บทที่ 50 ผู้ร้ายปากแข็ง
บทที่ 50 ผู้ร้ายปากแข็ง
พนักงานบัญชีเริ่มกระวนกระวาย “เงินเดือนส่วนหนึ่งถูกหักออกเป็นค่าเงินสมทบสวัสดิการประกันสังคม”
“โกหก!” เฉินฉีตะคอกกลับทันทีอย่างไม่สุภาพอีกต่อไป “ข้อมูลในฟอร์มระบุไว้อย่างชัดเจน หลังหักเงินสมทบประกันสังคมอะไรนั่นแล้วผลตอบแทนรวมของคุณก็ยังมากกว่าเจ็ดพันหยวนอยู่ดี!”
“ใช่ ใช่! ยังมีเงินที่ถูกหักไปเพราะเข้างานสายกว่าเวลาที่กำหนดด้วยค่ะ!”
เฉินฉียิ้มเยาะก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาหลินถงซู
ทั้งสองขนาบข้างพนักงานบัญชีคนดังกล่าวให้เธอนำทางไปที่ห้องของแผนกบัญชีบริษัท เฉินฉีไล่เปิดลิ้นชักทีละอันเพื่อค้นหาจนเจอเอกสารสลิปเงินเดือนสองใบ หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับมานั่งหน้าคอมพิวเตอร์ตามเดิมเพื่อตรวจสอบเปรียบเทียบ ผลปรากฏว่าจากสลิปเงินเดือนจริงที่เธอได้รับมียอดน้อยกว่าข้อมูลที่ระบุไว้ในแบบฟอร์มอย่างชัดเจน
เฉินฉีหยิบปากกามาคำนวณมันอย่างคร่าวๆ จากนั้นจึงเรียกหลินถงซูมาใกล้และกระซิบข้างหูเธอว่า “เงินเดือนที่เพิ่มมาในส่วนนี้รวมกันแล้วเป็นยอดเงินเดือนที่พนักงานอีกคนควรได้รับพอดี ไอ้อ้วนนี่เจ้าเล่ห์มาก ผมพนันได้เลยว่าเขารู้แต่แรกแล้วว่าเราอาจตรวจสอบเรื่องนี้”
“เจ้าเล่ห์จริง ๆ” หลินถงซูยืดตัวขึ้นและหันไปมองพนักงานบัญชี “คุณอย่าปิดบังพวกเราเลยค่ะ ในบริษัทของคุณมีพนักงานทั้งหมดกี่คนกันแน่?”
“สิบเจ็ด”
“คุณโกหก! เห็น ๆ อยู่ว่าที่นี่เคยมีพนักงานสิบแปดคน! ดูจากการแก้ไขข้อมูลพนักงานและรายการจ่ายเงินเดือนทั้งหมดก็รู้แล้ว คุณจงใจลบข้อมูลคนคนนั้นให้หายไปจากสารระบบ!”
พนักงานบัญชีหัวเราะกลบเกลื่อน “คุณตำรวจคะ ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร คุณกำลังสืบสวนคดีอะไรอยู่กันแน่?”
“เมื่อเช้านี้คุณก็จูบกับผู้จัดการของคุณด้วยใช่ไหมล่ะ?” เฉินฉีโพล่งถามอย่างกะทันหัน
เธอนิ่งเงียบ ใบหน้าถอดสีทันใด
เฉินฉีแสยะยิ้ม “อ๋อ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้... แซ่ของคุณคือเสี่ยว แล้วผู้จัดการของคุณก็แซ่เสี่ยวเหมือนกัน ที่แท้พวกคุณก็เป็นญาติกันนี่เอง! ไม่แปลกหรอกที่คุณจะช่วยเขาปกปิดเรื่องพวกนี้ไว้ เอาเถอะ พวกเราไม่ถามอะไรจากคุณแล้ว ไว้เราค่อยไปถามเอาจากคนอื่น ๆ ก็ได้ และถ้าคุณยังปากแข็งปล่อยให้เรารู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง ยังไงคุณก็ไม่รอดจากข้อหาร่วมกันก่ออาชญากรรมและปิดบังอำพรางคดีหรอกนะ!”
เฉินฉีและหลินถงซูลุกขึ้นยืน พนักงานบัญชีรีบดึงแขนเสื้อของเฉินฉีไว้ “คุณเจ้าหน้าที่คะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าพวกคุณกำลังสืบหาอะไรอยู่กันแน่!”
