ตอนที่ 5 โอหยางสือ
ราตรียามค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง บนทางเดินสู่ตำหนักภูตกระบี่ หนิงเทียนในชุดสีฟ้าเดินเคียงคู่มาพร้อมสตรีในชุดฟ้าครามบริสุทธิ์
ณ ห้องโถงใหญ่ในตำหนักภูตกระบี่ บุรุษชุดขาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้จันทน์สายตามองตรงไปที่ผู้มาเยือนทั้งสอง
“คาราวะ ท่านพ่อใหญ่” หนิงเทียนโค้งศีรษะลงแสดงความเคารพให้กับบุรุษชุดขาว
สตรีในชุดฟ้าครามกวาดสายตาพร้อมกล่าว “พี่ใหญ่ พี่สามยังไม่มาอีกหรือ??”
สุ้มเสียงดังมาจากหน้าประตู บุรุษร่างกายกำยำกล่าวออกอย่างสนุกสนาน “ฮาฮ่าฮ่าๆ วันนี้น้องห้ามาถึงก่อนข้าได้ เกรงว่าตะวันคงไปขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วกระมัง”
หนิงเทียนมองไปยังผู้ที่กำลังเปล่งเสียงหัวเราะ มันรีบโค้งศีรษะลงต่ำ “คาราวะ ท่านพ่อสาม”
แม่ห้าเคยเล่าเกี่ยวกับอดีตของบิดาสามอยู่เล็กน้อย ว่าคนผู้นี้มิใช่มนุษย์ แต่เป็นเผ่าพันธุ์อสูรที่ฝึกตนจนสามารถจำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่ถึงกระนั้นความจริงอาจเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียว เพราะเบื้องหลังของคนๆนี้ยังคงคลุมเครือแม้ในหมู่พี่น้องด้วยกัน ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่ประจักษ์ชัดและรู้กันอย่างทั่วถึง ว่าเมื่อหนึ่งพันปีก่อน บนพื้นที่ราบภาคกลางไม่มีผู้ใดไม่รู้จักสมญาอสูรคลั่ง นามว่า ‘หวงหลง’
เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายยียวนชวนโทสะ ทำให้ดวงตาของชางเยว่ถึงกับต้องหรี่เล็กลง “พี่สามท่านคงจะตลกมากเลยสินะ”
“น้องห้าถ้าเจ้าเอาแต่ดึงหน้า ปั้นตาดุร้ายเช่นนี้ เกรงว่าพี่ๆทั้งสี่คงไม่มีโอกาสเห็นเจ้าในวันวิวาห์เป็นแน่” หวงหลงกล่าวออกมาอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าการได้ยั่วยุโทสะของน้องเล็กคือความสุขอย่างหนึ่งในวันนี้
เห็นอีกฝ่ายข่มฟันหน้านิ่ว หวงหลงรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนจะเลยเถิด “มา มาๆ เทียนเอ๋อ มาให้พ่อสามอุ้มเจ้าหน่อยเร็ว” บุรุษร่างกำยำยกหนิงเทียนขึ้นสูงด้วยความรักความเอนดู และยังกล่าวต่อว่า “เจ้าพอใจกับสัตว์ป่าที่พ่อสามจับมาให้เล่นหรือไม่?”
“ข้าชอบมันมากเลยท่านพ่อสาม ว่าแต่ครั้งหน้าท่านช่วยจับสัตว์อสูรมาให้ข้าได้หรือไม่??”
“โห่สิ ตัวแค่นี้ก็อยากเล่นกับสัตว์อสูรเสียแล้ว ยอดเยี่ยมจริงต้องมีความกล้าเช่นนี้แหละ ถึงจะสมกับเป็นบุตรชายของข้า ไว้วันหน้าพ่อสามจะพาเจ้าไปตีกับหมีดำเขี้ยวยาว ดีไหม” ระหว่างกล่าวหวงหลงยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา ทำท่าคำรามร้องเหมือนหมี
เห็นเช่นนั้นหนิงเทียนแย้มยิ้มด้วยความสุข “พ่อสามพวกเราไปกัน วันพรุ่งเลยดีหรือไม่??”
