WS บทที่ 317 พิชิต PART 4
ยามตะวันยามบ่าย เมืองทารันสว่างไสวด้วยแสงแดดจ้าแต่ตอนนี้ แสงแดดนี้ไม่มีให้เห็น ดูเหมือนว่าแสงจะหักเหและมืดมากจนมองไม่เห็นมือของตัวเองด้วยซ้ำ
“พลังธาตุมืดรุนแรงอะไรอย่างนี้…นี่มันคาถาอะไรกัน?”
นักเวทย์ชราขี้เหร่ทั้งสองยังคงรออยู่นอกเมืองทารัน เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาเห็นแสงไฟพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้าของเมืองทารัน เมื่อมียักษ์เปลวเพลิงสีทองขนาดใหญ่สองสามปรากฏตัวออกมา ทุกการเคลื่อนไหวอัดแน่นไปด้วยพลังที่ทำให้คนที่มองต่างขวัญผวา
อย่างไรก็ตาม ยักษ์เปลวเพลิงสีทองดูเหมือนจะหายไปในทันใดและเมืองทารันตกอยู่ในความมืดดำสนิท แม้แต่พลังจิตของพวกเขาก็ยังไม่สามารถตรวจสอบสถานการณ์ได้
ด้วยเหตุนี้ นักเวทย์ชราทั้งสองจึงวิตกกังวลและพวกเขาไม่กล้าเข้าไปในเมืองทารันอย่างไม่ระมัดระวัง สิ่งที่พวกเขาทำได้คือรออยู่ข้างนอกอย่างกระวนกระวายใจ มองไปไกล ๆ เป็นครั้งคราว โดยหวังว่าจะได้เห็นร่างของผู้เฒ่างู…
…
“สายธารแห่งความมืด!”
เมอร์ลินยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่นั้นถูกความมืดปกคลุมและลงตกไปในภาพลวงตา ยกเว้นเขาและพ่อมดแบมมู
นี่คือสายธารแห่งความมืดแบบเสริมพลังที่ได้รับเพิ่มพลังโดยดวงใจแห่งความมืดไปอีกขั้น นี่คือพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาในตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับนักเวทย์มากแค่ไหน ตราบใดที่พลังจิตของพวกเขาไม่สูงมากนัก พวกเขาก็จะติดอยู่ในภาพลวงตา
*ครืน! ครืน!*
แม้ว่าสายธารแห่งความมืดจะทำให้ทุกคนจมอยู่ในภาพลวงตาแต่ยักษ์เปลวเพลิงสีทองทั้งห้าตนก็ไม่ได้รับผลกระทบจากคาถา พวกมันเป็นพลังจากวงแหวนเวทย์ไม่มีสติสัมปชัญญะใด ๆ ตราบใดที่วงแหวนเวทย์ไม่พังทลาย พวกเขาก็ยังมีพลังต่อสู้ที่น่าเกรงขาม
เมอร์ลินขมวดคิ้ว ยักษ์เปลวเพลิงสีทองเหล่านี้ค่อนข้างรับมือยาก แม้แต่พ่อมดฟิเนลโล่จะตกอยู่ในภาพลวงตาแต่ก็ทำให้ยักษ์เปลวเพลิงสีทองหลุดการควบคุมและโจมตีเมอร์ลินตามสัญชาตญาณ
“เพลิงวินาศ!”
เมอร์ลินเล็งมือไปที่ยักษ์เปลวเพลิงสีทองและปลดปล่อยเพลิงวินาศ ในขณะที่เขาเปิดใช้งานแม็กซิมแห่งไฟอย่างบ้าคลั่งและสามารถใช้งานได้บางส่วน
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงพลังบาวส่วนของแม็กซิมแห่งไฟ แต่ตัวแม็กซิมเองก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปราบปรามเปลวไฟทั้งหมด ดังนั้น เพียงแค่พลังเพียงเล็กน้อยของแม็กซิมก็เพียงพอที่จะทำให้ยักษ์เปลวเพลิงสีทองช้าลง
เมอร์ลินใช้โอกาสนี้ปลดปล่อยเพลิงวินาศอย่างเต็มรูปแบบ เปลวเพลิงสีขาวล้อมรอบยักษ์เพลิงและเริ่มลุกไหม้อย่างดุเดือด เผาผลาญไฟบนร่างของยักษ์เปลวไฟอย่างต่อเนื่อง
ท้ายที่สุดแล้ว ยักษ์เปลวเพลิงสีทองก็เหมือนกับนักเวทย์ระดับห้า แม้ว่าเพลิงวินาศของเมอร์ลินจะถูกรวมเข้ากับเวทย์มนตร์ของเขาแต่พลังของมันแทบจะไม่ถึงมาตรฐานของระดับห้า ผลก็คือ เมื่อเจอยักษ์เพลิง มันเสียเปรียบเล็กน้อยและต้องใช้เวลาในการโจมตีนานเพื่อเอาชนะยักษ์เปลวเพลิงสีทอง
*ปัง!*
ในที่สุด หนึ่งในยักษ์เปลวเพลิงสีทองก็ระเบิดเสียงดังและกระจายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
จากนั้น เมอร์ลินก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ พลังของแม็กซิมแห่งไฟถูกปล่อยออกมาอย่างละเอียดและเปลวไฟที่กระจายไปดูเหมือนจะพบเป้าหมายแล้ว พวกเขามุดเข้าไปในร่างของเมอร์ลินอย่างบ้าคลั่งและกลายเป็นพลังเวทย์โดยแม็กซิม
“น่าเสียดายที่ฉันยังไม่สามารถใช้งานแม็กซิมได้มากพอ มิฉะนั้น มันอาจจะแข็งแกร่งขึ้นอีกและการควบคุมเวทมนตร์ธาตุไฟของฉันก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก!”