“ถามใจตัวเองก่อนเลยว่าคุณไม่รู้จริงอย่างที่ปากพูดรึเปล่า?” เฉินฉีสะบัดมือเธอออกไป
เฉินฉีเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจให้คอยดูแลพนักงานบัญชีคนนี้ไว้ จากนั้นทั้งสองจึงพาพนักงานอีกคนออกมาจากห้องประชุมเพื่อสอบปากคำ คราวนี้เฉินฉีตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมา “วันนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวลี่?”
พนักงานคนนั้นสะดุ้งสุดตัวและรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ใครคือเสี่ยวลี่?!”
เฉินฉีแสยะยิ้ม ท่าทางของเขาแสดงออกชัดว่าสิ่งที่ออกจากปากเขาเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ แต่กับผู้ร้ายปากแข็งแล้วคงต้องใช้เวลาง้างออกมากหน่อย เพราะต่อให้ทรมานจนตายยังไงผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีทางเปิดปากง่าย ๆ
“ก่อนเธอจะถูกฆ่า คุณมีส่วนร่วมในการข่มขืนเธอหรือเปล่า?”
“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร!”
เฉินฉีทุบโต๊ะแรงจนต้นกระบองเพชรที่ตั้งอยู่บนโต๊ะสะเทือนแทบตกแตก พนักงานคนดังกล่าวสะดุ้งตกใจอีกครั้งจนหดคอลงโดยไม่รู้ตัว หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบ เฉินฉีคาดคั้นต่อไป “คุณคิดว่าชีวิตของคนคนหนึ่งเป็นเรื่องเล็กรึไง!? ตำรวจมีหลักฐานอยู่ในมือตอนนี้ไม่รู้ตั้งกี่ชิ้น ตอนนี้เหลือแค่จิตใต้สำนึกของคุณเท่านั้นแหละ! ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าคุณจะยอมไถ่บาปโดยการเป็นพยานในคดีนี้ หรือจะยอมทำบาปและรับโทษทางกฎหมายต่อไป?!”
ริมฝีปากชายหนุ่มสั่นระริกเหมือนตะแกรง ถึงอย่างนั้นก็ยังยืนกรานปฏิเสธทั้งที่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “ผมไม่รู้! ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น!”
หลังจากนั้นไม่ว่าเฉินฉีจะใช้ไม้แข็งยังไง เขาก็ยังปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ชายคนนี้ได้เข้าสู่สภาวะของป้องกันตนเองทางจิตวิทยาเพื่อหลบหนีจากความเป็นจริงอย่างสมบูรณ์
เฉินฉีโบกมือไล่เขาออกไปจากห้อง หลินถงซูอดบ่นไล่หลังไม่ได้ “เขาปากแข็งชะมัด!”
“ไอ้ผู้จัดการนั่นต้องให้ผลประโยชน์กับเขามากแน่ ๆ สักคำก็ไม่คายออกมา”
“แล้วเราจะทำยังไงกันดี?”
“สืบสวนต่อไป คราวนี้เรียกผู้หญิงเข้ามา”
พนักงานหญิงคนหนึ่งถูกพาตัวเข้ามาในห้อง ใบหน้าของเธอซีดเผือดตั้งแต่ก้าวเข้ามา คราวนี้เฉินฉีสวมบทบาทเล่นเป็นตำรวจใจดีขณะตั้งคำถาม “ความสัมพันธ์ของคุณกับเสี่ยวลี่เป็นยังไงบ้าง?”
