชุดเขียวมองย้อนกลับไปยังเส้นทางที่ผ่านมาและกล่าวด้วยความโล่งใจ“โชคดี ที่พวกมันไม่ตามมาแล้ว”
ชายชรามองไปรอบๆตัว สีหน้าปั้นยาก น้ำเสียงสั่นเครือคล้ายกำลังหวาดกลัวอย่างที่สุด “คะ..คุณหนู แย่แล้ว บ่าวคิดว่าตอนนี้ พวกเราหลงเข้ามาในพื้นที่ของป่านรกดำแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นเด็กสาวตกตะลึง ใบหน้าไร้สีเลือดขึ้นมาทันตา แม้จะผ่านเหตุการณ์เกือบตายมา นางก็มิเคยสิ้นหวัง แต่เมื่อได้ยินคำว่า ป่านรกดำ จากปากของลุงเฉินความหวังที่จะมีชีวิตรอดของหญิงสาวแทบจะพังทลาย
“คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วง แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต ลุงเฉิงก็จะพาคุณหนูกลับไปให้ได้” น้ำเสียงที่ชายชรากล่าวเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์และภักดีแสดงให้เห็นฐานะของคนทั้งสอง
“ท่านลุงเฉิงข้าขอโทษท่านจริงๆ เป็นเพราะความดื้อรั้นของข้า ทำให้ท่านต้องมาตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้” วาจาสำนึกผิด น้ำเสียงสั่นไหวเป็นอย่างยิ่ง
“คุณหนูอย่าได้กล่าวเช่นนี้ ข้า เฉิงฮ่าว เป็นข้ารับใช้มาตั้งแต่มารดาของท่าน เพื่อปกป้องท่านแล้วไม่เคยหวั่นเกรงความตายใดๆ”
“โบร๋ววววว” เสียงหอนลากยาวของสุนัขป่าดังก้องไปทั่วบริเวณ แนวหญ้าสูงเริ่มกวัดแกว่งไปมา แสงสีแดงปรากฏอยู่ในทุกทิศทาง ด้วยจุดกำเนิดแสงมีมากกว่าห้าจุดสิบด้วยกัน ทั้งสองตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วจุดสีแดง คือ สายตาของสิ่งมีชีวิต และมีรวมกันอย่างน้อยที่สุด20ตัว
“ท่านลุงเฉิง พวกมันเป็นตัวอะไร??” เด็กสาวในชุดเขียวจับจ้องไปยังดวงตาสีแดงที่ให้ความรู้สึกน่าขนลุก
“พวกมันคือหมาป่าหลังแดง สัตว์ป่าขั้นที่2” เฉิงฮ่าวมองไปรอบๆด้วยความระมัดระวัง หางตามองเห็นต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมด้วยใบไม้หนา มันรีบชี้ไปที่ต้นไม้
“คุณหนูรีบหลบไปอยู่บนต้นไม้ใหญ่ก่อน หากไม่จัดการพวกมันเสียตรงนี้ ด้วยฝีเท้าของเดรัจฉานไม่ปล่อยให้พวกเราหนีพ้นเป็นแน่”
หนิงเทียนที่กำลังเฝ้ามองพึมพำแผ่วเบา “บัดซบ!! มีต้นไม้มากมายในป่าแห่งนี้ เหตุใดตาแก่นั้นถึงชี้มาบนต้นเดียวกับข้าได้เล่า??”