“พอเลย...พอเลย ข้าก็คิดสงสัยว่าใครกันที่ทำให้เทียนเอ๋อไปเสี่ยงอันตรายในดงสัตว์ป่า ดงสัตว์อสูร ที่แท้เป็นพี่สามที่ส่งเสริมให้ลูกของข้าไปต่อยตีกับพวกสัตว์ป่า จนได้รับบาดเจ็บกลับมาทุกวัน!!!” ชางเยว่กล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจ
ฟิ้วววว....สายลมแผ่วเบาพัดผ่านแผ่นหลัง สายตาของหวงหลงและชางเยว่จ้องไปยังเกาอี้ว่างเปล่าข้างกายของพี่ใหญ่ก่อนจะเป็นหญิงสาวที่ได้กล่าวออกมา
“แล้วเหตุใดพี่สี่ถึงชอบทำตัวหลบๆซ่อนๆคล้ายกับพวกหัวขโมยอยู่อีก มาถึงแล้วไม่คิดจะปรากฏตัวหน่อยหรือ??”
“น้องห้า เจ้ากล่าวเกินไป ผู้ใดกันที่เป็นหัวขโมย” สิ้นเสียงพลันปรากฏร่างของชายชุดดำนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยรอยยิ้ม
เมื่อบุรุษผู้เป็นเจ้าของตำหนักภูตกระบี่เห็นว่าคนอื่นๆมาถึงครบแล้ว จึงเริ่มกล่าว“พวกเจ้าทั้งสามรีบมานั่งได้แล้ว จะได้เริ่มหารือกันเสียที เทียนเอ๋อเจ้ามานั่งข้างๆพ่อใหญ่นี่มา”
“ขอรับท่านพ่อใหญ่” หนิงเทียนตอบรับอย่างว่าง่าย
จากนั้นบุรุษชุดขาวกล่าวเข้าเรื่อง “ห้าปีก่อน พวกเราตกลงกันว่า เมื่อใดเทียนเอ๋อ เติบโตจนเข้าสู่แดนมนุษย์ขั้น9ได้สำเร็จ เมื่อนั้นพวกเราจะเลือกทักษะบ่มเพาะที่เหมาะสมให้แก่เขา ทว่าตอนนี้น้องรองอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการบ่มเพาะ หน้าที่การตัดสินใจจึงเป็นของพวกเราสี่คน” บุรุษชุดขาวมองยังไปน้องๆทั้งสาม
“พี่ใหญ่ เรื่องนี้เราจะมานั่งหารือกันอีกทำไม ‘กายาเทพอสูร’ ของข้าเป็นหนึ่ง
ไม่มีสองในแดนสวรรค์หวงตี้ เพียงแค่ความแข็งแกร่งทางกายก็สามารถสังหารศัตรูในระดับเดียวกันได้อย่างสบายๆ ถ้าเทียนเอ๋อฝึกฝนกายาเทพอสูรจนสำเร็จ ข้ามั่นใจเลยว่าเขาจะสามารถเหยียบแดนสวรรค์ให้จมอยู่ใต้ฝ่าเท้าได้อย่างง่ายดาย”
“พี่ใหญ่ กายาวิญญาณทมิฬของข้าไม่ได้ด้อยไปกว่ากายาเทพอสูร ขอพี่ใหญ่โปรดพิจารณาด้วย” จูซ่งกล่าวแทรกทันที