“ความสัมพันธ์อะไร? เสี่ยวลี่คือใครคะ?” หญิงสาวเงยหน้าขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
“อย่าทำไขสือไปหน่อยเลย เราเจอศพของเสี่ยวลี่แล้ว ครอบครัวของเธอเข้าแจ้งความว่าเธอหายตัวไป แล้วหลักฐานทั้งหมดก็ชี้มาที่บริษัทนี้ที่เธอทำงานอยู่”
“ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องอะไรเลย!” หญิงสาวเริ่มประหม่ามากขึ้น เธอมองไปที่หลินถงซูและเฉินฉีทีละคน แต่ไม่กล้าสบตากับพวกเขาโดยตรง
เฉินฉีชี้ไปที่เสื้อผ้าของเธอพร้อมตั้งข้อสังเกตอย่างละเอียด “เสื้อผ้าของคุณทั้งซีดและเก่ามาก แต่คุณกลับสวมรองเท้าคู่หนึ่งที่ใหม่เอี่ยมแกะกล่อง แล้วผมก็สังเกตเห็นด้วยว่าพนักงานแต่ละคนที่นี่มีทั้งซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่และเครื่องแต่งกายใหม่พร้อมกันอย่างผิดวิสัย แสดงว่าเร็ว ๆ นี้พวกคุณต้องได้ผลประโยชน์อะไรบางอย่างถึงได้รวยกะทันหันกันแบบนี้ ดูเหมือนว่าผู้จัดการของคุณคงจ่ายเงินให้เป็นค่าปิดปากเรื่องอะไรสักอย่างสินะ”
มือของเธอสั่นเทา ทันใดนั้นเธอก็ยกมือขึ้นปิดหูเหมือนอยู่ดี ๆ ก็เสียสติไปซะอย่างนั้น “หยุดถามฉันซะที! ฉันไม่รู้อะไรเลย! ฉันไม่รู้จริง ๆ!”
เฉินฉีกัดฟันกรอดและจำใจต้องโบกมือไล่เธอออกไป
หลินถงซูออกความเห็น “ดูจากสภาพจิตใจของพวกเขาแล้ว ฉันว่าพวกเขาก็ไม่ใช่ผู้ร้ายปากแข็งขนาดนั้น หรือเราควรควบคุมตัวพวกเขาให้กลับไปที่สถานีตำรวจแล้วทำการสืบสวนอีกครั้งดี?”
“เพื่อให้พี่ชายคุณเยาะเย้ยผมว่าไร้น้ำยาน่ะเหรอ?”
หลินถงซูหัวเราะร่วน “ผู้ชายอย่างพวกคุณกลัวเสียหน้ากันขนาดนี้เลยเหรอ?!”
“มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี!” เฉินฉีพูดติดตลก
“แล้วเราจะสอบปากคำใครต่อไปดี?”
“พักก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกเราออกไปหาอะไรกินกัน”
“พนักงานพวกนั้นล่ะ?”
“ก็ปล่อยให้ตำรวจเขาดูแลต่อไปสิ”
“เอาล่ะ นี่ไม่ใช่เวลามาเล่นตุกติกนะคุณ มีกลอุบายอะไรแอบแฝงไว้ก็รีบงัดออกมาใช้เร็วเข้า!”
“ผมก็แค่อยากทรมานพวกเขานิดหน่อยเผื่อจะหลุดปากอะไรออกมาบ้าง... อ่า จริงด้วย คุณช่วยโทรหาฝ่ายนิติเวชให้หน่อยสิ บอกพวกเขาให้ส่งเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคมาสักคนพร้อมกับชุดทดสอบเอนไซม์ในน้ำลาย แล้วอย่าลืมนำข้อมูลตัวอย่างที่ทำการทดสอบก่อนหน้านี้มาด้วย”
แน่นอนว่าทั้งสองไม่ได้รีบออกไปหาอะไรกินตามที่ว่า เฉินฉีรั้งรออยู่ที่นี่สักพักเพื่อเดินดูการทำงานของเจ้าหน้าที่และเดินตรวจสอบตามโต๊ะทำงานของพนักงานแต่ละคน ทันใดนั้นสวีเสี่ยวตงก็วิ่งเข้ามา “พวกคุณกำลังรออะไรกันอยู่? นี่ผ่านมาสองชั่วโมงแล้วนะ ถ้าจะสอบปากคำพวกเขาก็รีบหน่อยเถอะ อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่ผมก็หิวข้าวจนขาสั่นแล้วเนี่ย!”
“งั้นคุณก็ออกไปหาอะไรรองท้องสักหน่อยสิ แล้วให้เจ้าหน้าที่คนอื่นอยู่เฝ้าจับตามองพวกเขาต่อ” เฉินฉีพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“พี่เฉิน พี่มีลับลมคมในอะไรกันแน่?”
