ตอนที่ 1 โลหิตนักรบ
ในนิทานปรัมปรามีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า โลกเราแต่เดิมที่เป็นดังเช่นฟองไข่ ภายในนั้นมียักษ์อาศัยอยู่ตนหนึ่ง ซึ่งมีร่างกายยาวถึง100,000ลี้
วันหนึ่งเมื่อยักษ์ตนนั้นตื่นขึ้นมา ด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาลของมันเปลือกไข่จึงแยกออกแบ่งเป็นสองส่วน ด้านบนของไข่ กลายเป็นสวรรค์ ส่วนด้านล่างกลับกลายเป็นโลกมนุษย์ จึงทำให้สวรรค์และโลกไม่อาจอยู่รวมกันได้อีกต่อไป
………..
จ้านกว๋อ ปีที่ 225
ล่วงเวลากลางวันพ้น ดวงตะวันกำลังลับขอบฟ้า ความร้อนจากไอแดดใกล้หมดไป ไอความเย็นเริ่มก่อตัวเข้าปกคลุมบรรยากาศรอบๆ
ใต้ท้องฟ้าที่ประดับประดาไปด้วยมวลดารา ในค่ำคืนนั้นเอง นักรบเกราะดำนับร้อย ควบขี่อาชาตัวใหญ่สวมใส่ด้วยชุดเกราะหนา มีร่องรอยผุพังจากการต่อสู้
ทหารทุกนายสวมชุดเกราะสีดำประดับประดาไปด้วยคมเขี้ยวของสัตว์ร้าย ลวดลายบนชุดเกราะตกแต่งคล้ายใบหน้าของอสูร เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดของศัตรู ดูน่าเกรงขามยิ่งนักแต่ทว่าบนใบหน้าของทหารเหล่านั้นกับปรากฎร่องรอยของความอิดโรยเหนื่อยล้าและอ่อนแรง ทหารเกราะดำเหล่านี้เป็นกองกำลังไร้พ่ายของอาณาจักรฉิน พวกมันถูกเรียกขานเป็นกองทัพ ‘อสูรทมิฬ’ ทั้งหมดเป็นทหารภายใต้อาณัติของแม่ทัพสวรรค์ ซือหม่า หนิงเทียน
“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ” นักรบเกราะดำสองคนรีบกระโดดลงจากหลังม้าด้วยอาการร้อนรน หนึ่งในนั้นส่งเสียงรายงานด้วยความตื่นตระหนกและด้วยความเร่งรีบ ลิ้นของพวกเขาผูกกันเป็นพัลวันจนอยากที่จะจับใจความได้ แต่ด้วยอำนาจของชายผู้อยู่เบื้องหน้าทำให้ทหารผู้นี้สามารถคุมสติได้ในที่สุด
“เรียนแม่ทัพซือหม่า กองทัพเสือดำ และ กองทัพมังกรขาวของเรา ล้วนถูกกองทัพสุ่ยซุ่มโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว บัดนี้ได้แตกพ่ายและไม่มีผู้ใดรอดชีวิตแม้เพียงคนเดียวเลยขอรับ”
“เป็นไปไม่ได้!!! กองทัพสุ่ยจะล่วงรู้แผนการเดินทัพของเราได้เช่นไร” น้ำเสียงและความโกรธของ ซือหม่าหนิงเทียน ทะยานถึงขีดสุด เล็บมือทั้งห้า จิกลึกลงไปในฝ่ามือ สายโลหิตไหลหยดเป็นทาง
“เรียนท่านแม่ทัพ ข้าเกรงว่าเราจะกลายเป็นหมากตัวหนึ่งที่ถูกใช้แล้วทิ้ง” กุนซือเฒ่ากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา เห็นได้ชัดว่ากำลังใจของพวกมันถดถอยไปหลายส่วน
"ท่านกุนซือ ท่านจะหมายความว่า...." น้ำเสียงของ ซือหม่า หนิงเทียนเต็มไปด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่กุนซือของเขากำลังรายงาน