“เฮ้อะ!! น้องสี่เจ้ากล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูกนัก แม้กายาวิญญาณทมิฬของเจ้าจะเทียบได้บ้าง แต่ก็เป็นสายความเร็วไม่ใช่สายพละกำลังเหมือนของข้า อีกทั้งเงื่อนไขการฝึกกายาวิญญาณทมิฬยังยุ่งยากซับซ้อน จะต้องฝึกร่วมกับ ทักษะบ่มเพาะวิญญาณราชัน ถึงจะแสดงอำนาจสะเทือนฟ้าได้ มิใช่ว่าเจ้าหวังสูงถึงขนาดที่จะให้เทียนเอ๋อ เรียนรู้ทักษะบ่มเพาะของเจ้าไปด้วยงั้นหรอกรึ??” หวงหลงกล่าวออกเสียงแข็ง เน้นยำคำว่า ‘เทียบเท่าได้บ้าง’ ให้ดังเป็นพิเศษ
“แล้วมันทำไม?? ทักษะบ่มเพาะวิญญาณราชันของข้า ส่งเสริมทั้งทักษะต่อสู่ ท่าร่างและเป็นเอกด้านท่าเท้า เป็นทักษะบ่มเพาะโบราณที่สืบทอดเฉพาะราชาของเผ่าพันธุ์”
อีกฝ่ายรีบกล่าวแย้ง “น้องสี่ ทักษะบ่มเพาะวิญญาณราชันของเจ้า ผู้ฝึกจะต้องใช้ชีวิตคนตายเพื่อเป็นแหล่งกำเนิดหลักของการบ่มเพาะ เป็นปราณแห่งการสังหารอย่างแท้จริง เจ้าต้องการให้เทียนเอ๋อของพวกเรา เป็นปีศาจกระหายเลือดเหมือนกับเจ้ารึไง??”
จูซ่งส่ายหน้ามุมปากเย้ยหยัน “ข้า ไม่คิดเลยว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากของ ‘อสูรคลั่ง’ ปีศาจบ้าเลือดที่เข่นฆ่าชีวิตนับแสนในค่ำคืนเดียว หากเรียกข้าเป็นปีศาจกระหายเลือดแล้ว ตัวท่านละเป็นอันใด? ปีศาจบ้าเลือดหรือไง??” มันย้อนคำถามกลับไปยังพี่สามของตนเอง
“นี้เจ้า ชักจะพูดเกินไปแล้วนะ!!!” หวงหลงลุกขึ้นยืน ใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ
เห็นว่าปล่อยไปแบบนี้คงได้ตีกันแน่ บุรุษชุดขาวรีบกล่าวห้ามก่อนที่เรื่องราวจะวุ่นวายไปมากกว่านี้ “น้องสาม นั่งลงเดี๋ยวนี้”
ทว่าความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก น้ำเสียงใสกังวานของเทียนไห่ชางเยว่ดังขึ้น “ทักษะวิญญาณราชัน ไม่ใช่ทักษะบ่มเพาะสายปราณปีศาจอันดับหนึ่งแท้ๆ พี่สี่ท่านกล้าให้ เทียนเอ๋อของข้าฝึกได้อย่างไร??”
