ตอนที่ 123+124 ตั้งชื่อ ‘สามี’ ในรายชื่อผู้ติดต่อในมือถือของเธอ
จู่ ๆ ก็รู้ว่าเขาพูดถึงเธอในด้านลบมากแค่ไหน โจวเหวยฉีสังเกตปฏิกิริยาของเจียงเหยาอย่างระมัดระวังและกล่าวเสริมด้วยความเขินอายเล็กน้อย “เจียงเหยา พี่ลู่ของฉันน่ะเป็นคนดีมากนะ ทำไมเธอไม่ดีกับเขาให้มากขึ้นอีกนิดเล่า เธอรู้ไหมว่าเธอไม่ดูแลเขาให้ดี เขาถึงได้เดินรอบกองทัพด้วยใบหน้าบึ้งตึง ยังกับยมทูตแหนะ!” เมื่อเจียงเยหาเหลือบมองเขา เขารีบชี้แจ้งว่า “ฉันไม่ได้เป็นคนเริ่มตั้งชื่อนี้ให้เขาหรอกนะ เป็นเพื่อน ๆ ในกองทัพของเขาต่างหากล่ะที่เรียกเขาแบบนั้น!”
“หึ เธอไม่ชอบเวลาที่มีคนพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับเขา เอ๊ะ! สองคนเหมือนกันเลย ปกป้องกันและกัน!” โจวเหวยฉีพ่นลมหายใจออกมา “ทำไมกันนะ เธอถึงไม่ดูแลเขาให้ดีกว่านี้”
เจียงเหยาไม่รู้ว่าลู่ชิงสีใช้เวลาปีที่ผ่านมาอย่างไร เห็นได้ชัดว่าเธอหลีกเลี่ยงเขา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เขาเองก็น่าจะรู้ แต่ทำไมลู่ชิงสีถึงได้รักเธอมากขนาดนี้อยู่ได้? เขาปกป้องเธอมากจนไม่ยอมให้เพื่อสนิทของเขาว่าร้ายเธอ
หลังจากที่ฟังความจริงที่โจวเหวยฉีบอกกับเธอในวันนี้ หัวใจของเธอเจ็บปวดเมื่อนึกถึงเขา
“เจียงเหยา ฉันหวังว่า ต่อแต่นี้ไปเธอจะปฏิบัติกับชิงสีให้ดีขึ้นนะ”
โจวเหวยฉีกล่าวอย่างขลาดกลัวและถอยหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อพบว่าไม่มีความไม่พอใจปรากฎบนใบหน้าของเจียงเหยา ดูเหมือนหญิงสาวเองก็ชอบลู่ชิงสีไม่น้อยเหมือนกัน พี่ลู่ชองเขาเป็นสุภาพบุรุษที่ดี มีแต่คนปัญญาอ่อนเท่านั้นล่ะที่จะไม่ตกหลุมรักเขา สำหรับผู้หญิงฉลาดอย่างเจียงเหยา เธอควรรักลู่ชิงสีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เมื่อพวกเขากำลังจะออกจากร้านอาหาร โจวเหวยฉี พ่อคนรวย ในตอนแรกอยากจะทิ้งไวน์ที่เหลือไว้ที่ร้านและจ่ายเงินค่าอาหารเอง แต่หลังจากฟังการวิเคราะห์ของเจียงเหยา เขาจึงตัดสินใจทำตามความต้องการของผู้จัดการ โดยการนำไวน์กลับไปด้วย พร้อมทั้งให้ผู้จัดการเลี้ยงอาหารกลางวันมื้อนี้
เจียงเหยาบอกว่าเธอไม่ต้องการไวน์เพราะเธอไม่ดื่ม โจ่วเหวยฉียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และเก็บไวน์ไว้เอง “ฉันจะเอามันกลับไป มอบให้พี่ลู่ แล้วบอกเขาว่า นี่มาจากภรรยาสุดที่รักของเขา!” เขาหัวเราะ “เขาคงเก็บมันไว้เป็นสมบัติล้ำค่าเลยล่ะ เมื่อรู้ว่าเธอเป็นคนให้เขา ฉันมั่นใจ!”