ขณะนั้นเองเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากบริเวณทางเดิน พวกเขาเห็นเผิงซื่อจวี๋และผู้ช่วยคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องชุดทดสอบตามที่เฉินฉีร้องขอ เฉินฉีเบิกตากว้างและทักทายเขาทันที “หัวหน้าเผิงลงพื้นที่ด้วยตนเองเลยเหรอเนี่ย!? ให้เกียรติผมเกินไปแล้ว!”
“ทำไงได้ คนในแผนกไม่พอผมเลยต้องออกมาเอง รีบเริ่มกันเลยดีกว่า” เผิงซื่อจวี๋พูดอย่างเย็นชา
เฉินฉีหันไปมอบหมายงานให้สวีเสี่ยวตง “คุณกดน้ำใส่ถ้วยกระดาษแล้วเอาไปแจกให้พวกเขาดื่มคนละแก้ว พอดื่มหมดแล้วให้เอาถ้วยกลับคืนมา จำให้ได้ด้วยนะไว้ว่าถ้วยไหนเป็นของใคร”
“พวกเขามีกันตั้งสิบเจ็ดคน ผมจะจำยังไงไหว?”
หลินถงซูหยิบถ้วยกระดาษชนิดใช้แล้วทิ้งขึ้นมาและเสนอแนะ “คุณก็ทำเครื่องหมายแบบไม่เด่นชัดไว้ตรงก้นถ้วยสิ แค่นี้ก็ได้แล้ว!”
“สุดยอดเลยถงซู! เธอนี่ฉลาดจริง ๆ!”
“เอาล่ะ หยุดประจบฉันซะที รีบไปทำงานเร็วเข้า!”
สิบนาทีต่อมาสวีเสี่ยวตงก็กลับมาพร้อมถ้วยกระดาษทั้งสิบเจ็ดใบ เผิงซื่อจวี๋และผู้ช่วยของเขาเริ่มทำการทดสอบทันที ทุกคนรอคอยผลการทดสอบเอนไซม์อย่างจดจ่อ ในที่สุดผลลัพธ์ชิ้นแรกก็ปรากฏ
“ตัวอย่างหมายเลข 1 เหมือนกับเอนไซม์ในน้ำลายที่พบบนร่างของผู้เสียชีวิต”
หลินถงซูกำหมัดแน่นและเผลอแสดงท่าทางดีใจออกมา แต่แล้วคำพูดของเผิงซื่อจวี๋กลับขัดความสุขของเธอเหมือนราดน้ำเย็นลงบนศีรษะ “อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป ยังไงเอนไซม์ในน้ำลายก็ไม่เสถียรและแม่นยำเท่ากับดีเอ็นเอ”
พวกเขาทำการทดสอบมาถึงถ้วยสุดท้าย ปรากฏว่ามีเอนไซม์ที่ตรงกันกับที่พบบนร่างของผู้เสียชีวิตถึงห้าตัวอย่าง เฉินฉีออกไปและกลับมาพร้อมกับถ้วยกระดาษในมือที่ถูกดื่มโดยผู้จัดการร่างอ้วน “ทดสอบตัวอย่างนี้ด้วย”
“ตรงกัน” เผิงซื่อจวี๋พูดขึ้นหลังทำการทดสอบเสร็จ
เฉินฉีตบมือฉาดใหญ่ “หลักฐานนี้ถือเป็นข้อสรุปยืนยันอย่างดี! ผู้เสียชีวิตถูกข่มขืนโดยพนักงานและผู้จัดการของบริษัทนี้ ช่างเป็นองค์กรหมาป่าที่เลวร้ายจริง ๆ! พวกเขาร่วมกันฆ่าผู้หญิงทั้งคนแต่กลับช่วยกันปกปิดข้อมูลและปิดปากเงียบ!”
หลินถงซูพูดขึ้นด้วยความกระตือรือร้น “งั้นเราควรยื่นเรื่องของหมายจับใบที่สองเลยดีไหม? จับกุมตัวพวกเขาไปดื่มน้ำชาที่สถานีตำรวจกันให้หมด!”
“ไม่ต้องเปลี่ยนสถานที่สอบปากคำแล้ว เรียกพนักงานคนอื่นเข้ามาตอนนี้เลย เราจะสอบปากคำพวกเขาแบบเผชิญหน้าตัวต่อตัว!”
ทันใดนั้นเสียงตะโกนของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้านนอกกลับดังลั่น “แย่แล้ว! มีคนพยายามหลบหนี!”