“ข้าเกรงว่า จักรพรรดิฉินต้องการที่จะกำจัดพวกเราให้หมดสิ้น ดั่งคำกล่าวโบราณว่า เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ท่านแม่ทัพลอง พินิจดูเรานั้นยกทัพมาด้วยกำลังพล 100,000นาย ท่านแบ่งกองพยัคฆ์ขาวในการลำเลียงเสบียง 20,000นาย ใช้กองทัพเสือดำเป็นทัพหน้าและมังกรขาวเป็นทัพหลังอย่างละ10,000นาย แต่แล้วเหตุใดศัตรูจึงสามารถล่วงรู้เส้นทางเดินทัพและเส้นทางลำเลียงเสบียงของเราได้ พวกมันใช้กำลังคนที่เหนือกว่าเรานับสิบเท่า เข้าจู่โจมในแต่ละกองทัพได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ทั้งนี้มันยังเป็นการวางกำลังดักโจมตีพวกเราล่วงหน้าอีกด้วย เสมือนว่า ทุกย่างก้าวของเรากำลังเดินอยู่บนฝ่ามือของพวกมัน”
กุนซือเฒ่ายังได้กล่าวต่อ “แผนการยกทัพทั้งหมดเป็นขององค์จักรพรรดิที่คิดขึ้น เขาสั่งให้ท่านไปบุกเมืองสุ่ย ครั้นวางแผนการรบ มีเพียงท่านแม่ทัพและองค์จักรพรรดิเท่านั้นที่ล่วงรู้ถึงแผนการเดินทั้งหมด”
“แต่ว่าฝ่าบาท ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้” ซือหม่าหนิงเทียนพยายามหาข้อแก้ตัวแทนองค์จักรพรรดิ แต่ถึงกระนั้นตัวมันนั้นแหละที่รู้ดีที่สุด ว่าสิ่งที่กุนซือเฒ่า ได้กล่าวมา มีมูลความจริงมากเพียงใด แต่ทว่าจิตใต้สำนึกลึกๆของหนิงเทียน พยายามที่จะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เนื่องด้วยตัวมันเองและองค์จักรพรรดิ รักใคร่กลมเกลียวกันดุจพี่น้องที่คลานตามกันมาก็ไม่ปาน อีกทั้งแผ่นดินกว้างใหญ่ไพรศาลที่จักรพรรดิฉินครอบครอง 8ใน10ส่วน เป็นตัวมันที่สละเลือดแย่งชิงมา จนสามารถสร้างก่อตั้งเป็นราชวงศ์ได้
“ตัวตนของท่านแม่ทัพ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวเกินไปองค์จักรพรรดิเกรงว่า ในอนาคตท่านจะไปสั่นคลอนบัลลังก์มังกรของเขา จึงกำหนดเส้นทางเดินให้ นั้นคือ ทางตาย” กุนซือคู่ใจของหนิงเทียน กล่าวออกด้วยน้ำเสียงตัดพ้อปนด้วยความโศกเศร้าและความเจ็บปวดในใจ
กรอด!!!..... หนิงเทียน กัดฟันแน่น ภายในใจเต็มไปด้วย ความเศร้า ความโกรธความแค้นและความสับสนเป็นอย่างมาก เขาเหม่อมองไปบนท้องฟ้าสีดำ คล้ายกำลังพูดคุยกับสวรรค์เบื้องบน
“ข้า ซือหม่าหนิงเทียน เกิดบนแผ่นดินฉิน ตายก็เพื่อราชวงศ์ฉิน ออกรบครั้งใดไม่เคยนึกเสียดายชีวิต หากฝ่าบาทต้องการชีวิตของข้า เพียงแค่ท่านรับสั่งมา ใยต้องใช้วิธีสังหารพี่น้องร่วมรบนับแสน ให้ตกตายไปพร้อมกับข้าด้วยเล่า???” หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจอาดูรอย่างที่สุด
