1113-1114
9/10
Ep.1113
สัตว์ร้ายขอบเขตเทพเจ้า ทั้งสองตนถูกซูเฉินฆ่าตายในกระบวนท่าเดียว?
ได้เป็นสักขีพยานของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รอบด้านบังเกิดความเงียบงันไม่มีแม้เสียงหายใจ
เหล่าอสูรร้ายขอบเขตเทพเจ้า ต่างอ้าปากค้างจนกรามแทบหลุด
หวูซางตกใจยิ่งกว่าแต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้ เผยอปากเล็กน้อย สีหน้าท่าทีเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เขาก็พอเดาได้อยู่หรอกว่ากำลังรบของซูเฉินคงเพิ่มขึ้นอย่างมากถึงกล้าเข้ามา แต่ไอ้เรื่องถึงขั้นสังหารขอบเขตเทพเจ้าได้นี่ เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย
“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้?”
ใบหน้าของนักพรตเทียนซ่านซีดเผือด สั่นเทิ้มไปทั่งร่าง
เดิมที เขานึกว่าเมื่อผู้ใดก็ตามที่สามารถยกระดับสู่ขอบเขตเทพเจ้า จักกลายเป็นผู้คงกระพัน แต่ใครจะทันคาดคิดกัน ว่ากำลังรบของซูเฉินมันจะเหนือล้ำกว่าจินตนาการเขา
เพียงกระบวนท่าเดียวสังหารสองขอบเขตเทพเจ้า กำลังรบที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ!
ฉีชิงเฉวียนและเสิ่นหยวนที่อยู่ภายใน [รถศึกอัจฉริยะ] ตะลึงงันไปชั่วขณะ เมื่อได้สติพลันรู้สึกตื่นเต้นจนอธิบายไม่ถูก
ตอนแรก เมื่อซูเฉินเอ่ยปากว่าต้องการไปสังหารผู้แข็งแกร่งใน ขอบเขตเทพเจ้า พวกเขาคิดว่าซูเฉินกำลังคุยโว
แต่หลังจากได้เห็นฉากนี้ ทั้งสองถึงค่อยเข้าใจ ว่าคำพูดของซูเฉินมิได้โอ้อวดใดๆแม้เพียงครึ่งคำ
--เขาทรงพลังพอที่จะทำแบบนี้จริงๆ
...
หลังจากซูเฉินสังหารขอบเขตเทพเจ้าไปสองตน เขาก็หันมามองนักพรตเทียนซ่าน กล่าวหยอกเย้า “คราวนี้ก็ถึงเวลาของแกแล้ว!”
“อย่าฆ่าข้า!” นักพรตเทียนซ่านจิตวิญญาณแทบหลุดลอย ร้องตะโกนไปทางกลุ่มอสูรร้าย “นายท่านอสูรร้าย! ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
เจ้าตัวกระจ่างแจ้งแก่ใจ ว่าซูเฉินไม่มีทางปล่อยเขาไป ดังนั้นหากอยากมีชีวิตรอด วิธีเดียวคืออ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากเหล่าอสูรร้ายเท่านั้น
“มนุษย์! อย่าอาละวาดให้มันเกินไปนัก!”