เด็กสาวส่ายศีรษะไม่ยินยอม “ท่านลุงเฉิง พวกเราต้องไปพร้อมกัน”
“คุณหนูท่านต้องเชื่อข้า สัตว์ป่าขั้น2 พวกนี้มีพลังเทียบเท่ากับนักรบขั้น9
ลุงเฉิงของท่าน เป็นถึงนักรบขั้น9 เดรัจฉานพวกนี้ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
ถึงแม้ว่าเฉิงฮ่าวจะกล่าวออกมาเช่นนั้น แต่เขารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ การจะรอดไปจากสัตว์ป่าระดับ2ที่มีจำนวนมากกว่ายี่สิบเท่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
หากเป็นสถานการณ์ปกติ เมื่อความแข็งแกร่งของมนุษย์และสัตว์ป่าเท่ากัน มนุษย์ย่อมเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบและชัยชนะได้ไม่ยาก ทว่าครั้งนี้แตกต่างออกไป ไม่ใช่เพียงแค่หมาป่าหลังแดงธรรมดา แต่มันกลับเป็นฝูงหมาป่าหลังแดงถึงยี่สิบตัว
เฉิงฮ่าวมองไปทีเด็กสาวด้วยสายตาอ่อนโยน “คุณหนูขึ้นไปเร็ว ท่านต้องรอดกลับไปให้ได้” คำพูดเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากคำสั่งเสีย สิ่งที่เฉิงฮ่าวห่วงมากที่สุดก็คือคุณหนูของมัน
แม้ใจจริงเด็กสาวต้องการอยู่ร่วมต่อสู้ แต่นางเข้าใจดีว่า ถ้ายังยืนกรานที่จะร่วมต่อสู้ด้วยกัน จะเป็นการเพิ่มภาระให้แก่เฉิงฮ่าวที่ต้องสู้กับหมาป่าหลังแดงและยังต้องปกป้องตัวนางเองไปพร้อมๆกัน
“ลุงเฉิง ท่านต้องรอดมาให้ได้นะ” หยาดน้ำใสไหลออกจากสองดวงตา
เวลาเดียวกัน หนิงเทียนที่อยู่บนต้นไม้มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด “ไม่รอดแน่แม้จะเป็นเพียงสัตว์ป่าระดับ2 แต่จำนวนขนาดนี้ไม่ใช่สิ่งที่นักรบขั้น9จะสู้ได้โดยปลอดภัย
หลังจากตาแก่นั้นตาย เด็กสาวคนนั้นคงหนีไม่พ้นเคราะห์กรรมเดียวกัน”
“โบร๋ววววว” หมาป่าหลังแดงตัวหนึ่งส่งเสียงหอนขึ้นฟ้า หลังจากนั้นอีกยี่สิบกว่าตัวก็เริ่มส่งเสียงเห่าหอนตามๆกัน เสียงหอนของพวกมันรวมตัวกันกลายเป็นคลื่นเสียงขนาดใหญ่มุ่งเป้าไปที่ชายชราผู้เป็นดั่งเหยื่อในค่ำคืนนี้
มนุษย์ที่หลงก้าวเข้ามาในเขตป่านรกดำคืออาหารอันโอชะของฝูงหมาป่า เงาร่างสีแดงจำนวนมากพุ่งทะยานเข้าหาเหยื่ออย่างหิวโหย
“ตายซะ!! พวกเดรัจฉานหน้าขน” เฉิงฺฮ่าวคำรามสุดเสียง กลิ่นอายของนักรบระดับเก้าแผ่พุ่งออกมา มือขวาโบกสะบัด ขวานเหล็ก อาวุธคู่กายเตรียมพร้อมอยู่ในสองมือ จากนั้นมู่เฉิงหวี่ยงขวานกระแทกเข้าที่หัวของหมาป่าหลังแดง มันร้องออกมาด้วยเสียงครวญครางเจ็บปวด