ทหารเกราะดำที่ยืนอยู่เบื้องหลังหนิงเทียน เค้นเสียงลอดไรฟันออกมา “คำโบราณกล่าวไว้ ถอนรากให้ถึงโคน ฮ่องเต้คงจะเกรงกลัว ว่าคลื่นใต้น้ำอาจปะทุขึ้นมา จึงจัดการพวกเราทั้งกองทัพ”
“ท่านแม่ทัพหยุดความโศกเศร้าเพียงเท่านี้เถิด แม้พวกเราจะเหลือพี่น้องเพียงร้อยกว่าชีวิต แต่หากการคาดเดาของข้าถูกต้อง เราน่าจะมีเวลาอีกราวๆหนึ่งชั่วยามก่อนที่ทัพของ ‘จางเฟย’ และ ‘ป๋อเหยียน’ จะมาถึง นายท่านโปรดนำกำลังหลบหนีไปทางทิศตะวันตกด้วยขอรับ” กุนซืออีกผู้หนึ่งกล่าวเตือนนายเหนือหัวของมันด้วยแววตาและน้ำเสียงมุ่งมั่น จากนั้นมันได้คุกสองเข่าลงกับพื้นดิน
“ท่านแม่ทัพโปรดถอดชุดเกราะออกมา ข้าจะล่อ จางเฟย กับ ป๋อเหยียน ไปทางทิศตะวันออกเอง”
ได้ยินเช่นนั้นทหารในชุดเกราะดำทั้งหมด พลันคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง“ท่านแม่ทัพโปรดพิจารณาด้วย”
“พวกเจ้า...!!!” ซือหม่าหนิงเทียนกวาดสายตามองไปยังความจงรักภักดีของพี่น้องร่วมศึกด้วยแววตาตื้นตัน ประกายแห่งชีวิตและความหวังได้หวนกลับมาอีกครั้ง
บัดนี้ความโศกเศร้าอาดูรจากการถูกทอดทิ้งเลือนหายไปใน สองมือของมันกำแน่น“ท่านกุนซือ ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ในเมื่อการหลบหนีนั้น มีโอกาสรอดเพียงเล็กน้อย แล้วเหตุใดพวกเราถึงไม่อยู่ฆ่าพวกมันเสียที่นี่ตอนนี้เลยละ ฆ่าได้หนึ่งคนก็เสมอตัว แต่หากฆ่าได้สองคนนับว่าเป็นกำไรอย่างยิ่งแล้ว”
ความสับสนของ ซือหม่าหนิงเทียนจางหายไป น้ำเสียงที่กล่าวออกมาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า จิตสังหารของเขาพุ่งทะยานถึงขีดสุด จากนั้นหนิงเทียนได้ป่าวประกาศด้วยน้ำเสียงหนักแน่นดุจขุนเขาสูง
“พี่น้องทั้งหลาย ตัวข้า ซือหม่าหนิงเทียน ถูกผู้คนเรียกขานเป็น ‘แม่ทัพสวรรค์’ แต่แท้ที่จริงแล้ว ตัวข้านั้นไม่เหมาะสมกับชื่อเสียงที่คนอื่นเยินยอเลยแม้แต่น้อย ข้าเป็นเพียงแม่ทัพพ่ายศึกและยังทำให้พวกท่านทั้งหลายต้องมาสละชีวิต ข้ามิอาจบรรยายได้ถึงความรู้สึกผิดครั้งนี้ หากแต่ความตายของพวกเราจะต้องไม่สูญเปล่า เมื่อพวกท่านไม่หนี ข้าเองก็จะสู้...สู้จนเลือดหยาดสุดท้ายไหลรินหมดจากร่างกาย” กล่าวจบหนิงเทียน หยิบดาบคู่ใจขึ้นมาและกีดไปที่ฝ่ามือให้โลหิตสีแดงฉานไหลลงรดผืนปฐพี
เมื่อเห็นถึงการกระทำของผู้เป็นนาย เสียงของเหล่าทหารเต็มไปด้วยความตระหนกตกใจ “ท่านแม่ทัพ!! ท่านแม่ทัพ!! ท่านแม่ทัพ!!”