“น้องห้า เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง??” พี่สี่ของมันตะโกนใส่หน้า
บรรยากาศที่กำลังจะกลับเข้าฝั่งกลายเป็นตึงเครียดอีกครั้ง เสมือนเช่นวันนี้เมื่อห้าปีก่อนไม่ผิดเพี้ยน
สตรีในชุดฟ้าครามยังคงดึงหน้าด้วยรอยยิ้ม “แล้วข้าพูดอันใดผิดรึพี่สี่ ถ้าทักษะวิญญาณราชันของท่านเป็นอันดับหนึ่งในสายปราณปีศาจจริง แล้วเหตุใด ราชันทมิฬ โอหยางสือ ถึงได้อยู่เย็นเป็นสุขจนถึงบัดนี้เล่า”
“บัดซบ!! เมื่อข้าก้าวสู่ขั้นจักรพรรดิ สารเลวโอหยางสือ ต้องตกตายด้วยน้ำมือของข้า” จิตสังหารของจูซ่งพวยพุ่งออกมาปกคลุมเบื้องบนของตำหนักภูตกระบี่ ความต้องการสังหารนี้หาใช่เป็นการทะเลาะกันระหว่างพี่น้องอีกแล้ว
บรรยากาศอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก เสมือนว่าครั้งนี้จะยิ่งร้ายแรงกว่าทุกๆครั้งที่ผ่านมา
หนิงเทียนได้รับผลกระทบอย่างหนัก แม้ว่าจิตสังหารจะไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ใคร แต่ถึงอย่างนั้นผลกระทบก็ทำให้ร่างกายของมันเย็นเฉียบ ลมหายใจติดขัด ศีรษะวิงเวียน ไม่สามารถแม้แต่จะเปล่งเสียงออกมาได้ ราวกับว่า มีผู้ส่งสาส์นแห่งความตายกำลังยืนถือเคียวสีดำอยู่เบื้องหน้า
ตุบ.... บุรุษชุดขาวเคาะนิ้วเข้ากับพำนักที่วางแขน ปรากฏริ้วกระบี่หนึ่งสายพุ่งเข้าสลายจิตสังหารอันดำมืดอย่างรวดเร็ว ทำให้หนิงเทียนรู้สึกโล่งและผ่อนคลายขึ้นทันตา
โดยปกติแล้วจูซ่งจะใจดีและยิ้มแย้มอยู่เสมอ หนิงเทียนแทบไม่เคยเห็นบิดาสี่แสดงอาการโกรธจนขาดสติเช่นนี้มาก่อนเลย ในใจจึงเกิดเป็นคำถามว่า ‘โอหยางสือ’ ที่ท่านแม่กล่าวถึง เป็นใครกันแน่??
“น้องสี่ เจ้ารีบสงบสติลงก่อน ส่วนน้องห้า ครั้งนี้เจ้าทำเกินไป!!!” บุรุษชุดขาวกล่าวตำหนิน้องเล็กของมัน
“น้องห้า คราวนี้เจ้าเล่นแรงเกินไปจริงๆ” หวงหลงต่อว่าการกระทำของหญิงสาว
ดูเหมือนว่าเทียนไห่ชางเยว่พึ่งจะรู้ตัว ถึงถ้อยคำต้องห้ามที่นางกล่าวออกไป ไม่บ่อยครั้งที่นางจะรู้สึกผิดและเสียใจ จนต้องประสานมือที่หน้าขาและย่อตัวลงพร้อมกับกล่าวคำขอโทษด้วยเสียงอ่อย “พี่สี่เป็นข้าเองที่พูดไม่คิด โปรดให้อภัยน้องเล็กคนนี้ด้วย ขอให้พี่สี่รับการคาราวะจากข้า”
