1099-1100
5/10
Ep.1099
“ว่องไวอะไรเช่นนี้!”
หางตาของรูปปั้นเทพมารกระตุกอย่างแรง
แม้ซูเฉินจะอยู่เพียง ระดับเทวะขั้น 8 แต่ความเร็วที่เผยออกมา มันว่องไวกว่า ระดับเทวะขั้น 9 ซะอีก นี่ชวนให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนมาก
ขณะที่ซูเฉินพุ่งตรงเข้ามา รูปปั้นเทพมารง้างแขนและชกหมัดออกไป หมัดนี้ดูธรรมดามาก แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะมันแฝงไปด้วยพลังฉีกมิติอันบ้าคลั่ง!
ช่วงเวลาที่หมัดนี้ถูกชกออกไป อากาศรอบด้านเริ่มบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว
เห็นภาพนี้ ซูเฉินไม่หวั่นไหว เปิดใช้งาน [เกล็ดแขนทองคำ] พร้อมโคจร [เทคนิคลับร้อยเท่าสะท้านฟ้า] ซัดเปรี้ยง! อัดหมัดสวนกลับไป ต้องการจะสื่อว่าไม่คิดถอยหนี
“จบสิ้นแล้ว”
เห็นซูเฉินเลือกงัดเหล็กแข็ง ผู้พิทักษ์เทียนยี่ถอนหายใจคร่ำครวญ
“ไปลงนรกซะ!” ในดวงตารูปปั้นเทพมาร เต็มไปด้วยความชั่วร้าย
หมัดนี้คือหนึ่งในไพ่ตายของเขา ทรงพลังชนิดหาผู้ใดเทียมเทียบ กระทั่งระดับเทวะขั้น 10 ก็ยังไม่กล้าดูแคลนมัน
แต่ซูเฉินเป็นตัวอะไร? อีกฝ่ายก็แค่ระดับเทวะขั้น 8 เท่านั้น แต่กลับกล้าเผชิญหน้าตาต่อตา ฟันต่อฟันกับเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ไม่เท่ากับกำลังมองหาความตาย
วินาทีถัดมา สองหมัดปะทะกันอย่างแรง บังเกิดเสียงสนั่นดังกึกก้อง
ณ จุดกึ่งกลางของหมัด กับเกิดพายุเฮอริเคนขึ้นโดยรอบ
พายุเฮอริเคนกวาดออกไปทุกทิศทาง เกิดการสั่นสะเทือนไปทั้งหุบเขา
ผู้พิทักษ์เทียนยี่ที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ภายใต้แรงกดดันของผลกระทบนี้ ถึงกับนอนแผ่ราบลง สั่นเทิ้มไปทั้งตัว
“อ๊ากกกกก!”
ระหว่างนั้นเอง เสียงกรีดร้องสยดสยองดังก้องเข้ามาในหูเขา
เดิมที ผู้พิทักษ์เทียนยี่นึกว่าเจ้าของเสียงย่อมเป็นซูเฉินอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่พอเห็นภาพตรงหน้าชัดๆ สีหน้าการแสดงออกของเขากลายแข็งค้างไปอย่างสิ้นเชิง
เห็นแค่เพียงแขนทั้งข้างที่ชกออกไปของรูปปั้นเทพมาร ลามถึงช่วงตัวส่วนหนึ่งแหลกเป็นเสี่ยงๆ สภาพดูน่าสังเวชมาก
“รูปปั้นเทพมาร ถูกทุบตีแค่ครั้งเดียว กลายสภาพเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?” ผู้พิทักษ์เทียนยี่ อ้าปากค้าง ตกใจจนกรามเกือบหลุด
“มนุษย์! เหตุใดร่างกายและพละกำลังของเจ้าถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้?”
รูปปั้นเทพมาร เหม่อมองซูเฉินด้วยความหวาดกลัวและไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าไพ่ตายของเขา ไม่เพียงถูกทำลาย แต่ร่างกายยังไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
สามารถทำได้ถึงขนาดนี้ ความแข็งแกร่งของมนุษย์ตรงหน้าต้องมากถึงระดับใดกัน?
“คนที่กำลังจะตาย ไม่จำเป็นต้องรู้มากขนาดนั้น!”
ซูเฉินเบ้ปาก ขยับเท้าค่อยๆเดินไปทาง รูปปั้นเทพมาร
“มนุษย์ ไว้ชีวิตข้า แล้วเอาตราหยกกำเนิดเซียนไปได้เลย”
เห็นซูเฉินใกล้เข้ามา รูปปั้นเทพมารยอมรับความพ่ายแพ้
“คิดว่าพูดแค่นี้แล้วฉันจะยอมหยุดงั้นหรอ?” ซูเฉินแสยะยิ้ม
หาก รูปปั้นเทพมารมีสมองตั้งแต่แรก เขาอาจพิจารณาเรื่องไว้ชีวิตมัน แต่ตอนนี้ เมื่อจิตสังหารรแผ่ออกมาแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะถูกเก็บกลับคืนอย่างแน่นอน
“เป็นเจ้าเองนะที่บังคับให้ข้าทำแบบนี้!” รูปปั้นเทพมาร คำรามออกมา
ครึ่งร่างที่เหลือระเบิดออกอย่างกะทันหัน แทบจะในทันทีหลังจากนั้น ภูติเงาของอสูรขนาดมหึมาปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ภูติเงาตนนี้มีหัวเหมือนเสือ ดวงตาขนาดเท่าเครื่องโม่หิน แววตาฉายแววกระหายเลือด ร่างยาวเป็นร้อยจั้ง มองไปคล้ายแนวทิวเขา อีกทั้งตามตัวยังแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายออกมา ชวนให้ผู้มองหายใจไม่ออก
“เจ้านาย นั่นคือภูติเงาของอสูรเทพพยัคฆ์วิญญาณสีชาด และระดับฝึกตนในตอนนี้ของเขา ค่อยๆขยับขึ้นไปจนใกล้ถึงระดับเทวะขั้น 10 แล้ว!” ร้องเตือนด้วยน้ำเสียงสั่นระริก
อสูรเทพ?
ซูเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายในวิหารสวรรค์หวนอยู่มีอสูรเทพอยู่ตัวหนึ่ง ตอนนี้เขาสงสัยนิดหน่อยว่าพยัคฆ์วิญญาณสีชาดตนนี้ ใช่อสูรเทพที่ว่าหรือไม่
“มนุษย์! ได้เวลาตายของเจ้าแล้ว!”
พยัคฆ์วิญญาณสีชาดอ้าปากใหญ่ที่ท่วมไปด้วยเลือด กระโจนเข้ากัดซูเฉิน
ซูเฉินไม่หวาดกลัว ขณะที่พยัคฆ์วิญญาณสีชาดกระโจนเข้าใส่ กระบี่เทวะร้อยเล่มที่ทอประกายไปด้วยแสงสายฟ้าปรากฏขึ้นเหนือหัวเขา
เพียงสั่งการด้วยนิ้วเดียว กระบี่เทวะทั้งร้อยเล่มรวมตัวเป็นหนึ่ง เปลี่ยนรูปเป็นกระบี่ยาวขนาดสิบจั้ง เล็งไปทางพยัคฆ์วิญญาณสีชาด แล้วสะบั้นตรงลำคอหวังตัดศีรษะมัน
6/10
Ep.1100
“นี่มันกระบวนท่าอะไรกัน!”
พยัคฆ์วิญญาณสีชาด หวาดกลัววิญญาณแทบสิ้นสติ สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
พลังทำลายล้างจากกระบี่เทวะทั้ง 100 เล่มรวมกัน มากพอที่จะทำลายสวรรค์และปฐพี
แม้ฐานฝึกตนของเขาจะใกล้เคียงกับ ระดับเทวะขั้น 10 แต่ก็ไม่มีความมั่นใจสักนิดว่าจะสามารถต้านทานได้
ณ ตอนนี้ เจ้าตัวเกิดความคิดที่จะหลบหนีขึ้นมา
กระนั้น กระบี่เทวะสายฟ้ารวดเร็วมาก ไม่ปล่อยให้เขาทำดั่งใจคิดเลย
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น พยัคฆ์วิญญาณสีชาดก็ได้แต่แข็งใจ งัดกันให้ตายไปข้าง
บังเกิดเสียงบรึ้มมมมมม! ดังกึกก้อง
พยัคฆ์วิญญาณสีชาดกับกระบี่เทวะปะทะกัน ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนโลกหล้า
ในเวลาเดียวกัน คลื่นพลังอันผันผวนก่อตัวขึ้น กวาดไปทุกทิศทาง
เห็นแค่เพียงบนพื้นดินปรากฏร่องที่ลึกและแคบลากยาวเป็นทาง ผู้พิทักษ์เทียนยี่ ถูกพัดปลิวออกไปหลายร้อยเมตร แผ่นดินไหวไปทั่งหุบเขา เนิ่นนานไม่หยุดสั่น
ภูเขาสูงที่อยู่รอบๆพังทลายลงมา ฝุ่นละอองขนาดใหญ่ถูกปกคลุมไปทั่วชั้นอากาศ
ฉากนี้ มองอย่างไรก็เหมือนกับวันสิ้นโลก