หนิงเทียนยังคงกล่าวต่อไป “แต่ในครั้งนี้ มันคงจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่พวกเราจะยืนหยัดอยู่บนพื้นสนามรบเดียวกัน ข้าขอสาบานด้วยโลหิตนี้ว่า พวกท่านทุกคนคือพี่น้องที่ดีของข้า ตลอดไป...” สิ้นเสียงกล่าว แม่ทัพหนุ่มคว่ำฝ่ามือลงพื้น เลือดสีแดงสดไหลอาบแผ่นดิน
เพียงแค่ชั่วอึดใจ ทหารเกราะดำทั้งหมดได้ใช้อาวุธกรีดไปที่ฝ่ามือของตัวเอง เลือดสีแดงสดนับร้อยไหลลงย้อมผืนแผ่นดิน ชโลมให้ทุกหนแห่งกลายเป็นสีแดงไม่เว้นแม้แต่ดวงจันทร์ที่สะท้อนลงมาจากฟ้า
“ฆ่าได้หนึ่งเสมอตัว แต่หากฆ่าได้สองนับว่าเป็นกำไร”
“ฆ่าได้หนึ่งเสมอตัว แต่หากฆ่าได้สองนับว่าเป็นกำไร”
“ฆ่าได้หนึ่งเสมอตัว แต่หากฆ่าได้สองนับว่าเป็นกำไร”
ทหารเกราะดำทั้งหมดตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน จิตสังหารของทหารนับร้อยนั้น แม้แต่อาชาที่กำลังอ่อนแรงพลันยืนตรงสง่านิ่ง ไม่ไหวติ่ง พวกเขาทั้งหมดเป็นนักรบกล้าหาญและบัดนี้กองทัพอสูรทมิฬ ได้ตัดสินใจที่จะสู้จนตัวตายในศึกสุดท้ายแล้ว
กุนซือเฒ่าหยุดการเกลี้ยกล่อม ตัวมันรู้ดีว่านายเหนือหัวของมันมีนิสัยเป็นอย่างไร น้ำเสียงชราพลันเปล่งวาจาออกไปเหมือนกับคนอื่นๆ “ฆ่าได้หนึ่งเสมอตัว แต่หากฆ่าได้สองนับว่าเป็นกำไร”
ตึก ตึก ตึก ตึกๆ ทหารเกราะดำนายหนึ่งนาย วิ่งเข้ามาด้วยท่าทีเร่งรีบและได้รายงานสถานการณ์ออกไป “เรียนท่านแม่ทัพ ทางด้านทิศเหนือ แม่จางเฟยแห่งหวู่นำกำลังทัพมา 80,000 คน และทางด้านทิศใต้เป็น แม่ทัพป๋อเหยียนแห่งสุ่ย คุมกำลังพล 70,000นาย ทั้งสองกองทัพมีจุดหมายเดียวกัน คือมุ่งเน้นทำลายพวกเราและตอนนี้ทั้งสองกองทัพได้ปิดล้อมทุกเส้นทางถอยของเราไว้หมดแล้วขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนหาได้มีท่าทีตื่นกลัวแม้เพียงน้อยนิด จิตใจของแม่ทัพหนุ่มเยือกเย็นประดุจน้ำแข็งกลางเปลวเพลิง “ท่านกุนซือ สั่งการออกไป พวกเราจะขึ้นไปบนเขาเกาฟิง ให้ท่านแบ่งกำลังทหารของเราออกมา ยี่สิบนาย ระหว่างทางเดินขึ้นไปยอดเขาพบเจอต้นไม้ใหญ่ที่ใดให้โค่นลงทันที และใช้ซากไม้เพื่อชะลอความเร็วของทัพศัตรู ส่วนคนอื่นๆเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าขึ้นไปบนเขาเกาเฟิงให้เร็วที่สุด’
“น้อมรับคำสั่ง ท่านแม่ทัพ”
…
…
ณ ยอดเขาเกาฟิง
“ท่านแม่ทัพข้างหน้าของเราคือ หน้าผาบรรจบเมฆ ตำแหน่งนี้เป็นจุดสูงสุดของขุนเขาที่สามารถบรรจบกับหมู่เมฆาบนฟ้าได้ นับว่าเป็นจุดที่สูงที่สุดไม่สามารถไปต่อได้อีกแล้วขอรับ”
“ท่านกุนซือ สั่งการให้ทหารตั้งค่ายกลรูปทัพรูปเกล็ดปลา พลโล่เป็นทัพหน้าคอยป้องกันเกาทัณฑ์ของข้าศึก เมื่อพวกมันหมดความอดทนและใช้ทัพม้าเข้าโจมตี พลโล่ พวกเราจะปกป้องพลโล่ด้วยชีวิตของเราทุกคนและนั้นจะกลายเป็นสนามรบที่ยิ่งใหญ่และอวยเกียรติให้แก่กองทัพอสูรทมิฬไปจนชั่วลูกชั่วหลาน”
ซือหม่าหนิงเทียนเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าในสนามรบที่เสียเปรียบด้วยกำลังคน ศัสตราวุธที่น่าหวาดกลัวที่สุด ไม่ใช่ดาบ หอก หรือง้าว แต่เป็นเกาทัณฑ์ที่จะพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทางประดุจห่าฝน....
