ตอนที่ 53 เซียวยวี่เยียนมาเยี่ยม
เย่เทียนเดินจากไปและทิ้งให้เซียวหรงยืนหว่าเว้อยู่ตรงนั้น
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอรู้สึกขอบคุณหรือเกลียดเย่เทียนกันแน่ แต่อย่างหนึ่งที่เธอมั่นใจคือเย่เทียนไม่ใช่แป้งที่คนอื่นจะมานวดได้อีกแล้ว ท่าทางของเขามีความเป็นผู้นำ แสงระยิบระยับบนตัวเขาทำให้เธอรู้สึกละอายใจ
“หรงหรง...เย่ ประธานเย่รังแกเธออีกแล้วเหรอ?” หวงอิงถามด้วยความระมัดระวัง ตอนนั้นเธออยู่หน้าประตูจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องประชุม
เซียวหรงยิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าเขารังแกฉัน...ฉันคงไม่ยืนงงอยู่ตรงนี้หรอก เขา...ลงทุนกับบริษัทเราห้าร้อยล้าน”
“เอ่อ...ว่าไงนะ?” แม่เซียวรีบตามออกมาเมื่อเห็นเย่เทียนจากไป เธออดไม่ได้ที่จะบ่นกับลูกสาว “หรงหรง ทำไมลูกถึงโง่แบบนี้นะ เขาลงทุนขนาดนั้นอย่างน้อยลูกต้องชวนเย่เทียนไปทานข้าวด้วยกันสิ”
“เสี่ยวเทียนเป็นเด็กดีจริงๆ ดูเหมือนเขายังมีใจให้ลูกอยู่นะ ลูกต้องกอดขาเขาไว้ให้แน่นๆล่ะ”
“ลูกมัวรออะไรอยู่รีบตามเขาไปเร็ว บอกเขาว่าแม่จะทำอาหารเย็นคืนนี้เลยมาชวนไปทานด้วยกันที่บ้าน”
เมื่อมองพ่อแม่ที่หักหลังเธอ หน้าเซียวหรงเลยดูเศร้าลง “แม่รู้ได้ยังไงว่าเขายังมีความรู้สึกดีๆกับหนู เขา...มันก็แค่ตู้เงินไร้ความรู้สึก”
“ประธานเซียว ครั้งนี้คุณทำได้ดีมาก!”
“ประธานเซียว สามีคุณเยี่ยมมาก!”
“น่าอิจฉาจริงๆที่มีสามีแบบนี้!”
ผู้บริหารระดับสูงกลุ่มหนึ่งออกมาแสดงความยินดีกับเธอ
แต่การแสดงความยินดีสำหรับเซียวหรงแล้วเป็นเหมือนมีดเล็กๆที่กรีดหัวใจของเธอ มันยากสำหรับเธอที่จะไม่คิดถึงเรื่องที่ทำกับเย่เทียนก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียง
เธอละอายใจที่ต้องไล่ตามเขาไปแบบนี้
ชั้นล่าง
เย่เทียนขึ้นรถสามล้อกำลังจะจากไป แต่เขากลับได้ยินเซียวหรงเรียกจึงหันกลับไปมอง “ว่าไง?”
เซียวหรงรวบรวมความกล้าแล้วพูดออกมา “เย็นนี้...นายว่างไหม? ฉันอยากชวนนายไปทานอาหารเย็น”
เย่เทียนครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ “เอาสิ เย็นนี้เจอกัน”
แต๊กแต๊กแต๊ก...
รถสามล้อจากไป
แม่เซียวมาอยู่ข้างลูกสาวแล้วกระซิบกับเธอ “ยิ่งดูยิ่งถูกใจ...หรงหรง พ่อแม่แก่กันแล้ว ลูกเองก็ต้องเกษียณตัวเองหลังจากทำงานในบริษัทสองสามปี หากลูกมีหลานชายหรือหลานสาวได้คงจะดีมากเลย”
เซียวหรงมองพ่อแม่ด้วยอย่างหมดคำจะพูด “พ่อแม่ได้เจอพ่อแม่เย่เทียนหรือยัง? หนูยังไม่เคยเจอพวกเขาเลย ทำไมถึงคิดว่าเขายินดีจะมีลูกกับหนูล่ะ?”