เจียงเหยายิ้มอย่างยอมจำนน ปล่อยให้โจวเหวยฉีล้อเลียนเธอกับลู่ชิงสี โดยการนิ่งเงียบ
หลังจากเกิดเรื่องขึ้นที่ร้านอาหาร โจวเหวยฉีฮัมเพลงและร้องเพลงอย่างสนุกสนานระหว่างขับรถมาที่มหาวิทยาลัย เขาไม่ได้อารมณ์เสียแม้แต่น้อย เมื่อถึง รปภ.ขัดขวางไม่ให้เขาเข้าไปในมหาวิทยาลัย เขาเพียงแต่ถามว่าเธอต้องการให้เขาเข้าไปส่งเธอที่หอพักไหม
เจียงเหยารู้ว่าเขามาที่นี่เพื่อทำงาน จึงปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างสุภาพ เธอคว้าโทรศัพท์แล้วกล่าวขอบคุณพร้อมกับกล่าวอำลาเขา ก่อนจะเดินกลับไปที่หอพัก
ตอนนี้ไม่มีคนอยู่ในห้องพัก เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาหายไปไหนกันหมด
ทันทีที่เธอเข้ามาในห้องพัก เธอรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาดู เธอยิ้มอย่างยินดี เพราะโทรศัพท์เครื่องนี้เป็นรุ่นเดียวกับของลู่ชิงสี ต่างกันเพียงสีเท่านั้น ของเขาเป็นสีดำ ส่วนของเธอเป็นสีขาว
โทรศัพท์เครื่องเล็กแต่ยังมีน้ำหนักมาก แม้ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดในตลาดตอนนี้ แต่เจียงเหยาก็ค่อนข้างถูกใจกับของเก่าแบบนี้ แม้ว่าในชาติที่แล้ว เธอจะเคยใช้โทรศัพท์มือถือที่ทันสมัยกว่านี้ก็ตาม ทว่ามันก็ไม่ได้ดับความสุขและความอบอุ่นในใจของเธอเลย
หลังจากที่เธอเปิดโทรศัพท์และคลิกที่รายชื่อติดต่อ หมายเลขแรกที่ปรากฎขึ้นคือหมายเลขของลู่ชิงสี ที่มีชื่อติดว่า ‘สามี’ เห็นได้ชัดว่าโจวเหวยฉีทำตัวซุกซนแค่ไหน เธอไม่ตั้งคำถามใด ๆ และไม่ได้คิดที่จะเปลี่ยนชื่อนั่น
เจียงเหยารู้สึกหงุดหงิดและประหม่ารีบกดหมายเลขและวางโทรศัพท์ไว้ข้างหูของเธอ พร้อมกับเสียงพึมพำ “รับสิ~ รีบรับสิ ~”
__
หลังจากเสียงกริ่งดังไม่กี่ครั้ง ปลายสายก็รับสาย เสียบแหบแห้งก้องอยู่ในหูของเธอ แม้ว่าเสียงจะผิดเพี้ยนไปเล็กน้อยทางโทรศัพท์ ทว่าเจียงเหยาก็จำเสียงของเขาได้ทันที
“ฉันเอง! ฉันได้รับโทรศัพท์แล้วนะ!” เจียงเหยาพูดด้วยเสียงมีความสุข “ต่อไป ฉันก็ไม่ต้องไปใช้โทรศัพท์ที่ร้านค้าอีกแล้ว”
“ผมรู้”
โจวเหวยฉีโทรบอกเขาเมื่อห้านาทีที่แล้ว และเขาเองก็จำหมายเลขโทรศัพท์นั่นได้ทันที ที่เธอโทรเข้ามา ตัวเลขสี่หลักสุดท้ายของหมายเลขโทรศัพท์ของเธอเหมือนกับของเขา การที่เธอโทรมามันทำให้เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุข ยิ่งเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่มีความสุขของเจียงเหยา
“ที่มหาวิทยาลัยเป็นยังไงบ้าง? ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?”
วันนี้เป็นวันแรกของเจียงเหยาในการเรียนที่มหาวิทยาลัย ลู่ชิงสีเป็นกังวลตลอดทั้งคืน เธอไม่เคยเดินทางไกลมาก่อน ดังนั้นเขาจึงมีเรื่องกังวลมากมายเกี่ยวกับเธอ เมื่อเขาต้องทิ้งเธอให้อยู่ตามลำพังในที่ที่ไม่คุ้นเคย เขากลัวว่าเธออาจจะเข้ากับเพื่อนร่วมห้อง เพื่อนร่วมชั้นได้ไม่ดีนัก หรือเธอจะไม่ชินกับอาหารของทางมหาวิทยาลัย ที่สำคัญที่สุด เขากังวลว่าจะชายหนุ่มวัยเดียวกันมาตามจีบภรรยาคนสวยและใจดีของเขา!