ยามราตรีที่เงียบสงบ ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าอย่างโดดเดียว หมู่ดาราที่เคยรายล้อมเลือนลับหายไปในหมู่เมฆสีดำ เหมือนเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงลางร้าย ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่า นับจากเวลานี้อีกไม่กี่ ชั่วยามข้างหน้า พื้นแผ่นดินจะกลายเป็นทะเลโลหิต ดวงจันทร์ที่สาดส่องลงมากระทบจะแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือด
ท่ามกลางหมู่เมฆสีดำ ร่างของเหล่าทหารในชุดเกราะสีขาวเดินตามติดกันเป็นขบวน คล้ายกับมังกรยักษ์ที่คืบคลานไปข้างหน้าอย่างช้าๆ แต่ละกองทัพเคลื่อนมาหยุดอยู่ บริเวณหน้าผาบรรจบเมฆ
“ข้าไม่คิดเลย แม่ทัพสวรรค์ผู้เกรียงไกร ก็มีวันนี้กับเขาด้วยเช่นกัน” เสียงนั้นดังมาจากนักรบในชุดเกราะสีทอง มือขวาถือง้าวลวดลายมังกรขดสองตัวสลับไขว้กันและมือซ้ายถือโล่ทองคำเปล่งประกายสะท้อนแสงแม้อยู่ในยามค่ำคืนอันมืดมิด
“ป๋อเหยียน ถ้าเจ้าแน่จริงก็ก้าวออกมา ดวลกับข้าตัวต่อตัว อย่าได้ทำตัวเป็นลูกเต่าที่เอาแต่หลบอยู่แต่ในกระดองเลย” ซือหม่าหนิงเทียนตะโกนก้องประดุจเสียงคำรามของราชสีห์
“จิ๊จิ๊ ท่านแม่ทัพสวรรค์ผู้องอาจ เหตุใดถึงต้องเรียกร้องหาความตายให้เร็วนัก?” มันย้ำถึงคำว่าแม่ทัพสวรรค์ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเย้ยหยันดูแคลน
หนิงเทียนเค้นเสียงในลำคอ “หึ!! สุนัขเช่นเจ้า จะเอาปัญญาที่ไหนมาฆ่าข้าได้?”
“แม่ทัพซือ จะตายแล้วเหตุใดยังปากกล้าอยู่อีกเล่า?? หรือท่านคิดว่าคำพูดเหล่านี้จะทำให้ท่านสามารถเห็นแสงตะวันของวันใหม่ได้??” ป๋อเหยียนกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโสและมั่นใจในผลลัพธ์ของการศึก
กุก..กุ๊กกุก กุ๊ก..กุ๊กกุก!!! เสียงฝีเท้าของอาชาจำนวนมาก ตรงมาที่หน้าผาบรรจบเมฆ ทหารในชุดเกราะสีแดงฉานนับหมื่นเคลื่อนตัวราวกับพายุเพลิงที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า
บัดนี้พวกมันทั้งหมดมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของทั้งสองทัพ นักรบชราควบม้าออกมาจากกลุ่มทหารเกราะแดงและหยุดอยู่ด้านหน้าสุด มันผู้นี้สวมเสื้อนักรบยาวคลุมตัว แต่สิ่งที่ทำให้มันดูโดดเด่นกว่าทหารเกราะแดงคนอื่นๆ คือเครื่องรัดเกล้าทองคำที่สวมอยู่บนศีรษะ ในมือถือทวนกรีดฟ้าเปล่งประกายงดงาม จากนั้นนักรบชราสลับสายตามองสองกองทัพและหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮาฮ่าๆ พี่ป๋อ เหจุใดถึงกล่าวกับท่านขุนพลสวรรค์แบบนั้นละ??”