“นี่...”
พ่อแม่เซียวหรงมองหน้ากันไปมา
ตอนที่เย่เทียนแต่งเข้าตระกูลเซียวมาใหม่ๆ เขาเคยพูดเรื่องนี้ครั้งหนึ่งบนโต๊ะอาหารเย็น :คุณลุง ผมก็แต่งงานกับเซียวหรงแล้ว ผมเลยอยากเชิญพ่อกับแม่มาทำความรู้จักกับลูกสะใภ้และผู้อาวุโสทั้งสองเพราะยังไงแล้วเธอก็เป็นสะใภ้ของพวกเขา ตอนนั้นพ่อเซียวแค่หัวเราะแล้วบอกว่าไม่ต้องทำให้ลำบากขนาดนั้น พวกเราค่อยมาพุดเรื่องนี้อีกทีตอนที่เซียวหรงอาการดีขึ้น
แต่แม่เซียวหนักไปกว่านั้นและพูดอย่างชัดเจน :พ่อแม่เธอเป็นชาวนาใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นไม่จำเป็นต้องรู้จักกันหรอก...เพราะพวกเราไม่มีอะไรเหมือนกัน
ตั้งแต่นั้นมาเย่เทียนก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้อีกเลย
บางทีตั้งแต่นั้นมาเย่เทียนอาจขีดเส้นแบ่งระหว่างตัวเขากับตระกูลเซียวแล้ว
การแต่งงานของเย่เทียนเป็นแค่ธุรกิจ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
“ยามทุกข์ก็เลือกที่จะจากไป พอร่ำรวยทำไมต้องแบ่งปัน...” เซียวหรงพึมพำ “พวกเราทำให้หัวใจของเขาแตกและนั่นคงเจ็บปวดมาก เขาทำทุกอย่างจนได้มายืนอยู่ในจุดนี้ คงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เขากลับมาเป็นเหมือนก่อน”
“เฮ้อ...” พ่อแม่ของเซียวหรงถอนหายใจด้วยความเสียใจ
“แต่เขาบอกว่าจะกลับมาทานอาหารเย็นคืนนี้”
เซียวหรงหันหลังเดินกลับไปเงียบ ๆ
...
หลังออกจากบริษัทเซียวเย่เทียนก็ไปเยี่ยมคุณย่าที่บ้านเก่าตระกูลเซียว
ความชอบของเขาต่อคุณย่าค่อนข้างสูง
ในขณะที่พึ่งมาถึงหน้าบ้านเก่าตระกูลเซียว จู่ๆแลมโบกินี่โผล่พรวดออกมาจอดตรงประตู มีสาวน้อยแต่งตัวแฟชั่นลงมาจากรถและวิ่งมาหาเย่เทียน “เครปขายยังไง?”
“6 หยวน”
“เอาชุดหนึ่ง” สาวน้อยพูดต่อ “ไม่เอาผักชีนะ!”
“ได้”
เย่เทียนลงจากรถแล้วเริ่มทำเครป ชายวัยกลางคนได้ออกจากอีกด้านหนึ่งและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “พ่อบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ากินของแผงลอยริมทางแบบนี้ ไม่ใช่แค่มันไม่สะอาดแต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการด้วย ทำไมถึงไม่ฟังกันบ้างนะ”
“แต่หนูหิวนี่!” สาวน้อยเท้าเอวพูดด้วยอารมณ์โกรธ “อีกตั้งนานกว่างจะได้กินข้าวเย็น จะให้หนูหิวตายหรือไง?”
