บทที่ 48 ความลับของคนแซ่เจี่ย
บทที่ 48 ความลับของคนแซ่เจี่ย
รถตำรวจสองคันรีบขับตามกันไปที่โรงพยาบาล หลินชิวผูรีบลงจากรถและตะคอกใส่หน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนเฝ้าอยู่หน้าประตูโรงพยาบาล “เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?! คุณเฝ้าอยู่ตั้งสองคนแบบนี้แล้วเขาหลบหนีไปได้ยังไง?!”
เจ้าหน้าที่ตำรวจคนแรกรายงาน “พวกเราปลีกตัวออกมาสูบบุหรี่ตรงทางเดินครับ ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ พอเรากลับมาประจำการจุดเดิมเขาก็หายไปแล้ว”
เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนรายงานเสริม “พยาบาลบอกว่าหมอนั่นฟื้นขึ้นได้สักพักแล้ว เขาขโมยปากกาลูกลื่นของพยาบาลแล้วใช้มันสะเดาะกุญแจมือที่ล็อกไว้กับราวเตียงได้แบบชำนาญมาก อีกอย่างทางโรงพยาบาลเคยบอกว่าเขาอาจจะอยู่ในอาการโคม่านานถึงสองสามอาทิตย์ เพราะงั้นเราสองคนก็เลย... ไม่ได้เข้มงวดอะไรมากนัก”
หลินชิวผูโบกมือส่ง ๆ “โอเค โอเค! ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งโทษใคร เราต้องระดมกำลังตามหาเขาให้เจอเดี๋ยวนี้! ทุกคนปรับสัญญาณวิทยุสื่อสารของคุณให้อยู่ในช่องเดียวกันซะ กระจายกำลังออกไปให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นที่จอดรถของห้างสรรพสินค้าหรือแม้แต่ฝาปิดท่อระบายน้ำทุกแห่ง!”
เจ้าหน้าที่ตำรวจแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว ส่วนหลินชิวผูยืนอยู่จุดเดิมทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุม เขาได้ยินผู้ใต้บังคับบัญชาจากวิทยุสื่อสารรายงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง “ผมไม่พบเขาที่นี่!” “ผมสอบถามผู้พักอาศัยโดยรอบบริเวณนี้แล้วครับ พวกเขาไม่เห็นใครที่ใส่ชุดผู้ป่วยวิ่งหนีออกมาเลย!”
หลินชิวผูเริ่มร้อนใจและรู้สึกไม่ได้ดั่งใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาหลงลืมไปสนิทว่าอาชญากรมีหมายจับคนนี้เคยหลบหนีการจับกุมมาแล้วถึงสองครั้ง เขาน่าจะเพิ่มกำลังตำรวจที่คอยเฝ้าระวังอยู่หน้าโรงพยาบาลให้มากกว่านี้ตั้งแต่แรก
ขณะนั้นเองเสียงหลินถงซูก็ดังขึ้นจากวิทยุสื่อสาร “พี่คะ! ตอนนี้เราอยู่ที่ชุมชนใกล้สวนกุหลาบ! มาที่นี่เร็วเข้า พวกเราเจอตัวเขาแล้ว!”
หลินชิวผูรีบสั่งการให้เจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงมุ่งหน้าไปสมทบทันที จากนั้นเขาจึงขึ้นรถตำรวจและเหยียบคันเร่งจมมิดไปยังสถานที่นั้นโดยไม่รอช้า
ทันทีที่เข้าไปถึงเขตชุมชน เขาก็ได้ยินประกาศจากเสียงตามสาย “ประกาศแจ้งผู้ที่อาศัยอยู่ในอาคารโซนที่สี่ โปรดปิดล็อกประตูและหน้าต่างให้แน่นหนา ขณะนี้มีอาชญากรชายหลบหนีเข้าไปในอาคาร ขอให้ทุกคนระวังตัวด้วย! ถ้ามีเหตุจวนตัวให้ใช้มาตรการป้องกันตัวอย่างสุดความสามารถ!”
เสียงนั้นคือเสียงของหลินถงซู หลินชิวผูรีบวิ่งไปตามเสียนั้นและเห็นว่าเธอกำลังถือไมโครโฟนจ่อปากและหันลำโพงไปทางอาคารโซนสี่ที่ว่า
ปรากฏว่าทันทีที่เธอพบอาชญากรแซ่เจี่ยอยู่ไกล ๆ เธอได้หยิบปืนขึ้นมายิงขู่ เห็นว่าเขาวิ่งหนีเข้าไปในอาคารพักอาศัยโซนที่สี่ ตอนนั้นเธอกลัวมากว่าอาจเกิดเหตุการณ์คนร้ายจับผู้คนเป็นตัวประกันอีก จึงยืมไมโครโฟนจากสมาคมกรรมการหมู่บ้านเพื่อเตือนผู้อาศัยให้ระมัดระวังตัวโดยด่วน
หลินชิวผูตบไหล่เธอเบา ๆ พร้อมชื่นชม “เก่งมาก!”