หมาป่าหลังแดงที่ถูกเฉิงฮ่าวโจมตีด้วยขวานเหล็กอันทรงพลัง มีบาดแผลขนาดใหญ่บนศีรษะ หมาป่าตัวที่สองและสามกระเด็นออกไปหลังจากถูกขวานของเฉิงฮ่าวฟาดฟันเข้าใส่
แม้ความแข็งแกร่งของสัตว์ป่าขั้นสองจะเทียบเท่ากับนักรบขั้น9 แต่กับมนุษย์ที่ได้ฝึกทักษะต่อสู้แล้วนั้น สัตว์ป่าย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้
ด้วยพลังของนักรบระดับ9กอปรกับความต้องการอยู่รอด หมาป่าหลังแดงที่พุ่งเข้าหาเฉิงฮ่าว จะถูกขวานเหล็กฟาดฟันจนกระเด็นออกไปพร้อมกับบาดแผลสดๆบนร่าง
แต่ถึงกระนั้นผิวหนังของสัตว์ป่าระดับ2 แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้จะถูกฟาดฟันอย่างรุนแรงแต่พวกมันไม่ได้ตกตายในครั้งเดียว ถึงจะบาดเจ็บ แต่พวกมันจะลุกขึ้นใหม่และจู่โจมเฉิงฮ่าวอย่างต่อเนื่อง ด้วยสัญชาตญาณของเดรัจฉาน สัตว์เหล่านี้เมื่อได้สู้แล้วจะไม่หยุดจนกว่าตัวจะตาย
การต่อสู้กินเวลานานนับชั่วยาม พลังของเฉิงฮ่าวถดถอย ลดลงเป็นอย่างมาก หากแต่ รอบตัวของมันเต็มไปด้วยหมาป่าหลังแดงนับสิบล้มคว่ำกับพื้นในสภาพน่าอเนจอนาถ
เฉิงฮ่าวมองไปยังพวกที่เหลือกว่าสิบตัวด้วยสายตาแดงก่ำบริเวณตามร่างกายของมันเกิดเป็นบาดแผลฉีกขาดและรอยคมเขี้ยวของหมาป่านับสิบๆจุด
ย๊ากกกกกกกกก!!! เฉิงฮ่าวคำรามออกมาด้วยความบ้าคลั่ง มันกระชับขวานเหล็กในมือแน่นพร้อมที่จะแลกชีวิตกับเดรัจฉานหน้าขนเหล่านี้
เด็กสาวที่กำลังหลบอยู่บนต้นไม้ ทำได้แต่มองลงมาด้วยความเศร้าโศก สองมือปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงร้องสะอื้นดึงดูดความสนใจของหมาป่าหลังแดง หยาดน้ำใสไหลจากดวงตาอาบแก้มทั้งสอง
เด็กสาวตระหนักดีด้วยระดับพลังนักรบขั้นที่6 ของตน การเข้าไปช่วยนั้นไม่ต่างอะไรกับการเร่งเวลาตายให้แก่เฉิงฮ่าว แต่ทันใดนั้น เด็กสาวพลันได้ยินถึงเสียงของลมหายใจ ที่อยู่เหนือขึ้นไปบนศีรษะของเธอ
“เฮ้ออ...ไม่ใช่เรื่องของข้าสักหน่อย”
สายตามองประสานกับอีกฝ่าย หนิงเทียนส่ายศีรษะไป “ช่างเถอะ การช่วยคนก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ยังไงเสียสองคนนี้ก็ถือเป็นมนุษย์คู่แรกที่ข้าได้พบเจอ”
เด็กสาวแหงนศีรษะมองไปยังต้นตอของเสียงนั้นด้วยคำถาม “ท่านเป็นใคร??”