“พี่จางท่านมาช้าไปหน่อยน่ะ” ป๋อเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กๆ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายหมายจะเก็บตกผลงานของมันไปครอง
“พี่ป๋ออย่าพึ่งมีโทสะไป พอดีระหว่างทางขึ้นเขาเกาเฟิง ข้าพบเจอขยะสองตัว ก็เลยยอมเสียเวลาเล็กน้อย เพื่อมาเป็นของขวัญแก่ท่านแม่ทัพสวรรค์” กล่าวจบจางเฟย ให้ทหารของมันโยนศีรษะของชายฉกรรจ์สองคนลงไปกับพื้น
ตุ้บบ..... ศีรษะของทั้งสอง กลิ้งไปด้านหน้า ปรากฏในสายตาของ ซือหม่าหนิงเทียน
“นายกองเล่า นายกองพัน” เหล่าทหารเกราะดำของหนิงเทียนตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น เนื่องจากศีรษะทั้งสองนั้นเป็นของหัวหน้า กองทัพเสือดำและกองทัพมังกรขาว
“พันเจี่ย เล่าเว่ย พวกเจ้าทั้งสองไปพักก่อน อีกไม่นานข้าก็จะตามพวกเจ้าไปดื่มสุราที่ปรโลกพร้อมกัน แต่ก่อนที่ข้าจะไป ขอให้สัญญาว่า จะลากเจ้าเดรัจฉานสองตัวนี้ไปกับข้าด้วย” สีหน้าของซือหม่าหนิงเทียนดำมืดลง ดวงตาเต็มไปด้วยเคียดแค้น โทสะพุ่งทะยานถึงขีดสุด
“โมโหอย่างนั้นรึ? ซือหม่าหนิงเทียน ตัวเจ้าที่ทำศึกเหนือใต้ เข่นฆ่าผู้คนไปนับล้านชีวิตย่อมรู้แก่ใจ เมื่อตนเองมีสิทธิ์ฆ่าสังหารลูกน้องผู้อื่นได้ ผู้อื่นก็ย่อมมีสิทธิ์ฆ่าคนของเจ้าได้เช่นกัน” สิ้นวาจาใบหน้าของจางเฟยแปรเปลี่ยนคล้ายกับปีศาจร้าย
“มีเพียงร้อยคน คิดจะสู้กับคนนับแสน? ข้าละเกลียดท่าทางที่ทำเหมือนว่า ตัวเองอยู่เหนือผู้อื่นเต็มทนแล้ว ซือหม่าหนิงเทียน วันนี้คือวันตายของเจ้า...พลธนูยิง!!!” ป๋อเหยียนยกง้าวมังกรคู่ของเขา ชี้ไปที่แม่ทัพของศัตรู เกาทัณฑ์นับหมื่นดอกพุ่งเข้าใส่ทหารเกราะดำดุจห่าฝนที่บดบังท้องฟ้า
เห็นภาพเช่นนั้น หนิงเทียนสั่งการตอบโต้ทันที “โล่เต่าดำ” สิ้นเสียงกล่าว พลทหารถือโล่ใหญ่หลายสิบชีวิต ก้าวออกมาเรียงแถวเป็นวงกลม จากนั้นพวกมันทั้งหมดยกโล่ขนาดใหญ่ขึ้นเหนือศีรษะ ป้องกันลูกเกาทัณฑ์นับหมื่นๆมิให้ถูกตัวพวกพ้องคนอื่นได้
เคล้ง เคล้ง เคล้ง เคล้ง เคล้ง เคล้ง บัดนี้ ทั่วทั้งเขาเกาฟิง เต็มไปด้วยเสียงกระทบกันของลูกเกาทัณฑ์กับโล่เต่าดำ
“เจ้าคิดว่าโล่แค่นี้จะช่วยเจ้าได้หรือไร? ในเมื่อไม่อยากตายสบายๆ ด้วยเกาทัณฑ์ ข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้ โดยการแยกศีรษะกับร่างออกจากกันด้วยง้าวมังกรคู่เล่มนี้เอง” ป๋อเหยียนสั่งให้พลธนูหยุดยิงและใช้ทหารม้าจู่โจม กองทัพม้านับหมื่นชีวิตบุกเข้าใส่ กองทัพร้อยคนของหนิงเทียน ราวกับจะเหยียบย่ำให้แหลกสลายไปกับพื้นธรณี