เขาหันไปส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มแรกขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อจับกุมตัวคนแซ่เจี่ย และให้เจ้าหน้าที่อีกกลุ่มหนึ่งปีนขึ้นไปบนหลังคาของอาคารข้าง ๆ เพื่อจะได้บุกเข้าจับกุมได้จากรอบทิศ
คนแซ่เจี่ยได้รับบาดเจ็บเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงเช่นทุกครั้ง ในที่สุดเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนก็ตามมาพบเขาที่ชั้นเจ็ดขณะที่เขากำลังพยายามใช้ตัวกระแทกพังประตูห้องพักห้องหนึ่งเข้าไป จากนั้นเสียงกรีดร้องของผู้หญิงในห้องจึงดังขึ้น
“หยุด! อย่าขยับ!”
“ยกมือขึ้นแล้ววางไว้เหนือหัว!”
ท่ามกลางการปิดล้อมของเจ้าหน้าที่จำนวนมากที่พกพาอาวุธปืนครบมือ เจี่ยจำต้องยกมือขึ้นและถูกใส่กุญแจมืออีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าเจี่ยถูกจับกุมตัวไว้ได้แล้ว ระดับความวิตกกังวลของหลินชิวผูก็ลดฮวบลงทันใด เขาหันไปหาหลินถงซู “การกระทำของคุณในวันนี้ถือเป็นความดีความชอบอันดับหนึ่ง ผมยกเครดิตให้คุณทั้งหมดเลย”
“เครดิตไม่สำคัญหรอกค่ะ ไม่มีผู้พักอาศัยคนไหนได้รับบาดเจ็บก็ดีแล้ว” หลินถงซูยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
หลินชิวผูนึกแปลกใจในคำตอบของน้องสาว ดูเหมือนเธอครั้งนี้จะรวบรวมสติจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้รอบคอบขึ้นเป็นเท่าตัว ที่เธอเปลี่ยนไปในทางที่ดีแบบนี้เป็นเพราะอิทธิพลจากคนขับรถนั่นงั้นเหรอ?
เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามารายงานสถานการณ์ เขาบอกว่าทันทีที่เจี่ยรู้ตัวว่าตัวเองจนมุมแน่แล้วก็เกิดความตื่นตระหนกเป็นอย่างมากและเลือกพังประตูห้องพักในอาคารอย่างบ้าคลั่ง หลินชิวผูพูดขึ้น “ผมเห็นอยู่เหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้เหมือนหมาที่ไม่ยอมจนตรอกจนต้องกระโดดข้ามกำแพง ผมจะขึ้นไปปลอบประโลมบรรดาผู้พักอาศัยที่ขวัญเสียสักหน่อย พวกคุณควบคุมตัวเขากลับไปฝากขังที่สถานีตำรวจก่อนเลย”
“ฉันขอไปด้วยค่ะ!” หลินถงซูอาสา
ทั้งสองพากันเดินขึ้นไปทีละชั้น ชาวบ้านที่รู้ว่าอันตรายคลี่คลายลงแล้วต่างเปิดประตูออกมาสังเกตการณ์อย่างอยากรู้อยากเห็น พอพวกเขาเห็นหลินชิวผูต่างก็สอบถามว่าสถานการณ์ด้านล่างเป็นยังไงบ้าง? ซึ่งเขาก็ตอบในลักษณะให้พวกเขาคลายความวิตกกังวลโดยไม่เปิดเผยข้อมูลสำคัญใด ๆ
พอลงมาถึงชั้นที่เจ็ด ประตูห้องที่เกิดเหตุยังคงปิดสนิท หลินชิวผูสังเกตบานประตูพร้อมพูดขึ้น “ไอ้หมอนี่แรงเยอะถึงขนาดทำให้ประตูบุบลงไปเชียวเหรอเนี่ย?”
เขาเดินไปเคาะประตู “สวัสดีครับ พวกเราเป็นตำรวจ มาที่นี่เพื่อเช็กดูว่าคุณเป็นยังไงบ้าง?”
ผู้หญิงในบ้านยังไม่เปิดประตูออกมาทันทีแต่ตะโกนตอบกลับมา “ฉันปลอดภัยดีค่ะ แต่ฉันกลัวมาก”
“คนร้ายถูกจับกุมตัวได้แล้วครับ”
“โอ๊ย! เยี่ยมไปเลย ขอบคุณมากนะคะคุณเจ้าหน้าที่!”