เหล่าอสูรร้ายตะโกนด่าทอ ปรี่เข้าสังหารซูเฉิน
แม้กำลังรบของซูเฉินจะทำให้พวกเขาตกใจมาก อย่างไรก็ตาม พวกเขามีพรรคพวกอยู่ถึงเกือบสิบคน หากทั้งหมดรวมพลังกัน พวกเขามั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะปิดล้อมสังหารซูเฉินได้
“ไอ้พวกฝูงมดไม่รู้จักที่ตาย!” ซูเฉินยิ้มดูแคลน ซัดหมัดเดียวระเบิดหัวนักพรตเทียนซ่าน
จากนั้นเหลียวมองไปยังฝูงอสูรร้ายขอบเขตเทพเจ้าที่กำลังตรงเข้ามา แล้วโบกมือวผูบ
ในพริบตา สายฟ้าสีม่วงฟาดผ่าลงมาจากเบื้องบน เสี้ยววินาทีเดียวตกลงใจกลางฝูงอสูรร้าย
หนึ่งในอสูรร้ายหลบไม่ทัน ถูกผ่าเปรี้ยง!ตรงๆ ปรากฏควันดำพวยพุ่งจากทั่วร่างกาย อย่างไรก็ตาม สายฟ้าสีม่วงนี้ไม่อาจเอาชีวิตเขาได้ เพียงทำให้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
“ที่แท้ก็แค่สายฟ้าผ่า ลูกเล่นของเจ้าก็แค่แสร้งทำเป็นพระเจ้าจอมปลอมเท่านั้น!”
ฝูงอสูรร้ายร้องตะโกน
“ถ้าคิดได้แค่นี้ พวกแกมันก็แค่ตัวซื่อบื้อดีๆนี่เอง” มุมปากของซูเฉินยกโค้งเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ครืนนนนนนน!
แทบจะในทันทีหลังจากนั้น เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วชั้นอวกาศ
วินาทีถัดมา สายฟ้าหลากสีที่แต่ละเส้นมีหนาเท่าโอ่งมังกรใหญ่ฟาดผ่าลงมาจากเบื้องบน
เริ่มจากสายฟ้าเส้นเดียว เพิ่มเป็นสอง ... สิบ ... ร้อย ... พัน .. และหมื่นสาย!
อวกาศโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้าอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดที่ อสูรร้ายขอบเขตเทพเจ้าทั้งหมดยืนอยู่ ตรงจุดนั้นหนาแน่นเป็นพิเศษ ผ่าติดๆกันจนสว่างจ้า ไม่เหลือพื้นที่ให้มองเห็นได้อีกต่อไป
“เป็นอย่างที่คิด ของดีจริงๆ” มุมปากของซูเฉินค่อยๆยกยิ้ม
สิ่งที่เขาใช้คือ พลังศักดิ์สิทธิ์ [ค่ายกลอเวจีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ห้าธาตุ]
เฝ้ารับชมมันจนถึงตอนนี้ เพียงพอแล้วที่จะสรุปว่าอำนาจของมันสามารถทลายชั้นฟ้า ถล่มปฐพี เขาค่อนข้างพอใจมาก
“ซูเฉินมีกระบวนท่าสังหารเช่นนี้ด้วยหรือ?”
หวูซางกลืนน้ำลายเต็มปาก เหม่อมองซูเฉินด้วยสีหน้าอึ้งงัน
แม้เขาจะมีความรู้และประสบการณ์มากมาย แต่ก็ยังไม่เคยเห็นกระบวนท่าสังหารที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อนเลย
บัดนี้จึงตื่นตระหนกตกใจมาก
ฉีชิงเฉวียนและเสิ่นหยวนยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่ ทั้งสองกลายเป็นโง่งม ทั้งคนทั้งร่างแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ลืมกระทั่งว่าต้องหายใจ
เปรี้ยง! เปรี้ยงง! เปรี้ยงงง!
สายฟ้ายังคงผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง เสียงสายฟ้าฟาดดังกึกก้องไปทั่วอวกาศ ไม่ทราบเหมือนกันว่าผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อสายฟ้าทั้งหมดหายไป ในอวกาศก็ไม่เหลือร่องรอยของอสูรร้ายขอบเขตเทพเจ้าทั้งสิบตัวอีกเลย
สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า อีกฝ่ายคงถูกระเบิดไม่เหลือเศษซากเป็นที่เรียบร้อย
10/10
Ep.1114
ซูเฉินหรี่ตาและกวาดมองไปในอวกาศที่ว่างเปล่า เห็นแค่เพียงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเศษชิ้นส่วนทอประกายวาววับ
ประมาณการคร่าวๆ คาดว่าเกินหนึ่งล้านชิ้น!