“เป็นคนใจร้อนไม่เปลี่ยนเลยนะ พี่ป๋อ” สิ้นเสียงจางเฟย ยกทวนกรีดฟ้าขึ้นสูง จากนั้นมันประกาศเกล้าให้ทุกชีวิตในกองทัพได้ยิน “ดวงวิญญาณทหารหวู่นับล้านชีวิตที่ตกตายด้วยคมดาบของแม่ทัพสวรรค์หนิงเทียน จงสดับฟังให้ดี วันนี้ข้าจะส่งตัวบุรุษผู้นี้ไปให้พวกเจ้า เมื่อมันไปถึงปรโลกแล้วพวกเจ้าจงฉีกกระชาก ล้างแค้นให้สาแก่ใจ”
จางเฟยได้ชี้ทวนกรีดฟ้าไปข้างหน้าเป็นสัญญาณการรบ “พลม้าบุก” กองทัพนับหมื่นของมัน รุกไล่เข้าใส่ทหารของหนิงเทียนอย่างบ้าคลั่ง
ซือหม่าหนิงเทียนจงใจตั้งค่ายไว้ที่หน้าผาบรรจบเมฆ เนื่องด้วยชัยภูมิบนหน้าผาสูงและด้านหลังเป็นหุบเหวลึกสุดหยั่ง ทำให้ทัพม้า ของศัตรูแม้จะมีกำลังมากกว่า แต่พวกมันกลับสามารถเข้าโจมตีได้เพียงเบื้องหน้าด้านเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้จำนวนที่ได้เปรียบทำการล้อมกรอบโจมตีจากทุกสารทิศได้
ซือหม่า หนิงเทียน ชัก ‘ดาบหิมะโปรย’ อาวุธคู่ใจออกมา “ฆ่า!! ฆ่ามันให้หมด” สิ้นเสียงสัญญาณ เงาดุร้ายของซือหม่า หนิงเทียนพุ่งตรงเข้าหากองทัพของศัตรู ราวกับสัตว์ร้ายที่หิวกระหายในเลือด
ดาบหิมะโปรย ของแม่ทัพหนุ่มฟาดฟันหนึ่งครั้ง ล้มตายหนึ่งศพ การออกกระบวนท่าของมันราวกับเป็นสัญญาณเรียกหาของยมทูต
เสียงกระทบของศาสตราวุธ เสียงโหยหวนของทหารศึกที่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เสียงกระดูกที่ถูกตัดจากคมศัสตราวุธ ดังกึกก้องอยู่ทั่วพื้นที่
ทหารร้อยคนของ ‘แม่ทัพสวรรค์’ ต่อสู้โดยไม่หวั่นกลัวความตาย เมื่อถูกฟันหนึ่งแผล พวกมันจักต้องฟันคืนสองแผล ไม่มีผู้ใดยอมตายจนกว่าจะได้ฆ่าศัตรูเบื้องหน้าให้ตกตายตามกันไป
...
...
หนึ่งชั่วยามผ่านไปกองทหารเกราะดำของ ซือหม่าหนิงเทียนต่างล้มตายไปคนแล้วคนเล่า บัดนี้ทั่วทั้งสนามรบไม่เหลือนักรบในชุดเกราะสีดำอีกต่อไป ทหารร้อยคนของหนิงเทียนถูกเข่นฆ่าตกตายจนหมดสิ้น
ถึงกระนั้นไพร่พลของจางเฟยและป๋อเหยียน ได้รับความเสียหายหนักยิ่งกว่า มันต้องการกำจัดทหารเพียงร้อยคนแต่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของทหารม้านับหมื่นนายที่ตายตกภายใต้คมดาบของทหารในชุดเกราะดำ
ภาพตรงหน้าทำให้ความหวาดกลัวสลักลึกลงไปในจิตใจของจางเฟย “วันนี้ซือหม่าหนิงเทียนต้องตาย มันต้องตาย ต้องตายเท่านั้น!!! ไม่เช่นนั้นแล้ว อาณาจักรหวู่ของเรา จะต้องล่มสลายด้วยน้ำมือของชายผู้นี้อย่างแน่นอน”
ร่างกายของซือหม่า หนิงเทียนนั้นเปียกชุ่มไปด้วยโลหิตของศัตรูไม่มีใครรู้ว่าดาบของมันสะบั้นไปที่คอข้าศึกมากเพียงใด เรี่ยวแรงในการจับดาบถดถอยถึงจุดต่ำสุด ในตอนนี้มันไม่แน่ใจแล้วว่า ตนเองกำลังกำดาบอยู่ในมือหรือไม่?