ไม่บ่อยครั้งที่ธิดาโลหิตจะขอโทษจากใจจริง ทุกครั้งเมื่อนางทำผิด จนต้องกล่าวคำขอโทษ นางมักจะกล่าวอย่างขอไปที แต่ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่นๆ ชางเยว่รู้สึกผิดในคำพูด ถึงกับยอมก้มศีรษะลง ทำให้หนิงเทียนรับรู้ว่า โอหยางสือ เป็นตัวตนต้องห้ามสำหรับบิดาสี่จริงๆ
ปล่อยเวลาผ่านไปหลายอึดใจ จูซ่งจึงพยักหน้ารับคำขอโทษ ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากของมัน ราวกับว่ากำลังพยามข่มจิตสังหารที่อยู่ภายในให้สงบลง
บุรุษชุดขาวรีบเปลี่ยนเรื่อง เพื่อดึงบรรยากาศให้กลับคืนมา “วันนี้พี่ใหญ่ให้พวกเจ้าสามคนมาพร้อมหน้าเพื่อตกลงกันเรื่องทักษะบ่มเพาะของเทียนเอ๋อ กายามารทมิฬ ถึงแม้จะเป็นสุดยอดวิชา แต่การที่จะต้องบ่มเพาะปราณวิญญาณราชันควบคู่ไปด้วยนั้น พี่ใหญ่คิดว่าไม่ค่อยจะเหมาะสม ปราณวิญญาณราชันของน้องสี่มีความเป็นเอกเทศสูง หากมิใช่สายเลือดที่แท้จริง มันจะต่อต้านทั้ง ‘หยินและหยาง’ ส่งผลให้การฝึกทักษะต่อสู้อย่างเหมันต์นิรันดร์ของน้องห้าและเพลิงเทพอสูรของน้องสามมีปัญหาในภายหลังได้
ส่วนกายาหยินบริสุทธิ์ของน้องห้า ไม่ใช่ผู้ใดในหล้าที่จะสามารถฝึกฝนได้ ถึงแม้เจ้าจะให้เทียนเอ๋อ อาบน้ำจากไข่มุกเหมันต์หมื่นปีมาตลอดก็ตาม แต่เจ้าย่อมรู้ดีกว่าใครการเป็นบุรุษเพศจะสามารถเข้าถึงพลังหยินได้ยากกว่าสตรีเพศ”
“เฮ๊อะ!!” เทียนไห่ชาวเยว่เค้นเสียงในลำคอ นางไม่พอใจที่ทักษะของตนเองถูกปฏิเสธ ทว่าแม้ไม่อยากยอมรับในคำกล่าวของพี่ใหญ่ แต่นางก็เข้าใจดี นางพยายามสร้างร่างหยินบริสุทธิ์ให้แก่บุตรชาย ไม่ว่าจะเป็นของวิเศษหรือทรัพยากรชั้นสูงล้วนใช้ออกมาโดยไม่คิดเสียดาย แต่น่าเศร้าสำหรับบุรุษเพศนั้น การเสริมสร้างร่างหยินให้สำเร็จจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย20ปี
บุรุษชุดขาวได้กล่าวต่อไป “กายาไร้ลักษณ์ของข้ายังถือว่าด้อยกว่ากายาเทพอสูรของน้องสามอยู่ครึ่งก้าว กายาเทพอสูรเป็นวิชาที่อาศัยความแข็งแกร่งจากเส้นลมปราณเสริมสร้างจากภายในสู่ภายนอก ด้วยเส้นลมปราณที่แข็งแกร่งสามารถทนทานต่อพลังธาตุที่ขัดแย้งกันภายใน นั้นก็ย่อมหมายถึงการฝึกฝนทุกทักษะได้อย่างอิสระโดยไม่ส่งผลร้ายต่อร่างกาย พวกเจ้าคิดว่าเหมาะสมดีหรือไม่??”