หลังจากนั้นหญิงสาวเจ้าของห้องจึงเปิดประตูต้อนรับพวกเขา หลินถงซูเห็นว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ เธอสอดส่ายสายตาเข้าไปในสำรวจในห้องทันที “พี่สาว คุณอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ สามีของฉันออกไปทำงาน ใครจะรู้ว่าจะเหตุการณ์นี้ขึ้นตอนกลางวันแสก ๆ ฉันกลัวแทบแย่!”
“ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณเสียขวัญนะครับ โอ้ จริงสิ ประตูบานนี้ถูกคนร้ายทำพัง ทางเราจะทำการจ่ายเงินชดเชยไว้สำหรับเป็นค่าซ่อมแซมให้คุณในภายหลัง” หลินชิวผูพูด
“ไม่จำเป็นเลยค่ะ! ตราบใดที่คุณจับคนคนนั้นได้ ความเสียหายนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย คนเลวประเภทนี้สมควรถูกยิงตายไปซะ!”
ทั้งสองกล่าวคำอำลากับหญิงตั้งครรภ์แล้วจึงเดินลงบันไดไป ทันใดนั้นหลินถงซูกลับชะงักฝีเท้าและโพล่งขึ้น “พี่คะ ทำไมฉันรู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องรู้จักกับเจี่ย?”
“ทำไมคุณพูดแบบนั้นล่ะ?”
“ดูผังอาคารแต่ละชั้นสิคะ แต่ละชั้นมีห้องพักอยู่ถึงแปดห้อง แต่แทนที่เจี่ยจะเลือกห้องที่อยู่ใกล้กับบันไดที่สุด เขากลับเลือกห้องที่อยู่ไกลจากตัวบันไดที่สุดทางปีกตะวันตก แถมผู้หญิงคนนั้นยังพูดว่า ‘คนเลวประเภทนี้สมควรถูกยิงตายไปซะ’ เป็นไปได้ไหมว่าเธออาจรู้ว่าเจี่ยเคยก่อคดีอะไรมาบ้าง? เพราะหมายจับของเขาไม่ได้ถูกออกหรือเปิดเผยต่อสื่อสาธารณะของเมืองนี้ แล้วตอนที่ฉันเจอตัวเขาและไล่ตามมา อาคารพักอาศัยในชุมชนมีตั้งหลายโซน แต่เหมือนกับว่าเขาเลือกเจาะจงว่าต้องวิ่งหนีมาที่อาคารนี้”
หลินชิวผูคิดตามอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกว่าเหตุผลของหลินถงซูนั้นสมเหตุสมผลมากทีเดียว เขาตัดสินใจได้ทันที “งั้นเราวกกลับไปตรวจสอบดูหน่อย!”
ทั้งสองเคาะประตูอีกครั้ง หญิงสาวเดินมาเปิดประตูและรีบตั้งคำถามทันที “มีอะไรอีกรึเปล่าคะ?”
“ขอโทษที่รบกวนครับ เราอยากรู้ว่าคุณรู้จักกับผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า?” หลินชิวผูถามอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่... ไม่รู้จักค่ะ!” แม้ตอบปฏิเสธแต่แววตาของเธอกลับกลอกกลิ้งไปมาคล้ายกระวนกระวายใจ
“แล้วทำไมเขาถึงวิ่งตรงดิ่งเข้ามาในอาคารนี้ แถมยังขึ้นมาพังประตูห้องของคุณโดยตรง?”
“ล้อกันเล่นหรือยังไงคะ? เรื่องนั้นฉันจะรู้ได้ยังไง? คุณไปถามเขาสิ!” หญิงสาวตอบพลางยกมือขึ้นทัดผม
หลินถงซูสังเกตเห็นบาดแผลที่เป็นรอยคล้ายเพิ่งถูกมีดแทงตรงท้องแขนของอีกฝ่าย เธอตั้งคำถามทันที “เร็ว ๆ นี้คุณเพิ่งถูกทำร้ายมาใช่ไหมคะ?”
“เอ่อ...” หญิงสาวรีบหันมองแผลที่แขนของตัวเองเหมือนรู้ว่าหลินถงซูพูดถึงอะไร “นี่... แผลนี่เป็นเพราะฉันคันแล้วเผลอเกาแรงไปหน่อยจนเป็นรอยเล็บน่ะค่ะ”
หลินชิวผูหรี่ตา “เขาถูกจับกุมตัวไว้แล้ว ตอนนี้คุณสามารถบอกทุกอย่างที่รู้ให้พวกเราทราบโดยไม่ต้องระแวงอันตรายอะไรอีกต่อไป”
“ฉันพูดจริง ๆ ค่ะ! ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น ขอโทษด้วย!”
คำพูดของเธอชัดเจนแล้วว่ากำลังขับไล่พวกเขาทางอ้อม ดังนั้นหลินชิวผูและหลินถงซูจึงจำใจต้องหันหลังกลับไม่คิดคาดคั้นอีก แต่ขณะที่พวกเขาเดินจากไปไม่ทันไร หญิงสาวก็ตะโกนเรียกพวกเขาไว้เสียก่อน “เดี๋ยวก่อนค่ะ ที่จริงฉันมีอะไรอยากบอกพวกคุณเหมือนกัน เชิญเข้ามานั่งในห้องก่อนเถอะค่ะ”
สองพี่น้องหันมองหน้ากันแวบหนึ่งก่อนเดินกลับเข้าไปตามคำเชิญทันที
พวกเข้าเดินเข้ามาในห้องก่อนทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่น หญิงสาวทักทายตามมารยาทเล็กน้อยและไม่ลืมถามพวกเขาว่าต้องการดื่มชาสักถ้วยไหม? ซึ่งทั้งสองตอบกลับพร้อมกันว่าไม่ต้องการ
หญิงสาวถอนหายใจ “ฉันขอพูดตามตรงเลยนะคะ ผู้ชายที่เพิ่งถูกพวกคุณจับไป เขาเป็นสามีเก่าของฉัน”
“ห๊ะ?!” หลินถงซูตกตะลึงในข้อมูลที่ได้รับ
หญิงสาวเล่าว่าเธอและเจี่ยแต่งงานกันในปี 2012 ตอนนั้นเธอยังอาศัยอยู่ในเมืองหลี่ถง เจี่ยทำอาชีพใช้แรงงานรับจ้างทั่วไป เธอชื่นชอบในตัวเขาเพราะเขาเป็นคนมีอารมณ์ขันแถมยังหน้าตาหล่อเหลา ซึ่งครอบครัวของเธอคัดค้านความสัมพันธ์ของเธอและเจี่ยมาโดยตลอด ท้ายที่สุดแล้วเธอเลือกที่จะไม่สนใจคำห้ามปรามของครอบครัวและตัดสินใจหนีตามเจี่ยไป
หลังทั้งคู่แต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างจริงจัง นิสัยด้านมืดของเจี่ยก็ค่อย ๆ เผยออกมาให้เห็น เขาเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาวและหัวเสียบ่อยครั้ง เขาเคยตกงานอยู่หนึ่งเดือนเต็มแต่ไม่คิดจะหางานใหม่และแก้ปัญหาโดยการหาวิธีรวยทางลัด เป็นผลให้ทั้งสองมีหนี้นอกระบบก้อนโต และเมื่อเจี่ยไม่พอใจกับอะไรสักอย่างแม้เรื่องเล็กน้อยก็จะทุบตีและด่าทอเธออย่างรุนแรง
ในเวลานั้นเธอรู้สึกเสียใจมากที่ไม่ยอมเชื่อฟังคำพูดของครอบครัวตั้งแต่แรก จนต้องระทมทุกข์เคล้าน้ำตาทุกคืนวัน กระทั่งหัวใจของเธอกลับมาแข็งแกร่งราวเหล็กกล้า และตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะไม่ยอมตกอยู่ในสภาพเช่นนี้อีกต่อไป เธอรอให้เจี่ยออกจากบ้านไปทำธุระก่อนขโมยเงินบางส่วนและหนีออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เมืองหลงอัน
ต่อมาเธอมีโอกาสได้รู้จักกับสามีคนปัจจุบันของเธอ แม้ความสัมพันธ์ในครั้งนี้เป็นเพราะทางครอบครัวจัดการให้แต่เธอกับเขากลับเข้ากันได้ดีมาก หลังแต่งงานใหม่อีกครั้งในไม่ช้าเธอก็ตั้งครรภ์ด้วยการตกผลึกของความรักนี้
แต่แล้วสิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เธอเห็นข่าวการฆาตกรรมจากสำนักข่าวของเมืองหลี่ถง และอาชญากรมีหมายจับคนนั้นก็คือเจี่ย! ตอนที่รู้ข่าวอารมณ์ของเธอซับซ้อนมาก ความรู้สึกช็อก สงสาร และสะใจเกิดขึ้นพร้อมกัน การที่ผู้ชายไม่เอาไหนคนนั้นทำเรื่องเลยเถิดถึงขั้นฆ่าคนแบบนี้ จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจด้วยซ้ำไป!