เมอร์ลินสังเกตเห็นแม็กซิมแห่งไฟในจิตใต้สำนึกของเขาอย่างเสียใจ นับตั้งแต่ที่เขาได้รับแม็กซิมแห่งไฟมา เขาก็ไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างเต็มที่ ยิ่งกว่านั้น เมื่อเขาใช้แม็กซิมในการควบคุมเรือ พลังงานหนึ่งในสามของแม็กซิมแห่งไฟก็ถูกใช้จนหมดและไม่ได้รับการฟื้นฟูเลยแม้แต่น้อยจนถึงตอนนี้
มีเพียงจอมเวทย์ในตำนานเท่านั้นที่สามารถรวมแม็กซิมห่งไฟได้ ทุกครั้งที่ใช้งาน มันลดน้อยลงไปอีก ในปัจจุบัน เมอร์ลินไม่มีทางที่จะเติมพลังงานได้ เขาทำได้เพียงพึ่งพาพลังของแม็กซิมแห่งไฟเพื่อปราบปรามคาถาธาตุไฟเท่านั้น
แน่นอนว่านี้ไม่ใช่พลังทั้งหมดของมัน ตราบใดที่เขายังครอบครองมันอยู่ เขาจะค่อยๆ ทำความเข้าใจและรับรู้เกี่ยวกับแม็กซิมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ใครจะไปรู้ว่า วันหนึ่ง หลังจากที่เขากลายเป็นนักเวทย์ระดับเจ็ดและเวทมนตร์ธาตุไฟที่เขาสร้างขึ้นจะมีความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัว
อย่างไรก็ตาม สำหรับตอนนี้ เมอร์ลินใช้พลังงานของแม็กซิมได้อย่างจำกัด มันสามารถระงับเวทย์มนตร์ธาตุไฟได้เกือบทั้งหมด แต่ถ้าพบคาถาธาตุไฟระดับเจ็ด เป็นไปได้ว่าแรงเพียงเล็กน้อยที่ปล่อยออกมาจากแม็กซิมจะไม่มีผลในการปราบปรามพวกเขามากนัก แม้กระทั่งตอนนี้ เมื่อเขาเผชิญหน้ากับยักษ์เปลวเพลิงสีทอง เมอร์ลินก็ระมัดระวังและรอบคอบจึงจำเป็นต้องจัดการพวกมันทีละตน
หลังจากที่ยักษ์เปลวเพลิงสีทองตัวหนึ่งถูกทำลาย เมอร์ลินก็ยังคงใช้วิธีเดิมและทำลายยักษ์อีกสี่ตน เปลวไฟที่กระจายออกไปถูกดูดโดยเมอร์ลินเพื่อเติมเต้มโครงสร้างคาถาของเขา
“เพลิงวินาศ!”
หลังจากที่เขาจัดการพวกยักษ์เปลวเพลิงสีทองเสร็จแล้ว สายตาของเมอร์ลินก็พุ่งไปที่เหล่านักเวทย์ของเมืองทารันอีกครั้ง พวกเขาคงอยู่ภายใต้การควบคุมของพ่อมดฟิเนลโล่ไม่มากก็น้อย
เป็นเพราะนักเวทย์เหล่านี้จึงทำให้ พ่อมดฟิเนลโล่มีพลังมากขึ้นเทียบเท่านักเวทย์ระดับห้าเลยทีเดียว!