แม้ว่านี้จะเป็นเพียงความคิดเห็นของคนๆเดียว แต่จากน้ำเสียงที่บุรุษชุดขาวกล่าวออกมาราวกับว่ามันได้ตัดสินใจไปแล้ว
“คำกล่าวของพี่ใหญ่ ข้าเห็นด้วยเป็นที่สุด!!” หวงหลงตะโกนเสียงดัง ภายในใจของมันนั้นลิงโลดเป็นที่สุด
“ตามแต่พี่ใหญ่เห็นสมควรก็แล้วกัน” แม้จูซ่งจะไม่พอใจแต่ก็มิอาจยอมรับความจริงที่พี่ใหญ่พูดออกมาได้
“ก็ไม่มีทางเลือกอื่น หากไม่ใช่กายาเทพอสูร เพลิงและน้ำแข็ง อสนีและน้ำ ดินและลม จะไม่สามารถอยู่ในร่างกายของคนๆเดียวได้” เทียนไห่ชางเยว่กล่าว
ได้ยินเช่นนั้นหวงหลงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง คล้ายว่าตัวเองเป็นผู้ชนะในสงครามแห่งความอยู่รอด “กายาเทพอสูรของข้ามีผู้สืบทอดแล้ว วะฮะฮาฮ่าๆๆ”
หลังจากได้ยินเสียงหัวเราะอันน่าเกลียดของพี่สาม หญิงสาวรีบกล่าวเพื่อจะข้ามไปเรื่องการบ่มเพาะให้เร็วที่สุด “พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าเทียนเอ๋อเหมาะสมที่จะบ่มเพาะทักษะเหมันต์นิรันดร์ของข้าเป็นที่สุด”
พี่สามของนางรีบกล่าวแทรก “น้องห้าในเมื่อเทียนเอ๋อฝึกฝน กายาเทพอสูรของข้าแล้ว ก็ต้องบ่มเพราะทักษะเพลิงสุริยัน ไม่เพียงแต่ปราณหยางที่ร้อนแรง ยังมีกระบวนท่าหมัดจักรพรรดิอสูรอีกด้วย บัดนี้ ‘อสูรคลั่งที่2’ได้ถือกำเนิดแล้ว วะฮะฮาฮ่าๆ”
“พี่สาม ท่านกล่าววาจาผายลมอันใดออกมา??” เทียนไห่ชางเยว่มองไปหวงหลงด้วยดวงตาหรี่เล็กหมายจะเอาเรื่อง
นอกเหนือความขัดแย้งของทั้งสอง จูซ่งเป็นคนแรกที่ฉุกคิดได้ก่อนใคร มันร่นหว่างคิ้ว จับจ้องไปยังบุรุษชุดขาวที่กำลังปูทางสู่ตัวเอง “พี่ใหญ่ คงไม่ใช่ว่าท่านตั้งใจจะให้เขาฝึก วิชาบ่มเพาะอัตถะวิสุทธิ์ของท่านหรอกนะ??”
“อัตถะวิสุทธิ์ของข้าและเทวะอุดรของน้องรอง นับว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว
ทักษะเหมันนิรันดร์ของน้องห้า การจะเข้าสู่จุดสูงสุดได้ ผู้ฝึกตนต้องมีร่างกายหยินบริสุทธิ์เสียก่อน”
“พี่ใหญ่ ขอเวลาแค่20ปี ข้าจะปรับปรุงร่างกายของเทียนเอ๋อ เมื่อสำเร็จข้ามั่นใจว่าแม้เป็นสตรีทั่วหล้าก็ไม่มีนางใดปลดปล่อยปราณหยินได้เท่ากับเทียนเอ๋อเป็นแน่” สตรีชุดขาวกล่าวด้วยความหวัง
“นานเกินไป เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า 20ปีแรกของการฝึกตน มีความสำคัญมากเพียงใด หากจะให้แต่เสริมสร้างร่ายกายถึง20ปี นับว่าเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์”
ได้ยินเช่นนั้นเทียนไห่ชางเยว่ ได้แต่กัดริมฝีปากและยอมตัดใจในที่สุด “ถ้าเช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความผิดหวัง แต่นางเข้าใจดีว่า ความสำเร็จของบุตรชายจะต้องมาก่อนความหวังของนาง
บุรุษชุดขาวมองไปยังน้องห้าด้วยความแปลกใจเล็กๆ มันไม่คิดว่าน้องห้าที่แสนดื้อรั้นจะยินยอมอย่างว่าง่ายเช่นนี้ “น้องห้าเจ้าอย่าได้เสียใจไป ด้วยไข่มุกหมื่นเหมันต์อีกไม่เกินห้าปี แม้จะไม่ถึงระดับร่างหยินบริสุทธิ์ แต่ร่างกายก็พร้อมจะฝึกวิชาหยินขั้นสูงของนิกายเอกโลหิตได้โดยไม่มีผลกระทบใดต่อทะเลลมปราณ”
“ส่วนทักษะบ่มเพาะเพลิงสุริยันของน้องสาม แม้ว่าจะเป็นทักษะบ่มเพาะที่ดี ทว่าขอบเขตการใช้ออกที่จำกัด เป็นข้อด้อยกว่าอัตถะวิสุทธิ์และเทวะอุดรอยู่ถึงหนึ่งก้าว น้องสามเจ้าย่อมรู้ดีกว่าใคร ความแข็งแกร่งที่เหนือล้ำของเจ้ามาจากทักษะบ่มเพาะหรือมาจากทักษะกายา??”