แววเสียงของกุนซือคู่ใจดังเข้ามาในหู “ท่านแม่ทัพ ข้าดีใจที่ได้เป็นกุนซือให้กับท่านจนถึงยามสุดท้ายของชีวิต” สิ้นเสียง ง้าวมังกรคู่พุ่งตัดลงมาจากด้านบน ร่างกายของกุนซือเฒ่าขาดออกจากกันเป็นสองส่วน
“ป๋อเหยียน ไอ้สารเลว!!!” ซือหม่าหนิงเทียนตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แม้น้ำเสียงจะไร้ซึ่งพลังแต่แววตาของมันชัดเจนด้วยความโกรธแค้น
ซือหม่าหนิงเทียน ใช้การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและทรงพลัง เข้าจู่โจมใส่ ป๋อเหยียนและจางเฟย ทั้งสองคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก สายตายากจะเชื่อจ้องมองไปที่หนิงเทียน ร่างกายที่โอนเอนใกล้ตายได้ฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง
“ปีศาจชัดๆ!! แต่เอาเถอะ พี่จางวันนี้พวกเราสองคนจะได้เป็นผู้กล้าฆ่าปีศาจ” สิ้นเสียงของป๋อเหยียน เงาร่างทั้งสองพุ่งเข้าจู่โจมหนิงเทียนจากทางซ้ายและขวา
“ไอ้สารเลว รีบๆตายไปซะ!!” กล่าวจบ ทวนกรีดฟ้าในมือของจางเฟยแทงเข้าใส่หน้าอกของซือหม่าหนิงเทียน อย่างเต็มกำลัง
หนิงเทียน รู้สึกเหมือนหัวใจของตนถูกแทงทะลุ เส้นชีวิตใกล้ดับสิ้นด้วยอานุภาพของทวนกรีดฟ้า กลางอกกลายเป็นรูกว้างขนาดเท่ากำปั้น โลหิตไหลออกจากลำคอ เขาพยามฝืนกลืนมันลงไป และใช้มือซ้ายจับกุมไปที่ทวนกรีดฟ้าที่ยังคงเสียบแน่นอยู่คาอก
“เพลงดาบหิมะโปรย” น้ำเสียงไร้กำลังของแม่ทัพหนุ่มดังขึ้น ดาบในมือของซือหม่าหนิงเทียนฟาดฟันไปที่ลำคอของจางเฟยอย่างเต็มกำลัง ดวงตาของแม่ทัพใหญ่แห่งหวู่ เบิกกว้างมันไม่คาดคิดเลยว่าทวนกรีดฟ้าที่แทงทะลุหัวใจของอีกฝ่ายไปแล้วนั้นกลับไม่สามารถทำให้ซือหม่า หนิงเทียนตกตายได้ในทันที
ศีรษะของจางเฟยหล่นลงสู่พื้นดินโลหิตสาดกระจายเป็นน้ำผุสีแดง สัญญาณชีวิตดับหายไป ร่างกายทรุดลงบนพื้นและไม่ได้ลุกขึ้นมาอีก
เมื่อภาพดังกล่าวเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา หัวใจของป๋อเหยียนสั่นไหวและตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง “ไอ้ปีศาจชั่ว” ง้าวมังกรคู่ในมือของป๋อเหยียนฟันทแยงจากแนวบนลงมาที่ไหล่ขวาของหนิงเทียน แขนขวาของเขาขาดสะบั่น ดาบหิมะโปรยกระเด็นหลุดออกจากมือ
ม่านตาของซือหม่าหนิงเทียน กำลังจะปิดลงและจากโลกไปตลอดกาล “นี้สินะ คือห่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต พี่น้องทั้งหลายข้ากำลังจะไปพบพวกท่านแล้ว”
ชั่วพริบตาที่สำนึกของหนิงเทียนกำลังจะหมดลง มือซ้ายของเขาได้จับไปที่แขนของป๋อเหยียนแน่นราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย จากนั้นเขาใช้กำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ดึงร่างของป๋อเหยียน ให้ลงไปสู่ใต้ก้นบึ้งของเหวลึกด้วยกัน
“ม่ายยยยยยยย” เสียงร้องโหยหวนของป๋อเหยียนดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วหน้าผาบรรจบเมฆ มันไม่คิดเลยว่าห้วงสำนึกสุดท้ายของซือหม่าหนิงเทียน จะสามารถลากมันให้ตกลงไปสู่ก้นบึ้งของหุบเหวด้วยกันได้
ร่างของทั้งสองคนค่อยๆ ร่วงหล่น จมลงสู่ความมืดของหุบเหวที่ดูเหมือนไร้ซึ่งก้นบึ้ง แต่ทันใดนั้น ซือหม่าหนิงเทียนรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเข้ามากระทบกับตัว
ความเจ็บปวดทั้งหมดที่ร่างกายได้รับหายวับไปในพริบตา เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างที่สุด จากนั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นความรู้สึกหนาวเย็นเสียดลึกถึงกระดูก และในเวลาเดียวกันเขาได้รับรู้ถึงอากาศอันสดชื่นอีกครั้ง
“นั้นคือลมหายใจ ข้ายังมีชีวิตอยู่...”