ยังไม่สิ้นเสียงของเด็กสาวดี หนิงเทียนทะยานร่างลงจากต้นไม้ราวกับสายฟ้าฟาด ดวงตาที่ใสสว่างกลับกลายเป็นเย็นชา เบื้องหน้าของศัตรู หนิงเทียนเพียงแค่ยกมือขึ้นหนึ่งคร่า ลมปราณในร่าง ก่อเกิดริ้วกระบี่นับสิบสายพุ่งออกไปเส้นตรง
คล้ายกับความงดงามที่ปรากฏในมโนภาพสุดท้ายของดวงตา ฝูงหมาป่าหลังแดง
เผชิญพบความงดงามที่พุ่งเข้าทะลวงผ่านลำคอของพวกมันอย่างโหดเหี้ยม
เพียงแค่พริบตาเดียวหมาป่าหลังแดงทั้งหมด ได้ถูกปราณกระบี่ของหนิงเทียนเจาะผ่านลำคอ พวกมันล้มลงอย่างสิ้นหวัง สี่ขากระตุกถี่ พยามที่จะลุกยืนขึ้นใหม่ แต่ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใด ก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีกแล้ว สุดท้ายพวกมันทั้งฝูงหมดสิ้นลมหายใจและแน่นนิ่ง เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากลำคอเจิ่งนองเป็นแอ่ง
ภาพที่ปรากฏในสายตาของเด็กสาวและชายชรา ทำให้เขาทั้งสองตกตะลึง จนลืมหายใจไปชั่วขณะ ทั้งคู่ไม่อาจเชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้าได้ แค่พริบตา แค่พริบตาเดียวเท่านั้น!! หมาป่าหลังแดงทั้งหมดตายตกด้วยฝีมือของเด็กหนุ่มที่ดูๆไปแล้ว มีอายุไม่น่าจะเกิน15ปีด้วยซ้ำ
เฉิงฮ่าวมองไปที่เด็กหนุ่มตรงหน้าราวกับเห็นภูตผีปีศาจก็ไม่ปาน มันที่เป็นผู้ฝึกตนในแดนนักรบระดับ9 ยังต้องต่อสู้อย่างยากลำบากจนเกือบสิ้นชีวิต หากแต่เด็กหนุ่มตรงหน้ากลับสามารถจัดการกับหมาป่าหลังแดงได้ง่ายราวกับดีดนิ้ว!!!
เด็กสาวจ้องมองไปที่หนิงเทียนด้วยความประหลาดใจ นางได้เตรียมพร้อมรอรับความตายที่กำลังมาเยือน แต่แล้วก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น เทพเซียนลอยลงมาจากฟ้าช่วยพวกมันขึ้นจากความตาย
เฉิงฮ่าวมองหนิงเทียนด้วยสีหน้าตกตะลึงจนลืมอาการบาดเจ็บของตนเอง มันลุกขึ้นคำนับด้วยความนับถือและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ปนไปด้วยความเจ็บปวด
“ขอบคุณสหายน้อย ที่ยื่นมือช่วยเหลือพวกเราไว้ มิฉะนั้นตัวข้าและคุณหนูคงจะยากที่จะมีชีวิตรอดได้”
หนิงเทียนมิได้กล่าวตอบสิ่งใด ราวกับว่าสิ่งที่มันทำลงไปนั้นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด
เด็กสาวในชุดเขียวรีบกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ช่วยพวกเราไว้”
ได้ยินเช่นนั้น มุมปากของหนิงเทียนกระตุกหางตามองไปที่อีกฝ่าย “อาวุโส??” ‘เห็นได้ชัดว่าเจ้าแก่กว่าข้าด้วยซ้ำ ยังกล้ามาเรียกข้าเป็นผู้อาวุโสได้’ แม้จะคิดเช่นนั้นแต่ก็คร้านเกินกว่าที่จะอธิบายสิ่งใดออกไป