แม้รู้ดีแต่ไม่อาจยอมรับ หวงหลงหรี่สายตาจ้องมอง “พี่ใหญ่ท่านกล่าวเช่นนี้ ออกมาในเวลาที่พี่รองไม่อยู่ ไม่เอาเปรียบกันไปหน่อยหรือ?? เมื่อผู้สอนสั่งเทวะอุดรไม่อยู่ อัตถะวิสุทธิ์ก็กลายเป็นตัวเลือกเดียวทันที ไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรม”
ทันใดนั้นเอง จิตสัมผัสของทั้งสี่คนรับรู้โดยพร้อมกัน สีหน้าของคนทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นความปิติยินดีอย่างที่สุด แม้บุรุษชุดขาวจะยังอยู่ในรอยยิ้ม แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าเลือกเวลาออกมาได้เหมาะจริงๆนะ”
ตูมมมมมมมมมมมมมม---------------------
เสียงสนั่นกึกก้องไปทั่วชั้นฟ้า พื้นแผ่นดินสั่นสะเทือนทั่วทั้งผืนป่านรกดำ ตำหนักภูตทั้งห้าสั่นไหวไปมา คลื่นทะเลในรัศมีหนึ่งพันลี้สาดกระเซ็นอย่างคลุ้มคลั่ง ก้อนเมฆเหนือตำหนักภูตโอสถเกิดการเปลี่ยนแปลง เบื้องบนถูกกระแสปราณสีเขียวขนาดใหญ่เข้าแทนที่ ห้วงมิติกำลังพังทลายราวกับเทพสวรรค์กำลังใช้มือฉีกกระดาษที่เรียกว่าแผ่นฟ้าและเพียงระยะเวลาพริบตา ความเสียหายได้ส่งแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้างหลายร้อยหลายพันลี้
เสียงครวญครางของสัตว์อสูรดังก้องเป็นระงม บริเวณรัศมีสิบลี้ ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหี่ยวโดยฉับพลัน ร่างของอสูรปีศาจหลายตัวล้มคว่ำและถูกกัดกินด้วยปราณสีเขียวอย่างหิวกระหาย ร่างกายขนาดมหึมาเหลือเพียงแอ่งน้ำพิษนับสิบนับร้อยกอง
บุรุษชุดขาวรีบวาดมือเป็นเส้นโค้ง ปลดปล่อยกระแสปราณสีขาวกระจายตัวปกคลุมตำหนักภูตทั้งห้าเอาไว้ บนท้องฟ้าเกิดการต่อต้านระหว่างปราณสีเขียวและปราณสีขาว การปะทะเกิดขึ้นในอึดใจก่อนที่ลมปราณสีเขียวจะค่อยๆสงบลง
หนิงเทียนมองไปยังปรากฏการณ์บนท้องฟ้าด้วยแววตาตกตะลึงถึงขีดสุด หากเป็นชีวิตก่อน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าเป็นฝีมือของเทพสวรรค์บนฟ้า
“ปราณพิษทะลวงขึ้นสู่ฟ้าแล้ว” เทียนไห่ชางเยว่กล่าวออกด้วยความยินดี
ใบหน้าของจูซ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “บรรลุเส้นทางแห่งการสังหาร พี่รองท่านนำหน้าข้าไปอีกขั้นแล้ว”
“พี่รองทำได้สำเร็จ ท่านทำสำเร็จแล้ว วะฮะฮาฮ่าๆ” หวงหลงแหงนหน้าพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะ
“ฮาฮาฮ่าฮ่าๆ” บุรุษชุดขาวหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ไม่บ่อยครั้งที่หนิงเทียนจะเห็นบิดามารดาทั้งสี่คนหัวเราะราวกับคนบ้าเช่นนี้
......