“นี่ก็อยู่หน้าบ้านคุณย่าแล้วไง” ชายวัยกลางคนมองอย่างช่วยไม่ได้ ดูจากรูปลักษณ์แล้วพวกเขาน่าจะเป็นพ่อลูกกัน
เย่เทียนพูดด้วยยิ้ม “เป็นอย่างคำที่กล่าวไว้ ถึงไม่สะอาดแต่กินแล้วก็ไม่ได้ป่วย นอกจากนี้วัตถุดิบพวกนี้ฉันเตรียมไว้ใช้วันต่อวันและมันเป็นของปลอดสารเคมี เชิญกินได้อย่างมั่นใจได้เลย”
ชายวัยกลางคน “ใครบ้างที่ทำธุรกิจแล้วบอกว่าของตัวเองไม่ดี”
สาวน้อยจ้องพ่อของเธอและหันไปพูดกับเย่เทียน “พี่ชายดูหนุ่มมากเลย ขายเครปแบบนี้ทำเงินได้ดีหรอ?”
“ก็ไม่ได้แย่นะ” เย่เทียนบอกตามความจริง “ถ้าโชคดี วันนึงจะได้ประมาณ 3-500”
“เยอะจัง” เด็กสาวนับนิ้ว “จากการใช้เงินของคนทั่วไป แค่นั้นก็น่าจะพอเลี้ยงดูครอบครัวแล้ว”
“ใช่”
“พี่ชาย ฉันชื่อเซียวยวี่เยียน พี่ชื่ออะไรหรอ?” เธอเป็นสาวน้อยไร้เดียงสาและคุ้นเคยที่ทำแบบนี้
“เย่เทียน”
“ยวี่เยียน พ่อบอกลูกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าพูดกับคนแปลกหน้า! ลูกรู้หรือไงว่าใครเป็นคนดีใครเป็นคนเลว” ชายวัยกลางคนดุเธอ
เย่เทียนไม่ได้สนใจ เขายื่นเครปร้อนๆให้เซียวยวี่เยียนแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ค่อยๆกินนะ ระวังร้อน”
“อื้ม ขอบคุณนะพี่ชายเย่เทียน บ๊ายบาย”
เซียวยวี่เยียนและพ่อหันหลังเข้าบ้านเก่าตระกูลเซียว ในทางกลับกันเย่เทียนล็อคสามล้อและเดินเข้าประตูบ้านมา
“เอ๊ะ?”
เซียวยวี่เยี่ยนกำลังกินเครปอย่างมีความสุข และเมื่อเธอเห็นเย่เทียน ตาของเธอก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
ชายวัยกลางคนไม่แยแส “นายจะทำอะไร? ที่นี่คือบ้านเก่าตระกูลเซียว คนนอกไม่ได้รับอนุญาติให้เข้ามา”
“ฉันมาหาคุณย่า”
“มาหาคุณย่า? แล้วนายเป็นใคร?!”
“ฉันบอกไปแล้วว่าชื่อเย่เทียนและฉันป็นคนขายเครป”
“ความสัมพันธ์ของนายกับคุณย่าคืออะไร?”
“ว้าว ไม่มาตรวจทะเบียนบ้านด้วยเลยล่ะ? ฉันอยากถามเหมือนกันว่าคุณเป็นใคร?” เย่เทียนรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้พูดมากจริง
ชายวัยกลางคนเหยียดหลังตรง “ฉันคือเซียวยู่เหริน และนี่ลูกสาวของฉันเซียวยวี่เยียน”
“วันเกิดคุณย่าก่อนหน้านี้ พวกคุณไม่ได้มาใช่ไหม” เย่เทียนพูดตอบ ตราบใดที่มาเข้าร่วมงานวันเกิดวันนั้น ย่อมไม่มีทางไม่รู้จักเย่เทียนแน่นอน เพราะคืนนั้นเขาเป็นคนหล่อที่สุดในงาน
“นายรู้ได้ไงว่ามีงานเลี้ยงวันเกิดคุณย่า? ใช่ เพราะเกิดอุบัติเหตุเลยทำให้เรามาช้า” เมื่อเซียวยู่เหรินกำลังคุยกับเย่เทียน เซียวยวี่เยียนก็ไปกอดลูกท้อทองที่หน้าประตู “คุณพ่อมาดูนี่เร็ว! นี่เป็นลูกท้อทองขนาดหนักหนึ่งตัน ว้าวว้าวว้าว! สวยจังเลย!”