ดังนั้น เขาจึงตัดจัดการพวกเขาโดยปราศจากความเมตตาแม้แต่น้อย
เมอร์ลินโบกมืออย่างแผ่วเบา เปลวเพลิงปกคลุมท้องฟ้า กระจายลงสู่เบื้องล่าง พวกลูกไฟพุ่งออกไปทุกทิศทุกทางพร้อมกับสังหารนักเวทย์ทุกคนที่พวกมันผ่านไป
นักเวทย์เหล่านี้ล้วนติดอยู่ในภาพลวงตาของสายธารแห่งความมืดและไม่สามารถต้านทานได้เลย เปลวไฟเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขากลายเป็นเถ้าถ่าน
ไม่มีเสียงคร่ำครวญที่น่าสงสาร ไม่มีเสียงร้องไห้ แม้แต่กลิ่นคาวเลือดก็ยังไม่มี ทุกอย่างดูสงบและเงียบงัน ในความมืดมิดของเมืองทารัน แสงไฟสีขาวเหล่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนสั่นสะเทือนด้วยความหวาดกลัว ไม่ว่าแสงจากไฟจะปรากฎขึ้นที่ไหน ก็ต้องทิ้งขี้เถ้าของนักเวทย์ไว้อย่างแน่นอน
ในชั่วพริบตา มีนักเวทย์กว่าร้อยคนถูกไฟแผดเผาโดยไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ชีวิตของพวกเขาทั้งหมดถูก ‘เก็บเกี่ยว’ โดยเมอร์ลิน
“อย่างที่คาดไว้ หลังจากที่สูญเสียนักเวทย์ไปเป็นจำนวนมาก พลังของวงแหวนเวทย์โมโดย่าก็อ่อนแอลงมาก”
เมอร์ลินเห็นว่าบนร่างของพ่อมดฟิเนลโล แสงริบหรี่ของอักษรรูนลึกลับนั้นไม่สว่างอีกต่อไปแล้วและพลังของเขาก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนหน้านี้ พลังของพ่อมดฟิเนลโล่เปรียบได้กับนักเวทย์ระดับห้าอันทรงพลัง แต่ตอนนี้ แม้ว่าจะยังมีพลังของอักษรรูนอยู่แต่พลังของเขาก็อยู่ที่จุดสูงสุดของระดับสี่เท่านั้น
นักเวทย์ระดับสี่ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเมอร์ลินมากนัก พ่อมดฟิเนลโล่ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อเมอร์ลินอีกต่อไป
“เสื้อคลุมตัวนี้ยังอยู่ในสภาพดีอยู่เลย” เมอร์ลินเอื้อมมือไปคว้าเสื้อคลุมที่พ่อมดฟีเนลโลสวมอยู่ นี่คือเสื้อคลุมที่จารึกอักษรรูนจำนวนมากและเทียบได้กับเสื้อคลุมที่เมอร์ลินแลกเปลี่ยนในหอสมุด
แน่นอน เมอร์ลินคงอยากเก็บเสื้อคลุมแบบนี้ไว้ ตอนนี้เขาต้องการเปลี่ยนตระกูลวิลสันให้เป็นตระกูลนักเวทย์ เขาคงทำไม่ได้หากไม่มีคาถา อุปกรณ์เวทมนต์และอื่น ๆ
ดังนั้นเขาถึงได้รวบรวมแหวนทั้งหมดที่นักเวทย์สวมอยู่ซึ่งมีมากกว่าหนึ่งร้อยวงซึ่งมาจากที่เขา ‘เก็บเกี่ยว’ มาก่อนหน้านี้
“แหวนก็ด้วย” พ่อมดฟิเนลโล่ ตอนนี้เป็นเหมือนลูกแกะแสนเชื่อง เขาถูกถอดเสื้อคลุมและแหวนโดยเมอร์ลิน
"อืม? ยังมีของดีอีกเหรอ?”
หลังจากที่ เมอร์ลินถอดเสื้อคลุมของพ่อมดฟิเนลโล่ออก เขาสังเกตเห็นว่าที่หน้าอกของฟิเนลโล่มีแผ่นกลมขนาดเท่าฝ่ามือ มันถูกสลักด้วยอักษรรูนหนาทึบและฝังเข้าไปในผิวหนัง
*ฉัวะ!*
เมอร์ลินกระชากแผ่นที่ฝังอยู่บนหน้าอกของฟิเนลโล่โดยปราศจากความเมตตาแม้แต่น้อย ทันใดนั้น เลือดก็พุ่งออกมาและแผ่นกลมก็อยู่ในมือของเมอร์ลิน
ในขณะที่แผ่นกลมถูกกระชากออก เมอร์ลินสัมผัสได้ชัดเจนว่าวงเวทย์รูนแห่งเมืองทารันกำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงดราวกับว่ามันจะพังทลายได้ทุกเมื่อ
“นี่อาจจะเป็นแผ่นวงเวทย์รูนในตำนานหรือเปล่า?”
ดวงตาของเมอร์ลินเป็นประกาย นี่เป็นสมบัติอย่างแท้จริง มีเพียงนักเวทย์ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้นที่เชี่ยวชาญด้านอักษรรูนและการเล่นแร่แปรธาตุเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างแผ่นวงเวทย์รูนได้
พวกเขาสามารถแกะสลักวงแหวนเวทย์ไว้บนร่างกายซึ่งสามารถใช้ได้โดยนักเวทย์ที่เชี่ยวชาญด้านอักษรรูนอันทรงพลังภายใน แผ่นวงเวทย์รูนสามารถเปิดใช้งานได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงในการตั้งค่า และสามารถนำไปใช้ได้ตลอดเวลา ทำให้สะดวกต่อการใช้งาน
นี่เป็นเหตุผลหลักที่นักเวทย์ทรงพลังเหล่านั้นเต็มใจที่จะศึกษาอักษรรูน เนื่องด้วยพลังของมันจะทำให้คน ๆ หนึ่งจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก และมันก็ดีกว่าอุปกรณ์เวทย์มนต์หลายเท่า
ตัวอย่างเช่น พ่อมดฟิเนลโล่ เขาสามารถแสดงความแข็งแกร่งของนักเวทย์ระดับห้าได้ทันทีหลังจากที่เขาเปิดใช้งานมัน ด้วยเหตุนี้ เมอร์ลินสามารถบอกได้ว่าวงแหวนเวทย์นั้นทรงพลังเพียงใดเมื่อมันถูกสลักลงในแผ่นวงเวทย์รูน!
หลังจากที่เขาได้เก็บเกี่ยวทุกสิ่งที่เขาต้องการจากฟิเนลโล่แล้ว เมอร์ลินก็กำจัดธาตุมืดที่ปกคลุมท้องฟ้าด้วยคลื่นยักษ์จากมือของเขา แสงแดดเริ่มส่องผ่านท้องฟ้าซึ่งเริ่มมืดสนิท
ทั้งเมืองทารันเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งอย่างช้า ๆ พวกคนธรรมดาที่ติดอยู่ในภาพลวงตาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขารู้สึกเหมือนเพิ่งประสบกับความฝันที่แปลกประหลาด
เหลือเพียงพ่อมดฟิเนลโล่ที่ตอนนี้เขาสวมแต่เสื้อผ้าบาง ๆ และกรอบแว่นของเขาต่อหน้าทุกคน รูปลักษณ์ของเขาช่างน่าสมเพช หน้าของเขาซีดเผือดและเขาก็ดูเหมือนชายชราทั่วไปที่ถูกทอดทิ้ง
“เสื้อคลุมของฉัน แหวนของฉัน แม้กระทั่งแผ่นวงเวทย์รูน…”
พ่อมดฟิเนลโล่จ้องไปที่เมอร์ลิน เขาเข้าใจสถานการณ์ของเขาทันที ถ้าเขาที่ไม่มีแผ่นวงเวทย์รูน แม้เขาจะเชี่ยวชาญอักษรรูน มันก็ไม่มีประโยชน์ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่รอเขาอยู่คือจุดจบที่น่าสังเวช
อย่างไรก็ตาม พ่อมดฟิเนลโล่สูดหายใจเข้าลึก ๆ และพูดอย่างสุภาพว่า “ท่านพ่อมดเมอร์ลิน ฉันพ่ายแพ้แล้วแต่ฉันยังคงเป็นนักเวทย์ระดับสี่และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรรูน ฉันยินดีที่จะลงนามสัญญาและกลายเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ที่สุดของพ่อมดเมอร์ลิน!”
ตอนนี้พ่อมดฟิเนลโล่ได้มาถึงจุดที่ตกต่ำที่สุด เขาก็ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น อย่างน้อยขอแค่มีชีวิตรอดก็เพียงพอแล้ว
"ทาส?"
เมอร์ลินส่งเสียงหัวเราะอันเย็นชาออกมาและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้น ในท้องฟ้าอันไกลโพ้น แสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในแสงสีเขียวขนาดมหึมามีร่างเงาที่น่าสยดสยองของงูยักษ์ปรากฏออกมา
“ฟิเนลโล่ ถ้าแกกล้าทำร้ายพ่อมดเมอร์ลินแล้วล่ะก็ ต่อให้แกหนีไปที่ไหน ฉันจะตามล่าแกและฆ่าซะ!”
งูยักษ์ก็ปรากฏขึ้นเหนือเมืองทารันด้วยพายุที่รุนแรงขนาดมหึมา ตัวงูปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเขียวที่สลับซับซ้อนทั้งหมด หัวที่ใหญ่โตและน่ากลัวของมันแหย่ผ่านก้อนเมฆและดวงตาที่แข็งกร้าวจับจ้องไปที่เมืองทารันที่อยู่เบื้องล่าง