......
ณ อาณาจักรแดนเหนือของพื้นที่ราบภาคกลาง ห่างจากป่านรกดำไม่ไกลนัก บุรุษในอาภรณ์สีทองสลักใบหน้าของปีศาจ หรี่ดวงตามองไปยังลำแสงสีเขียวที่ทะยานสู่ฟ้าด้วยประกายอันแสนเย็นชา “ที่ป่านรกดำ...กลายเป็นจักรพรรดิ”
ดินแดนทางตอนใต้ห่างออกไปหลายแสนลี้ บุรุษวัยกลางคน สวมเสื้อผ้า สีดำสนิท ดวงตาเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต มันจ้องมองไปที่ปราณสีเขียวบนฟ้า ใบหน้าแสดงออกด้วยเจตนาสังหารที่รุนแรง
ทางฝั่งประจิมทิศของดินแดนที่ราบภาคกลาง บุรุษวัยกลางคน สวมใส่อาภรณ์ตกแต่งด้วยเพชรนิลจินดาทั่วทั้งตัว ดูสูงศักดิ์เหนือคนผู้คนทั้งปวง มันเปล่งเสียงออกมา“เฒ่าพิษรึ ให้ข้ารอเสียได้ตั้งนาน??”
บริเวณผืนป่ารกร้างหนาทึบด้วยใบไม้ใหญ่ ชายชราผมขาว หนวดเครายาว สวมหมวกงอบปิดบังใบหน้า หยุดมือจากการเก็บสมุนไพร พร้อมจ้องมองไปที่ลำแสงสีเขียวบนชั้นฟ้า มุมปากยกยิ้มขึ้นสูง “คนที่ควรมา ในที่สุดก็มาถึงแล้ว”
ทางตอนกลาง พระราชวังเหนือพื้นน้ำนับพันจั้ง เป็นที่ตั้งของสมาคมการค้าที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ราบภาคกลาง “ฮ่าฮ่า เจ้ามาแล้วสินะเฒ่าพิษ”
ชายวัยกลางคนปรากฎรูปลักษณ์ที่ซับซ้อนบนใบหน้า หัวเราะอย่างเริงร่าบนที่พำนักสูงใหญ่ “ไปนำสุรามา ข้าจะดื่มฉลองให้กับเพื่อนเก่าเสียหน่อย” หญิงรับใช้ข้างกายรีบโค้งตัวทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
ทางทิศตะวันออกของพื้นที่ราบภาคกลาง ณ อารามศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนเทวะ นักพรตชราสองคน กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านในอาราม ทั้งคู่มองไปที่ลมปราณสีเขียวบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ศิษย์พี่ ลำแสงนั้นมาจากป่านรกดำ”
“อืม คงเป็น เกาฉางกงจากแดนภูต คราวนี้เส้นทางอยู่รอดก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเส้นทางแล้ว”
ใจกลางดินแดนทางทิศตะวันออก ภายในราชวังหลวง ชายชราใบหน้าซีดขาวดูอ่อนแรง แต่กลับมีรูปลักษณ์ยิ่งใหญ่ประดุจเทพเซียนเสมือนบุคคลที่ผ่านโลกมายาวเกินกว่าจะหยั่งถึงลุกขึ้นจากเตียงทอดสายตามองไปยังดินแดนทางตอนเหนือ “ดาวจักรพรรดิดวงที่12ได้ปรากฏขึ้นบนฟ้า มีเกิดย่อมมีดับ เวลาของข้าคงใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว”