ตอนที่3 โชคชะตา
การสนทนาระหว่างคนทั้งสี่คน ยิ่งพูดคุยยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น บรรยากาศรอบตัวตึงเครียดขึ้นมาทันที
“น้องสี่อย่าพึ่งโมโหไปเลย เจ้าเองก็รู้นิสัยของน้องห้าดี นางเป็นคนไร้เหตุผลเสมอต้นเสมอปลาย เหตุใดถึงต้องเอาคำพูดมาใส่ใจด้วยเล่า” พี่รองของพวกมันกล่าวออกหมายจะลดความเกรี้ยวกราดของน้องสี่ลงบ้าง ทว่ากลับไปเพิ่มโทสะให้อีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว
“อะไรนะ? ไหนท่านลองพูดใหม่ดูสิ??” น้ำเสียงเย็นของสตรีชุดครามดังขึ้น ดวงตาที่ใสราวแก้วของนาง บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นคมดาบแหลมคมจ้องมองไปยังพี่รองของตัวเอง
บุรุษในชุดเขียวส่งยิ้มแห้งเป็นการตอบกลับ จากนั้นบุรุษร่างกายกำยำตะโกนขัดออกมา ทำให้เวลานี้ดวงตาทั้งแปดคู่ จับจ้องมาอยู่ที่มันเพียงคนเดียว “ทารกน้อยคนนี้มีคุณสมบัติที่จะเรียนรู้ ‘กายาเทพอสูร’ ของข้ามากกว่าที่จะสืบทอดวิชาวิ่งหนีของน้องสี่ เขาจึงเหมาะที่จะสืบทอดสมญานามของอสูรคลั่งต่อไป”
“ถ้าวิชาของข้านับเป็นวิชาวิ่งหนี แล้ววิชาของท่านต่างอันใดกับกระสอบทรายไว้ให้ผู้อื่นซ้อมมือละ??” ชายชุดดำถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ได้ยินดังนั้นบุรุษร่างกายกำยำเพิ่มโทนเสียงหนักขึ้น โดยปกติมันเป็นคนที่มีนิสัยใจร้อนเป็นทุนเดิม มาตอนนี้ยิ่งถูกยั่วยุด้วยคำพูด โทสะและความเกรี้ยวกราดจึงมากล้นแสดงออก
“กระสอบทรายแล้วเป็นอย่างไร?? ข้าหวงหลงเพียงแค่ยืนอยู่กับที่ ศัตรูที่โจมตีเข้ามาจักต้องตกตายด้วยแรงสะท้อนของวิชาตนเอง ส่วนวิชาของเจ้านับเป็นวิชาปาหี่ ที่นักแสดงเร่ร่อนตามท้องถนนชอบใช้กัน กระโดดไปกระโดดมา หายตัววิบวับเท่านั้นเอง”
“พี่สาม ท่านกล้ากล่าวว่า วิชาของข้าเป็นวิชาปาหี่เชียวรึ!!!” ชายชุดดำตะโกนใส่พี่ชายร่วมสาบาน
ในพื้นที่ราบภาคกลาง ถ้ามีผู้ใดบอกว่า ‘ก้าววิญญาณไร้เงา’ เป็นวิชาตัวเบาอันดับสอง จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าพูดว่าวิชาตัวเบาของตนเองเป็นที่หนึ่งเด็ดขาด แต่เวลานี้พี่สามของมันได้เอามาเปรียบเทียบกับการแสดงปาหี่ แล้วจูซ่งจะไปสามารถระงับโทสะลงได้อย่างไร!!!