แม้ปกติแล้วซูเฉินจะสงบเยือกเย็น แต่เวลานี้เขายอมรับว่าตัวเองยังรู้สึกเป๋ไปเล็กน้อย ได้แต่ถอนหายใจออกมา “เห็นแบบนี้แล้ว ฉันว่าฉันชักเสพติดการฆ่าศัตรูระดับขอบเขตเทพเจ้าซะแล้วสิ”
ต่อมา ซูเฉินพยายามสงบสติอารมณ์ลง รวบรวมชิ้นส่วน แล้วเดินไปหาหวูซาง กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ผู้อาวุโส ท่านไม่เป็นไรนะ?”
หวูซางในขณะนี้ สีหน้าท่าทียังคงแข็งค้าง เห็นได้ชัดว่ายังไม่หายจากอาการช็อค
“ข้าไม่เป็นไร สบายดี ... สบายมาก!” ได้ยินซูเฉินพูดกับตัวเอง หวูซางสะดุ้งโหยง ตอบกลับโดยไม่รู้ตัว
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ซูเฉินยิ้ม จากนั้นเชิญหวูซางเข้าไปข้างใน [รถศึกอัจฉริยะ]
“ผู้อาวุโสหวูซาง ผู้น้อยฉีชิงเฉวียนจากตระกูลฉีแห่งป้อมปราการมิติ”
เมื่อหวูซางก้าวขึ้นมา ฉีชิงเฉวียนประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม
เพราะอย่างไรหวูซางถือเป็นขอบเขตเทพเจ้าคนเดียวทางฝั่งหมื่นเผ่าพันธุ์ และเขาได้เฝ้าปกป้องหมื่นตระกูลมานับหลายพันปี ควรค่าแก่การได้รับความเคารพนับถือ
หวูซางพยักหน้า จากนั้นเบนสายตาไป ตกลงบนร่างของผู้ทรงเกียรติเสิ่นหยวน
เมื่อเห็นใบหน้าของเสิ่นหยวน ฝีเท้าเขาพลันชะงักไป กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ผู้อาวุโสเสิ่นหยวน นี่ท่านยังมีชีวิตอยู่?”
มหาศึกเมื่อหมื่นปีก่อน หวูซางเองก็เข้าร่วมด้วย ยังไงก็ตาม ในเวลานั้นเขาเป็นเพียง ระดับเทวะขั้น 10 เท่านั้น ขณะที่ ผู้ทรงเกียรติเสิ่นหยวนคือผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเทพเจ้าอย่างแท้จริง ดังนั้นยามพบเจอ การเรียกขานเสิ่นหยวนว่าผู้อาวุโส จึงไม่ใช่เรื่องเกินเลย
เสิ่นหยวนหัวเราะและกล่าวว่า “สหายเต๋าหวูซาง ได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเทพเจ้าแล้ว แต่ข้าเป็นเพียงเศษเสี้ยวจิตวิญญาณ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องสุภาพอะไร”
เศษเสี้ยวจิตวิญญาณ?
สีหน้าของหวูซางหมองลง เดิมเขาคิดว่าเสิ่นหยวนยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ผู้ทรงเกียรติเสิ่นหยวน ได้ล่วงลับในมหาศึกเมื่อหมื่นปีก่อนแล้วจริงๆ
ย้อนนึกไปถึงเมื่อหมื่นปีก่อน เหล่าผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเทพเจ้าต่างร่วมมือกันสู้สุดกำลัง สุดท้ายเกือบทั้งหมดสิ้นชีวิตลง
หวูซางถอนหายใจ แต่ยังคงเคารพผู้ทรงเกียรติเสิ่นหยวนดังเดิม
“ผู้อาวุโสเสิ่นหยวน เหตุใดท่านมาอยู่กับซูเฉินได้?”