เมื่อรู้สึกตัว เฉิงฮ่าวรีบสลับสายตาจากหนิงเทียนไปยังเด็กสาว“คุณหนูท่านปลอดภัย”
“ข้าปลอดภัยดี ท่านลุงเฉิงอาการบาดเจ็บของท่าน” เด็กสาวมองไปที่บาดแผลบนร่างของเฉิงฮ่าว น้ำเสียงที่กล่าวออกมาเต็มไปด้วยความด้วยรู้สึกกังวล
หนิงเทียนมองไปที่อีกฝ่าย พร้อมกับโยนโอสถสีน้ำตาลให้รับไว้
“กินมัน จะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าได้”
เฉิงฮ่าวรับโอสถโดยไม่มีความสงสัย “ขอบคุณสหายน้อย” เมื่อเฉิงฮ่าวกำลังหยิบเม็ดยาเข้าปาก พลังลมปราณอ่อนๆแผ่ออกมาจากโอสถสีน้ำตาล ดวงตาของมันถึงกับต้องเบิกกว้างจนแทบจะถล่นออกมาจากเบ้า
“สะ..สะ..สหายน้อย นะ...นี่นี้ คือเม็ดโอสถ ระดับปฐพี!!!??” แต่ละคำกล่าวอย่างติดขัดด้วยอาการตกใจ
มีเพียงเม็ดยาระดับปฐพีเท่านั้นที่สามารถแผ่ลมปราณออกมาได้ เรื่องเหล่านี้ไม่มีผู้ใดในพื้นที่ราบภาคกลางไม่รู้
“ไม่ดีพอ???” หนิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นสูง โดยปกติแล้วมันมักจะถูกพ่อรองต่อว่าอยู่เสมอ ว่าโอสถที่ปรุงขึ้นยังใช้ไม่ได้ ความบริสุทธิ์ของโอสถที่หนิงเทียนปรุงได้นั้นมีเพียง8ใน10ส่วนเท่านั้น
“มะ...ไม่...ไม่ใช่เช่นนั้นแน่ สหายน้อยนี้มัน....” เฉิงฮ่าวใช้เวลาอยู่นานในการรวบรวมสติก่อนที่จะกล่าวออกไป “ผู้ที่จะปรุงโอสถระดับปฐพีได้ ต้องเป็นปรมาจารย์ที่ก้าวผ่านสิบขั้นโลกแล้วเท่านั้น มันเป็นโอสถวิเศษเกินกว่าที่ข้าจะรับมันได้”
เด็กสาวพึมพำถึงสิ่งที่รู้ “ในพื้นที่ราบภาคกลางนั้น เม็ดโอสถระดับปฐพี เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนที่พบเห็นฆ่าฟันกันเพื่อมันได้”
หนิงเทียนไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นแม้แต่น้อย “ก็แค่เพียงเม็ดยาธรรมดาๆ ถ้าเจ้าไม่รับไว้ ก็ทิ้งมันไปเถอะ”
“สหายน้อย หรือท่านยังไม่เข้าใจความวิเศษของมัน ผู้ที่จะปรุงโอสถระดับนี้ได้อย่างน้อยที่สุดจะต้องเป็นถึงจ้าวโอสถปฐพี ข้า...เฉิงฮ่าวไม่สามารถเอาเปรียบท่านได้”
ในความคิดของเฉิงฮ่าว ภูมิหลังของเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องยิ่งใหญ่เป็นอย่างมากและโอสถระดับปฐพีเม็ดนี้ อาจเป็นบุคลเบื้องหลังหรืออาจารย์ที่สั่งสอนมอบให้ แม้เด็กหนุ่มคนนี้จะแข็งแกร่งแต่ก็ยังเยาว์ จึงอาจจะไม่ทราบถึงความวิเศษของโอสถเม็ดได้ดีพอ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ตัวมันไหนเลยจะฉวยโอกาสจากความไม่รู้นี้ หยิบกินโอสถวิเศษเข้าไปได้