เห็นอีกฝ่ายมีโทสะ มันเองก็มีโทสะ หึ!! บุรุษร่างกำยำเค้นเสียงในลำคอพร้อมกับเร่งเร้าลมปราณในร่างออกมา “แล้วเจ้าจะทำไม ตัวข้าคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น หากเจ้าต้องการให้พี่สามคนนี้สั่งสอนก็เข้ามาได้เลย”
“ถ้าต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้ม ก็อย่าได้โทษน้องสี่คนนี้ละ!!!” ชายชุดดำเปี่ยมไปด้วยโทสะ โคจรลมปราณสีดำไปที่ฝ่ามือหมายจะตบสั่งสอนพี่สามของมันสักตั้งหนึ่ง
ทว่า...ทันใดนั้นบุรุษชุดเขียวเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งสอง “น้องสาม น้องสี่ พวกเจ้าใจเย็นก่อนๆเถอะ อย่าได้ทะเลาะกันเองเลย มามามา...เรื่องที่พวกเจ้าทั้งสองคนถกเถียงกันนั้น พี่รองคนนี้จะตัดสินใจแทนพวกเจ้าเอง ในเมื่อวิชาของ น้องสาม เน้นไปทางความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นหลัก ส่วนวิชาของ น้องสี่ เน้นที่ความรวดเร็ว ว่องไว ทั้งสองล้วนเป็นวิชาที่ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งดุจหินผาและรวดเร็วว่องไวดุจสายฟ้า ถ้าหากจะให้ทารกน้อยผู้นี้ได้ฝึกฝน พี่รองเห็นว่าจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ทั้งสองวิชาควบคู่กันไป ห้ามฝึกวิชาของใครคนหนึ่งเด็ดขาด!!” บุรุษชุดเขียวเน้นย้ำด้วยถ้อยคำสุดท้าย
คล้ายจะล่วงรู้ในความคิดของพี่รอง สตรีชุดครามแย้มยิ้มพร้อมถามออกไป ไม่คล้ายสงสัย แต่ต้องการให้อีกฝ่ายได้พูดในสิ่งที่คิดมากกว่า “พี่รองเหตุใดถึงกล่าววาจาเช่นนี้ละ??” ตัวนางนั้นไม่เคยเชื่อเลยว่าพี่รองที่รู้จัก จะแสดงตัวเป็นกลางออกมาห้ามความขัดแย้งระหว่างพี่สามและพี่สี่โดยไม่มีเป้าหมายอื่น
“ฮะฮาฮ่าๆ ก็วิชากายาเทพอสูรของน้องสามเป็นดั่งกระสอบทรายให้ศัตรูซ้อมมือ เมื่อถูกซ้อมจนน่วมแล้วถึงคราวต้องหนี จะต้องวิ่งให้เร็วด้วยก้าววิญญาณไร้เงาของน้องสี่ เช่นนั้นแล้วถ้าขาดวิชาใดวิชาหนึ่งไป จะทำให้ชีวิตตกอยู่ในอันตรายได้” คำพูดเหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับการโยนน้ำมันเข้าไปในกองไฟ
“ไอ้เฒ่าพิษ!!! ท่านว่ายังไงนะ” ความโกรธของอสูรคลั่งและทูตมรณะ
อยู่ในจุดที่ใกล้ปะทุออกมาได้ทุกเวลา ตอนนี้พวกมันทั้งคู่เรียกพี่รองของตัวเองว่า ‘เฒ่าพิษ’ แทนคำกล่าวด้วยความเคารพเหมือนทุกครั้ง
“เมื่อพวกท่านทั้งสามต้องการที่จะทะเลาะกัน ข้าไม่สนใจ ข้าจะพาทารกน้อยคนนี้กลับไปที่ตำหนักภูตเหมันต์” เมื่อสิ้นเสียงของสตรีชุดคราว อุณภูมิรอบตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ชั้นน้ำแข็งบางๆเกาะกุมในอากาศจนกลายเป็นหิมะ ปราณหยินบริสุทธิ์กระจายปกคลุมทั่วชั้นฟ้า
“น้องห้า ถ้าเจ้าต้องการแบบนี้ พี่สามก็จะไม่ขัดศรัทธา” อสูรคลั่งเร่งลมปราณและชกออกไปโดยที่ตัวมิได้ขยับ
ปัง!!! หมัดจักรพรรดิอสูรทุบทำลายชั้นน้ำแข็งจนแตกสลาย แต่ถึงกระนั้นสตรีในชุดครามก็มิได้หันกลับมามอง นางยังคงก้าวเดินออกไปอย่างไม่สนใจ พร้อมกันนั้นละอองน้ำแข็งที่แตกสลายได้รวมตัวขึ้นใหม่กลายเป็นเกราะป้องกันอีกครั้ง
“เจ้าจะไปไหนก็ได้ แต่วางทารกน้อยของข้าเอาไว้ที่นี่!!!” ชายชุดดำสะบัดแขนเสื้อออกไป กระแสปราณพุ่งเข้าปะทะกับชั้นน้ำแข็งและหมัดจักรพรรดิอสูร