หวูซางค่อยๆผ่อนลมหายใจลงอย่างช้าๆ เอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แล้วเสิ่นหยวนก็เริ่มเล่าเรื่องที่เขากับซูเฉินเจอกันในสถานที่สาบสูญให้ฟัง
“โชคดีที่ผู้อาวุโสได้ช่วยเหลือซูเฉิน มิฉะนั้นผลที่ตามมาคงเลวร้ายอย่างคาดไม่ถึง”
หวูซางกล่าวขอบพระคุณ ผู้ทรงเกียรติเสิ่นหยวนอีกครั้ง
หากไม่ใช่เพราะเขตแดนลับที่เสิ่นหยวนทิ้งเอาไว้ เกรงว่าซูเฉินคงไม่สามารถเติบใหญ่ถึงเพียงนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เกรงว่าหมื่นเผ่าพันธุ์คงตกอยู่ในอันตรายจริงๆ
“ทั้งหมดที่ข้าทำได้คือช่วยสนับสนุนเพียงเล็กน้อย ผู้ช่วยเหลือที่แท้จริงคือซูเฉินต่างหาก! ถ้าไม่มีซูเฉิน เกรงว่าไม่ช้าก็เร็วทุกเผ่าพันธุ์อาจถูกทำลายโดยเหล่าอสูรร้าย!” ผู้ทรงเกียรติ เสิ่นหยวน กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
หากมิใช่เพราะพรสวรรค์อันโดดเด่นของซูเฉิน แล้วเปลี่ยนเป็นคนอื่น ต่อให้ได้รับการช่วยเหลือมากกว่านี้ และมีทรัพยากรที่ใช้ฝึกฝนมากกว่านี้ ก็ไม่มีทางแข็งแกร่งได้เท่าซูเฉินอย่างแน่นอน
หากจะให้พูดว่า กระทั่งเหล่าอัจฉริยะในยุคหมื่นปีที่แล้ว ไม่มีใครเทียบซูเฉินได้ ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง
ลองจินตนาการเอาเถิด ว่าในโลกหล้ายังมีผู้ใดอีก ที่อยู่เพียงระดับเทวะขั้น 10 แต่กลับสามารถสังหาร ขอบเขตเทพเจ้านับสิบคนได้ในพริบตาเดียว?
อาศัยเพียงข้อนี้ข้อเดียว ก็มากพอแล้วที่จะกล่าวขวัญว่าซูเฉินคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งของหมื่นเผ่าพันธุ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน หรือให้พูดว่าเขาคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลย
“ผู้อาวุโสยกย่องกันเกินไปแล้ว” ซูเฉินถ่อมตัว
ณ ตอนนี้ หวูซางเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยเตือนว่า “ซูเฉิน พวกเราต้องรีบผนึกอุโมงค์ทางผ่านที่เชื่อมต่อกับเขตแดนของพวกอสูรร้าย”
ช่องว่างเขตแดนไม่ได้ปิดหนึ่งวัน ก็เท่ากับมีอสูรร้ายบุกเข้ามาเพิ่มอีกวัน
ซึ่งสำหรับทุกเผ่าพันธุ์แล้ว นี่ถือเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่
“ผู้อาวุโส อสูรร้ายยังมีตัวตนระดับขอบเขตเทพเจ้าหลงเหลืออยู่อีกหรือ?” เขาเพิ่งสังหาร อสูรร้ายขอบเขตเทพเจ้าไปสิบตัว จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าฝั่งนั้นน่าจะไม่เหลือขอบเขตเทพเจ้าอีกแล้ว
ซึ่งหากไม่มี ขอบเขตเทพเจ้า อุโมงค์ทางผ่านก็ไม่จำเป็นต้องถูกปิดผนึกอีกต่อไป เนื่องจากซูเฉินวางแผนว่าจะบุกเข้าไป--
--แล้วเปิดฉากละเลงเลือดพวกมัน!