หนิงเทียนรู้สึกแปลกใจอยู่มาก เพราะโอสถเม็ดนี้ ทั้งการใช้ส่วนผสม การควบคุมเปลวไฟและการเผาผลาญแก่นอสูร แม้เพียงหลับตาก็สามารถปรุงได้สำเร็จ และหากจะนับว่าเป็นโอสถวิเศษอย่างแท้จริงละก็ จะต้องเป็นโอสถที่บิดารองปรุงขึ้นเท่านั้น
‘เป็นข้าหรือมันกันแน่ที่ไม่เข้าใจความวิเศษที่แท้จริงของเม็ดโอสถ’
หนิงเทียนไม่อยากเสวนาต่อไป จึงรีบกล่าวตัดปัญหา “เช่นนั้นก็ทิ้งมันไป ข้าไม่อยากได้โอสถที่เปรอะเปื้อนคาบดินจากมือเจ้าคืน”
เฉิงฮ่าวที่กำลังจะอธิบายความวิเศษของโอสถปฐพีเป็นคร่าที่สอง ได้ถูก หนิงเทียนก็กล่าวตำหนิอย่างหงุดหงิด “อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง”
โอสถที่หนิงเทียนให้แก่เฉิงฮ่าวนั้น มันต้องการที่จะทำลายทิ้งอยู่แล้ว ความบริสุทธิ์8ใน10ส่วนนี้อาจสร้างปัญหาแก่มันได้ ‘ถ้าพ่อรองเห็นเม็ดยานี้เข้า ไม่อยากคิดเลยว่าจะถูกลงโทษอย่างไรบ้าง’ เพียงแค่หนิงเทียนคิด ร่างกายก็เย็นเฉียบไปด้วยความกลัวแล้ว
ถ้าเฉิงฮ่าวรับรู้ความคิดของหนิงเทียน เขาคงจะตายด้วยความตกตะลึง แทนที่จะตายด้วยบาดแผลจากคมเขี้ยวเป็นแน่
“ท่านลุงเฉิง ในเมื่อผู้อาวุโสท่านเมตตาพวกเรา ท่านก็รีบขอบคุณผู้อาวุโสเถอะ”
เด็กสาวกล่าวออกอย่างเป็นห่วง เมื่อบาดแผลของเฉิงฮ่าวยังปรากฏทางโลหิตไหลออกมาไม่หยุด
เฉิงฮ่าวพยามที่จะกล่าวบางสิ่ง แต่เมื่อมันมองไปยังสายตาของหนิงเทียน ก็ต้องกลืนคำพูดลงคอไป
“ขอบคุณในความเมตตา ข้าขอถามชื่อแซ่ของผู้มีคุณได้หรือไม่??” เฉิงฮ่าวก้มศีรษะอย่างจริงใจให้เด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่ามันอย่างไม่ขัดเขิน และเปลี่ยนคำเรียกจากสหายน้อยเป็นผู้มีคุณ
“ข้าเป็นเพียงคนป่าคนดอยไร้แซ่ มีเพียงชื่อที่พ่อแม่ได้ตั้งให้ พวกเจ้าเรียกข้าว่า หนิงเทียนก็พอ และไม่ต้องเรียกข้าว่าผู้มีคุณอะไรทั้งนั้น”
เฉิงฮ่าวโค้งศีรษะลงต่ำ “คุณชายหนิง ข้ามีชื่อว่า เฉิงฮ่าว เป็นข้ารับใช้ของคุณหนู”
เฉิงฮ่าวชี้ไปทางเด็กสาว “ส่วนคนๆนี้คือคุณหนูของข้า”
เด็กสาวส่งยิ้มอันงดงามให้หนิงเทียนพร้อมกล่าว “ผู้อาวุโส ข้ามีแซ่ว่า มู่ นาม เสวี่ย ข้าขอบคุณผู้อาวุโสอีกครั้ง ที่ช่วยชีวิตพวกเรา ทั้งยังมีเมตตารักษาท่านลุงเฉิง” กล่าวจบเด็กสาวโค้งศีรษะ
‘อาวุโสอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้าแก่กว่าข้าเสียอีก เหตุใดถึงเรียกข้าว่า อาวุโส’คิดแบบนั้น หนิงเทียนถามออกด้วยความน้ำเสียงแข็ง “ข้าดูแก่ชรามากนักหรือไง??”