ใช้เวลาสักพักเลย ฝุ่นควันถึงค่อยกระจายตัว และจางหายไป
ผู้พิทักษ์เทียนยี่ เบิกตากว้าง กวาดมองไปทั่ว แต่ก็พบว่าหุบเขาในตอนแรกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เวลานี้มีหลุมบ่อขนาดยักษ์ เศษหินเศษหินกลิ้งลงมา
และเหนือหลุมลึก คือร่างของซูเฉินที่ลอยอยู่บนฟ้า ยืนตระหง่านราวกับเป็นเทพเจ้า เปล่งกลิ่นอายอันเงียบขรึม ดวงตาจับจ้องไปยังหลุมลึกเบื้องล่าง
พยัคฆ์วิญญาณสีชาดที่เคยประมือด้วย เวลานี้หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ผู้พิทักษ์เทียนยี่จึงพาลคิดไปว่า พยัคฆ์วิญญาณสีชาดคงถูกกระบี่ของซูเฉินทำลายไปแล้ว
“ช่างเป็นกำลังรบที่น่าหวาดกลัวจริงๆ”
ผู้พิทักษ์เทียนยี่กลืนน้ำลาย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
ในฐานะผู้พิทักษ์ตราหยกกำเนิดเซียน เจ้าตัวเคยผ่านมรสุมลมฝนมาอย่างโชกโชน ทว่ากระบวนท่าอันน่าสะพรึงระดับซูเฉิน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมัน ไม่อาจสงบใจได้เป็นเวลานาน
อีกด้านหนึ่ง ซูเฉินถอนหายใจเบาๆ หรี่ตากวาดมองไปรอบๆ ในที่สุดสายตาเขาก็หยุดลงบนร่างของผู้พิทักษ์เทียนยี่ กล่าวทักท้ายเบาๆ
“ผู้พิทักษ์เทียนยี่ ผมรบกวนอะไรหน่อยสิ”
ผู้พิทักษ์เทียนยี่สั่นสะท้าน รีบลุกจากพื้นอย่างรวดเร็ว กล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “ผู้อาวุโส ไม่ทราบมีอะไรให้รับใช้?”
หลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งชนิดยากหาตัวจับของซูเฉิน เขาก็ไม่กล้าแสดงท่าทีดูแคลนแม้แต่น้อย
“ที่นี่น่าจะมีศพของอสูรเทพอยู่ ถูกไหม?” ซูเฉินถามอย่างใจเย็น
“ผู้อาวุโส พยัคฆ์วิญญาณสีชาดที่ท่านเพิ่งสังหารไปคืออสูรเทพตนนั้น” ผู้พิทักษ์เทียนยี่ตอบ
“แล้วร่างจริงของมันอยู่ที่ไหน?” ซูเฉินถามต่อ
สิ่งที่เขาฆ่าไปคือภูติเงาของพยัคฆ์วิญญาณสีชาดเท่านั้น ร่างเดิมของมันยังไม่โผล่มา
“อยู่ข้างในถ้ำหินนั้น” ผู้พิทักษ์เทียนยี่ เอื้อมมือชี้ไปทางถ้ำหินไม่ไกลที่พังทลายลง และกล่าว
ซูเฉินพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำขอบคุณ จากนั้นถามต่อว่า “ที่นี่น่าจะมีหินแก่นแท้พลังงานอยู่ด้วยใช่ไหม?”
ตอนไปบุกนิกายซ่อนวิญญาณ ผู้สูงศักดิ์จินกวงเคยกล่าวไว้ ว่ามีโอกาสเป็นไปได้ที่หินแก่นแท้พลังงาน จะอยู่ในวิหารสวรรค์หวนหยู
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าจะมีหรือไม่ แต่สมบัติของพยัคฆ์วิญญาณสีชาด ถูกซ่อนไว้ข้างในถ้ำแห่งนั้น” ผู้พิทักษ์เทียนยี่ตอบ
ซูเฉินไม่ถามอะไรอีก บินเข้าไปในถ้ำ
เมื่อเข้ามา สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาเขา คือโครงกระดูกขนาดมหึมา แม้เป็นเพียงกระดูก แต่กลิ่นอายของมันยังชวนให้รู้สึกใจสั่น
ซูเฉินระบุได้ทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือโครงกระดูกของพยัคฆ์วิญญาณสีชาด
หลังจากรวบมันลงในถุงเก็บของ เขาเปิด [พื้นที่เลี้ยงสัตว์] อีกครั้ง เรียกนกสำรวจออกมา แล้วกล่าวว่า “เสี่ยวซุ่น ช่วยค้นหาสมบัติที่นี่ที ระบุที่อยู่ของหินแก้แท้พลังงานให้ฉันหน่อย”