เห็นภาพเช่นนั้น บุรุษชุดเขียวกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “วันนี้พี่รองคงต้องสอนบทเรียนให้แก่น้องๆทั้งสามคนแล้วว่าการเคารพผู้อาวุโสนั้นเป็นอย่างไร?” สิ้นเสียงกล่าว สองนิ้วของบุรุษผู้นี้คีบขวดโอสถสีใสเอาไว้ จากนั้นได้โยนออกไปและใช้ปรายนิ้ว ชี้ไปยังกระแสปราณทั้งสามสายที่กำลังเข้าปะทะกันอยู่กลางอากาศ
ลมปราณสีเขียวพวยพุ่งออกจากนิ้วผสานเข้ากับของเหลวในขวดโอสถ และบดขยี้กระแสปราณทั้งสามสายทันที
“กัดกินเทวะ!!” สตรีชุดครามหรี่สายตามอง จากนั้นนางวาดมือไปที่ร่างของทารกน้อย ปรากฏผนึกแก้วสีครามปกคลุมไปทั่วร่างกายมิให้ได้รับผลกระทบจากการปะทะครั้งนี้
“นี้คือพิษกัดกินเทวะที่เลื่องลือสินะ ใช้ลมปราณที่แข็งแกร่งผสานเข้ากับพิษร้ายแรง แต่แล้วมันจะสักเท่าไรกันเชียว??” ชายชุดดำแค้นเสียงออกมาเบาๆลมปราณสีดำทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจนแทบจะกลืนกินพลังปราณทั้งสามสายมาไว้ในตัว
“น้องสาม ข้าว่าฝีมือของเจ้าตกลงไปเยอะเลยนะ” สิ้นเสียงกล่าว เปลวเพลิงสีทองกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นและโหมกระหน่ำราวกับจะแผดเผาความมืดมิดให้สลายหายไป
ปราณเพลิงอสูร ปราณวิญญาณทมิฬ ปราณหยินบริสุทธิ์ และ ปราณพิษกลืนเทวะ ลมปราณทั้งสี่สายได้เข้าปะทะกันในอากาศอย่างบ้าคลั่ง ทั้งรุกและรับราวกับมีชีวิตเป็นของตนเอง
ไม่มีผู้ใดขยับตัวแม้เพียงก้าวเดียว และถึงจะเป็นการปะทะกันของพลังปราณเพียงอย่างเดียว แต่ก็มากพอที่จะทำให้สัตว์อสูรโดยรอบส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาด้วยความหวาดกลัว
ทั้งสี่คนไม่มีท่าทีจะโอนอ่อนให้กันเลย มีแต่จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไป และเมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ผู้ชนะยังยากที่จะปรากฏ ทั้งสามคนจึงมีความเห็นตรงกัน ‘คนที่ควรจะพ่ายแพ้เป็นคนแรก’ คือผู้ที่มีสิทธิ์ในตัวของทารกน้อยมากกว่าใครเพื่อน นั้นก็คือ ผู้ที่พบเจอ
เห็นว่าทั้งสามคนกำลังมุ่งเป้ามาที่มัน ชายชุดดำหันไปกล่าวออกกับบุรุษชุดขาว “พี่ใหญ่ ท่านให้สัญญากับข้าแล้วนะ จะผิดสัญญางั้นรึ??!!!”
ในตอนนี้บุรุษที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ หาได้สนใจในการต่อสู้แม้แต่น้อย สายตามองไปยังเด็กทารกในมือของน้องห้าและคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และเมื่อเสียงของน้องสี่ดังเตือนสติให้ตื่นจากห้วงความคิด มันจึงระบายลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจ
มันรู้ถึงนิสัยน้องร่วมสาบานทั้งสี่คนเป็นอย่างดี ก่อนที่จะมาสาบานเป็นพี่น้องและเร้นกายมาอยู่ในป่านรกดำ พวกมันทุกคนล้วนเป็นยอดคนในพื้นที่ราบกลางด้วยกันทั้งสิ้น
เฮ้อ...บุรุษในชุดขาวระบายลมหายใจออกมาเป็นครั้งที่สอง จากนั้นเขายกมือขึ้นช้าๆ ปรากฏ ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งเข้าใส่พลังปราณทั้งสี่สายที่กำลังปะทะกันอยู่ในอากาศ เพียงแค่ชั่วอึดใจ ปราณทั้งสี่สายแตกสลายหายไปอย่างไร้ร่องลอย
“พวกเจ้าสี่คนหยุดได้แล้ว เหตุใดต้องใช้กำลังเข้าตัดสิน พี่ใหญ่ขอสั่งให้พวกเจ้าทั้งหมดเข้าไปตกลงกันในตำหนักภูตกระบี่” บุรุษในชุดขาวกล่าวเสียงแข็ง จากนั้นมันเดินหายเข้าไปในตำหนักสีขาวที่ตั้งอยู่ใจกลางระหว่างสี่ตำหนัก
...