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ เพื่อร่วมห้องของฉันก็ดีด้วยเหมือนกัน” เจียงเหยาตอบขณะที่คิดในใจ ‘อย่างน้อย ฉันก็เข้ากับพวกเขาได้ดีกว่าในชีวิตก่อนหน้าล่ะนะ’
จากนั้นเธอก็นึกถึงเรื่องงานแต่งงานที่โจวเหวยฉีพูดถึง เธอไม่แน่ใจว่าทำไมลู่ชิงสีถึงไม่บอกเธอก่อนหน้านี้ เป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้เธอไป หรือเขาลืม หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอถามด้วยความสงสัย
“โจวเหวยฉีบอกว่าคุณจะไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนในวันชาติใช่ไหม” จากนั้นเธอก็พูดเสริมขึ้นอย่างรวดเร็ว เผื่อว่าลู่ชิงสีจะคิดว่าเธออยากไปด้วย “เขาบอกฉันว่างานแต่งงานจัดขึ้นในวันที่ 1 ฉันควรจองตั๋วในวันที่ 2 หรือเปล่า? ฉันจะไปหาคุณวันที่ 2 ก็แล้วกัน”
การแสดงออกของลู่ชิงสีแข็งทื่อ ใบหน้ามืดมน เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเจียงเหยา เขายืนอยู่ในสนามฝึก สายตามองเหม่อไปที่แสดงแดดจ้าและเตะหญ้าที่อยู่ใต้เท้าของเขาอย่างรำคาญใจ แล้วพูดว่า “คุณไม่อยากไปงานแต่งงานของเพื่อนผมเหรอ? ทำไมล่ะ?”
เขาตื่นเต้นมากจนต้องอยากจะรู้ว่าโจวเหวยฉี ได้พล่ามอะไรกับเจียงเหยาไปบ้าง?
ลู่ชิงสีเก็บความลับเรื่องงานแต่งงานไว้ เพราะเขากังวลว่าเธอจะไม่อยากคลุกคลีกับกลุ่มเพื่อน ๆ ของเขา ดังนั้นเมื่อเธอมาถึงกองทัพตามที่เขาวางแผนไว้ ถึงเธอจะไม่สนใจ ยังไงเธอก็จะต้องตามเขาไปด้วยอย่างแน่นอน
เจียงเหยารู้แล้วว่าลู่ชิงสีกำลังเข้าใจเธอผิดทันที่ที่เธอได้ยินคำพูดของเขา คำเสียงนั้นกระวนกระวายเล็กน้อย เขาไม่ได้ลืมบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ – แต่เขาไม่ได้บอกเธอเพราะเขากลัวว่าเธอจะปฏิเสธ ทั้งคู่ต่างคาดเดาความคิดของกันและกัน แล้วตีความผิดไป
ดังนั้นเจียงเหยาจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ และพูดว่า “ถ้าคุณอยากให้ฉันไป ฉันก็จะไป! ฉันแค่คิดว่าที่คุณไม่ไดบอกฉัน เพราะคุณคิดว่า ฉันจะทำให้คุณขายหน้าเสียอีก”
“ฮะ!” ลู่ชิงสีเปล่งเสียงหัวเราะซึ่งยากมากที่เขาจะหัวเราะ เขามองขึ้นไปที่ดวงอาทิตย์ที่กำลังแผดเผาอีกครั้ง แต่คราวนี้รู้สึกสบายและโล่งใจอย่างมาก “ผมจะพาคุณไปด้วย”
เขากระตือรือร้นและแทบจะรอไม่ไหวที่จะแสดงให้ทุกคนบนโลกนี้รู้ว่าเจียงเหยาคือภรรยาของเขา!
“แล้วชุดของฉัน ที่จะใส่ไปงานแต่งล่ะคะ” เจียงเหยาถาม “เพื่อนของคุณรวยและมีหน้ามีตาด้วยนี่ ฉันพนันได้เลยว่างานแต่งงานต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน ฉันควรใส่ชุดเดรสหรือชุดอะไรไปดี?”
“ไม่ต้องห่วง คุณแค่มาที่นี่ก็พอ” ลู่ชิงสีหยุด และพูดต่อ “เอาจริง ๆ แล้ว พวกเขาไม่ใช่เพื่อนของผม พูดให้ถูก เจ้าบ่าวคือพี่ใหญ่ของผม”