...
ภายในห้องโถงกลางของตำหนักภูตกระบี่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ทั้งสี่คนถลึงตามองกันและกันด้วยความโกรธ หาได้มีผู้ใดยอมหลบสายตา เห็นได้ชัดว่า พวกมันไม่มีทีท่าจะโอนอ่อนให้แก่กันเลย
"พี่ใหญ่ท่านเองก็ได้ให้สัญญากับข้าแล้ว เหตุใดถึงรวมหัวกันรังแกข้าเล่า??" บุรุษชุดดำกล่าวออกด้วยความรู้สึกหงุดหงิด
"น้องสี่ พี่ใหญ่เองก็ลำบากอยู่ใจไม่น้อย เจ้าย่อมรู้จักนิสัยของพวกเขาดีไม่แพ้ข้า" ทุกครั้งบุรุษชุดขาวจะเป็นผู้ตัดสินใจในทุกเรื่องอย่างเด็ดขาด มันเป็นพี่ใหญ่ที่ได้รับความเคารพจากน้องทั้งสี่คน เมื่อมันพูดทุกคนย่อมต้องฟัง ทว่าครั้งนี้กลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตัดสินใจและคลายความขัดแย้ง
บุรุษชุดเขียวครุ่นคิดอย่างหนักในหัว ก่อนจะเป็นคนแรกที่ยอมเจรจาต่อรอง ยื่นข้อเสนอออกไป “น้องสี่ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่?? ถ้าเจ้ายอมยกทารกน้อยผู้นี้ให้แก่พี่รอง พี่รองจะให้ 'โอสถทิพย์เมฆทมิฬ' แก่เจ้า โอสถเม็ดนี้ช่วยให้เจ้าไปอยู่ในขั้น9ได้แน่นอน''
สตรีชุดครามเห็นถึงความเจ้าเล่ห์ของพี่รอง นางรีบยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายเช่นกัน
“พี่สี่ ข้าจะให้แก่นชีวิตอสูรสวรรค์ขั้น9 มันย่อมดีกว่าโอสถที่ไม่รู้ว่าจะใช้การได้หรือเปล่าของพี่รองเป็นแน่”
ได้ยินเช่นนั้น บุรุษร่างกายกำยำก็ไม่ยอมแพ้ เห็นทั้งสองยื่นข้อเสนอแล้ว มันจะนิ่งเฉยได้อย่างไร “น้องสี่เพียงแค่เจ้า มอบทารกน้อยคนนี้ให้ข้า พี่สามจะยอมถอด 'เกราะอสูรทมิฬ' ที่สวมใส่อยู่เป็นประจำให้เจ้าเป็นของขวัญเอง”
พวกมันทั้งสามตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง สายตาจ้องมองไปที่บุรุษชุดดำราวกับกำลังรอฟังคำตอบว่าอีกฝ่ายจะเลือกรับข้อเสนอของใคร
“นี้พวกท่าน เหตุใดถึงไร้ยางอายเช่นนี้!!!” ชายชุดดำยืนนิ่งหมดคำพูดในความหน้าหนาของพี่น้องร่วมสาบานทั้งสามคน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า ของวิเศษทั้งสามชิ้นที่ถูกเสนอให้แก่ชายชุดดำ มีค่ามากเกินกว่าที่จะประเมินได้ เพียงแค่มันปรากฏในพื้นที่ราบภาคกลาง ก็สามารถเป็นเหตุชนวนให้เกิดสงครามระหว่างอาณาจักรได้แล้ว
เมื่อน้องสี่ของมันยังไม่ตัดสินใจกอปรกับการที่บุรุษชุดขาวเสมือนคิดบางสิ่งออก จึงรีบกล่าวห้ามก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่านี้ “ทารกน้อยผู้นี้มีร่างกายที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์จริงๆ แต่เพื่อมิให้พวกเราพี่น้องต้องทะเลาะกันไปให้มากความ พี่ใหญ่มีความเห็นว่า พวกเราทั้งห้าคนมีสิทธิ์และเหมาะสมยิ่งนัก ที่จะถ่ายถอดวิชาทั้งหมดให้แก่เขา เราทั้งห้าจะรับเขาเป็นบุตรบุญธรรม พวกเจ้ามีความเห็นตรงกันหรือไม่??”
ทั้งสามคนฟังข้อเสนอด้วยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นความกดดันที่แผ่ออกมาค่อยๆลดลงก่อนจะเป็นบุรุษร่างกายกำยำที่ได้กล่าวออกเป็นคนแรก “เป็นความคิดที่ดี พี่ใหญ่ข้าเห็นด้วยกับท่าน” มันจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไรในเมื่อสิ่งที่พี่ใหญ่กล่าวออกมาเป็นทางออกที่ดีที่สุด มีสิทธิ์ในตัวทารกและไม่ต้องเสียเกราะอสูรทมิฬ ไม่มีทางออกใดที่วิเศษไปกว่านี้อีกแล้ว
“ตกลงข้าเอาตามความเห็นของพี่ใหญ่” อีกสองคนพูดขึ้นอย่างพร้อมเพียง
ชายชุดดำมองไปยังพี่ใหญ่ของมันที่กำลังสงบนิ่ง ราวกับว่าเขามิได้มีความสนใจใดๆในตัวของทารกน้อยผู้นี้ ทว่าในใจของชายชุดดำเข้าใจดี ‘ข้าเป็นคนพบเจอทารกน้อยแท้ๆ เฒ่าชราหนอเฒ่าชรา คิดแผนการให้เราทั้งห้าคนรับเขาเป็นบุตรบุญธรรมหมายความว่า ท่านเองก็จะมีผู้สืบสานต่อเพลงกระบี่ ช่างเป็นแผนการที่ล้ำลึกเสียจริง ไม่มีผู้ใดที่จะเก็บท่าทีและวางแผนได้แยบยลเช่นท่านอีแล้ว มารู้ตัวตอนนี้ข้าก็ต้องยอมแบ่งทารกออกเป็นห้าส่วน’
หากในตอนนี้มันปฏิเสธข้อเสนอ คงไม่แคล้วเป็นตัวมันที่โดนรุมจากทั้งสี่คนอย่างแน่นอน คิดได้ดังนั้นจึงกล่าวตอบไป “เมื่อพี่ใหญ่พูดเช่นนี้ ตัวข้าจะทำอะไรได้อีก” ชายชุดดำเว้นคำพูดไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวออกแก่ทุกๆคน “ตกลงพวกเราห้าคนมารับเขาเป็นบุตรบุญธรรมร่วมกันเถอะ”
บรรยากาศกดดันเมื่อสักครู่จางหายไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยมีบรรยากาศมาคุเกิดขึ้นมาก่อนเลย ทั้งสี่คนมีสีหน้าแย้มยิ้มในความสุข จะมีก็เพียงชายชุดดำที่ไม่ค่อยยิ้มเหมือนคนอื่น คล้ายกับมันถูกแบ่งอาหารที่กำลังจะเข้าปากออกเป็นห้าส่วน
บุรุษชุดเขียวพลันกล่าวขึ้น “ทารกน้อยคนนี้ยังไร้ชื่อ เราจะเรียกเขาว่าอย่างไรดี”
“เนื่องจาก น้องสี่เป็นคนพาทารกน้อยคนนี้มา ให้น้องสี่เป็นคนตั้งชื่อเถอะ” บุรุษชุดขาวมองไปทางน้องสี่ ตัวมันรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจเล็กๆจึงได้มอบหน้าที่สำคัญอย่างการตั้งชื่อให้ โดยหวังว่าน้องสี่ของมันจะคลายความรู้สึกลงได้บ้าง
“ให้ชื่อว่า หนิง เทียน ที่หมายถึงความสงบของสวรรค์ ข้าอยากให้เขาเป็นเหมือนเช่นพวกเรา ที่สามารถหาความสงบสุขในบั้นปลายของชีวิตได้พบ”
“ดี!! ต่อไปพวกเราจะเรียกเขาว่า หนิงเทียน”
ไม่รู้ว่ามันเป็นความบังเอิญหรือโชคชะตาเล่นตลก ซือหม่าหนิงเทียนจึงได้กลับมามีชื่อที่เหมือนกันกับชื่อเดิมของเขาในชาติภพก่อนอย่างไม่ผิดเพี้ยน
“โอ่ โอ๋ เทียนเอ๋อน้อยของแม่” สตรีชุดครามยิ้มแย้มดุจนางเซียนสวรรค์ สายตามองไปยังทารก ปากกล่าวออกไป “ในสามปีแรก ให้เทียนเอ๋อน้อยอยู่กับข้า ให้ข้าสั่งสอนวิชาความรู้ เมื่อเทียนเอ๋อน้อยเติบโตจนเขียนอักษรและอ่านตำราได้ พวกเราค่อยสั่งสอนวิชาของเราให้แก่เขา ท่านพี่ทั้งสี่มีความเห็นเช่นไร?”
“น้องห้าเหตุใดถึงต้องให้เทียนเอ๋ออยู่กับเจ้าด้วย เรื่องนี้ข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด” ชายชุดดำโบกมือคัดค้านทันที
“เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยกับน้องสี่ ในเมื่อเป็นบุตรของพวกเราทั้งหมด เหตุใดสามปีแรกต้องยอมให้น้องห้าเป็นผู้เลี้ยงเทียนเอ๋อละ??” บุรุษร่างกายกำยำกล่าวเสริมคำพูดของน้องสี่ด้วยเสียงอันแข็งกร้าว
“อยู่กับข้า พวกท่านมีปัญหาอันใดรึ!!!” สตรีในชุดครามจ้องมองไปยังพี่ๆร่วมสาบานด้วยแววตาเย็นชาดุจแท่งน้ำแข็งแหลมคม พร้อมกล่าวต่อไปว่า “ให้พี่สามเป็นคนเลี้ยงเทียนเอ๋อ เกรงว่าลูกของข้าเมื่อเติบใหญ่จะมีนิสัยเป็นพวกชอบใช้แต่กำลัง หาได้ใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาไม่ และหากให้พี่สี่เลี้ยง ลูกของข้าต้องกลายเป็นพวกโจรอำมหิต กรรโชกแย่งชิงของคนอื่นไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่ หรือพวกท่านต้องการให้เขาโตมามีนิสัยเช่นนั้นรึ??”
“บัดซบ!!! น้องห้าเจ้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร??” ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนพร้อมกับชี้นิ้วไปตัวของสตรีชุดคราม สีหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ ราวกับว่าสิ่งที่น้องห้าของมันพูดออกมาเป็นคำพูดที่ทิ่มแทงไปถึงก้นบึ้งในจิตใจ
“น้องห้า แต่ถ้าเป็นเจ้าเลี้ยงดูเทียนเอ๋อน้อยของเรา พี่รองเกรงว่าเมื่อเขาเติบโตขึ้นจะกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ และไร้เหตุผลเช่นเจ้า แบบนี้ไม่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่หรอกรึ?” บุรุษชุดเขียวใช้ความจริงกล่าวถาม
ภายในใจของทุกคนวิตกเป็นอย่างมากที่จะให้น้องห้าเป็นผู้เลี้ยงทารกน้อย ในบรรดาพวกมันห้าคนพี่น้อง ล้วนมีนิสัยดีร้ายปะปนไป แต่ถ้าถามว่าใครมีนิสัยเลวร้ายที่สุด พวกมันทั้งสี่คงจะพร้อมใจกัน ชี้นิ้วไปที่หญิงสาวผู้เป็นน้องเล็กสุดอย่างพร้อมเพียง
“ข้าเอาแต่ใจแล้วทำไม? ไร้เหตุผลแล้วเป็นอย่างไร? พวกท่านมีปัญหารึ??” ความหนาวเย็นเข้าปกคลุมห้องโถงใหญ่ทันที อุณหภูมิภายในตำหนักภูตกระบี่ลดลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
“พอทีเถอะ พวกเจ้าจะทะเลาะกันเหมือนเด็กทารกแย่งของเล่นไปทำไมกัน พวกเจ้าแต่ละคนอยู่บนโลกมากี่หมื่นปีแล้ว? ทะเลาะกันเช่นนี้ไม่อายเทียนเอ๋อบ้างหรืออย่างไร??”
บุรุษชุดขาวกล่าวตำหนิด้วยน้ำเสียงเจือโทสะ
ทั้งสี่คนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง พวกมันรู้ดีว่าคราวนี้พี่ใหญ่เริ่มจะมีโทสะขึ้นมาจริงๆแล้ว
เพื่อตัดปัญหา สตรีชุดขาวรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าสำนึกผิดเล็กน้อย “พี่รอง พี่สาม พี่สี่ ข้าต้องขออภัยที่กล่าวล่วงเกินพวกท่านออกไป”
เมื่อตกลงกันไม่ได้ จึงเป็นหน้าที่ของพี่ใหญ่ที่ต้องตัดสินใจ “พวกเราทั้งห้าคนจะสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเลี้ยงดูเทียนเอ๋อน้อย คนละเจ็ดวัน ระหว่างนี้พวกเจ้าสั่งสอนทักษะวิชาพื้นฐานไปก่อน รอจนกว่า เทียนเอ๋อน้อยจะเข้าสู่ดินแดนมนุษย์ขั้น9 เวลานั้นเราค่อยมาตกลงกันว่าจะให้เทียนเอ๋อฝึกฝนทักษะบ่มเพาะของใคร...พวกเจ้ายังมีปัญหาอะไรอีกหรือไม่?” กล่างจบ มันมองไปยังน้องทั้งสี่คน ราวกับกำลังรอคอยผู้ที่จะกล้าเอ่ยค้านในคำพูด
เห็นสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง จึงไม่มีใครกล้าจะกล่าวค้านอีก ทั้งสี่คน ตบปากรับคำทันที “ตกลงตามนี้”
บรรยากาศตึงเครียดในตำหนักภูตกระบี่ จางหายไปจนหมดสิ้น “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสี่เห็นด้วย เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ส่วนน้องรอง เจ้าพึ่งได้รับหญ้าสามวิญญาณมา รีบนำมันไปปรุง‘โอสถแปรสวรรค์’ ในระยะเวลาห้าปีนี้ เจ้าจะต้องเก็บตัวดูดซับลมปราณเพื่อที่จะก้าวเข้าสู่ขั้นที่9ให้สำเร็จ ระหว่างนี้เรื่องของเทียนเอ๋อปล่อยให้เป็นหน้าที่น้องสาม น้องสี่และน้องห้าเถอะ”
“เข้าใจแล้วพี่ใหญ่” บุรุษชุดเขียวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเต็มใจ แต่มันก็เข้าใจถึงความสำคัญของการบ่มเพาะครั้งนี้ดี เพียงเพราะเม็ดยาแปรสวรรค์ทำให้พวกมันทั้งห้าคน ต้องออกจากแดนภูตเร้นลับในรอบพันปีเพื่อตามหา หญ้าสามวิญญาณ มาปรุงเป็นโอสถ
ไม่รู้ว่าเป็นโชคชะตาหรือลิขิตสวรรค์ ในการออกจากแดนภูตเร้นลับครั้งนี้ ทำให้พวกมันทั้งห้าได้พบกับทารกน้อย ซึ่งในอนาคตภาคหน้าจะกลายเป็น สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกมัน
บุรุษชุดขาวกล่าวออก “น้องสาม เจ้าสั่งให้พ่อบ้านมู่ เดินทางไปที่สมาคมการค้าจ้าวสมุทร ประมูลน้ำนมหมื่นปีมา ถ้าทำไม่สำเร็จ บอกมันไปว่าไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
“ส่วนน้องห้า ระหว่างเจ็ดวันนี้ เจ้าไปจับสัตว์อสูรที่เลี้ยงลูกด้วยนม มาให้เทียนเอ๋อดื่มชั่วคราว”
“น้องสี่เจ้าพึ่งต่อสู้กับ มังกรพิษฟ้าครามมา แม้ว่ามังกรพิษฟ้าครามจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่มันก็เป็นถึงอสูรปีศาจเชื้อสายมังกรแท้จริง เจ้ากลับไปพักผ่อนที่ตำหนักภูตสังหารก่อนเถอะ”
บุรุษชุดขาวกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเชิงคำสั่ง “ก่อนที่ข้าจะเก็บตัวช่วยน้องรองปรุงโอสถ เทียนเอ๋อจะต้องอยู่ในตำหนักภูตกระบี่เป็นเวลาเจ็ดวัน เมื่อครบกำหนดข้าจะส่งต่อไปยังตำหนักภูตเหมันต์ จบเรื่องแล้วพวกเจ้าแยกย้ายกันไปพักผ่อนได้”