ตอนที่ 2 หิวจนไส้ขาด
ส่วนป้าหลี่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ยืนจ้องมองนายตำรวจด้วยความสงสารจับใจ ที่ถูกป้าจางต่อว่าด้วยเสียงอันดัง และอดที่จะช่วยเขาไม่ได้จึงลากตัวเขามาอีกทางหนึ่งพร้อมกับกล่าวว่า "ความจริงแล้วการทำนายโชคชะตาไม่ใช่เรื่องที่งมงายซะทีเดียว ผู้เฒ่าผู้แก่บางคนก็สามารถทำนายดวงชะตาได้จากการมองหน้าและลักษณะทั้งแปดอย่าง แต่เด็กคนนั้น…"
ขณะที่กล่าวเช่นนั้น เมื่อป้าหลี่นึกถึงอายุและหน้าตาของหลินชิงหยินแล้ว เธอจึงมิกล้าที่จะกล่าวคำว่าอาจารย์ออกมา จากนั้นจึงกล่าวอย่างกำกวมว่า "สิ่งที่เด็กคนนั้นพูดอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง เพราะฉะนั้นอย่าไปจริงจังกับมันมากนัก!"
ป้าจางไม่พอใจที่ถูกขัดคอ จึงเริ่มต้นเถียงกับป้าหลี่อย่างดุเดือด
จากนั้นคุณตำรวจได้จับหญิงทั้งสองคนแยกออกจากกันด้วยความรวดเร็วและพยายามไกล่เกลี่ยพวกเธอ และเขาต้องใช้เวลานานมากในการเกลี้ยกล่อมทั้งสองคนนั้นให้สงบลง
นายตำรวจท่านนั้นมีชื่อว่า หม่าหมิงหยูได้กลับไปที่สถานีตำรวจ และกล่าวทักทายเพื่อนร่วมงานขณะที่นั่งลงบนโต๊ะประจำตัวของตนเอง
หลังจากดื่มน้ำแก้วใหญ่เข้าไปแล้วเขาก็ได้จมลงกับความคิดของตนเองอย่างลึกซึ้ง
หลินชิงหยินกล่าวว่า ชีวิตของเขาจะพบกับหายนะครั้งใหญ่สามครั้ง
ครั้งที่หนึ่งตอนที่เขาเกิดและครั้งที่สองตอนวันเกิดอายุครบสิบแปดปี
และเป็นจริงอย่างที่เด็กสาวกล่าว เขาประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในตอนที่เขาเกิด ในตอนที่มารดาให้กำเนิดเขานั้น เธอมีสภาวะคลอดบุตรยากและตกเลือดอย่างรุนแรง
ในขณะเดียวกันนั่นเอง แพทย์ได้ให้บิดาของเขาเลือกว่าจะช่วยชีวิตใครก่อน แต่โชคดีที่มารดาของเขาปลอดภัยและเขายังคงมีชีวิตอยู่ ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้สุขภาพของมารดาเขาไม่ค่อยดีนักซึ่งเกิดจากภาวะแทรกซ้อนในตอนที่คลอดเขานั่นเอง
หายนะครั้งที่สองตอนวันเกิดครบสิบแปดปีของเขานั้น เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่มีความสนิทสนมกับเขาจัดงานฉลองวันเกิดให้กับเขาและเชิญเพื่อนนักเรียนกลุ่มใหญ่มาร่วมร้องเพลงคาราโอเกะกัน
และในช่วงเวลานั้นมีคนจุดดอกไม้ไฟและพลุทำให้เปลวไฟปลิวไปติดที่ผ้าม่านและทำให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลามใหญ่โต
หม่าหมิงหยูอดที่จะคิดไม่ได้ว่าหลินชิงหยินอาจจะเป็นหมอดูตัวจริง! แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เขาใช้มือแตะไปที่ท้องของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกปวดท้องหรือไม่สบายแต่อย่างใด
บางทีเด็กสาวคนนี้อาจจะพูดจาเหลวไหลก็เป็นได้!
แต่เมื่อคิดทบทวนอีกทีแล้วเขาก็อดที่จะเชื่อในคำทำนายของหลินชิงหยินไม่ได้!
เพราะอย่างน้อยเธอก็สามารถกล่าวได้ถูกต้องทั้งสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
ในขณะที่หม่าหมิงหยูกำลังเกิดความรู้สึกสับสนในใจนั้น ป้าหลี่ก็ได้มาที่สถานีตำรวจ และเมื่อเธอเห็นหม่าหมิงหยูนั่งงุนงงอยู่ที่โต๊ะของเขาจึงรีบร้อนเดินเข้ามาหา "คุณตำรวจคะ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?"
เมื่อเห็นใบหน้าที่แสดงถึงอาการสับสนของหม่าหมิงหยูแล้ว ป้าหลี่จึงกล่าวโน้มน้าวเขาว่า
"ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายก็ควรจะกลับบ้านจะดีกว่า
ที่ป้ามานี่ก็เพื่อจะมาบอกคุณตำรวจเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง ซึ่งคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม
แต่คุณน่าจะลองไปตรวจที่โรงพยาบาลดูก็คงจะไม่เสียหายอะไร ถ้าไม่ได้เป็นอะไรก็ถือว่าดีไป แต่ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาจริง ๆ ก็จะได้รักษาเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่ารอให้ถึงขั้นอาการหนักแล้วค่อยไปตรวจเลย"
หม่าหมิงหยูพยักหน้ารับคำพร้อมกับกล่าวว่า
"ป้าหลี่อย่าเป็นห่วงไปเลยครับ วันหยุดนี้ผมจะรีบไปตรวจที่โรงพยาบาล"
"ทำไมต้องรอจนถึงวันหยุดด้วย?"ป้าหลี่รู้สึกเป็นกังวลใจ จึงกล่าวอีกว่า
"วันนี้วันจันทร์ อีกหลายวันกว่าจะหยุด โรคไม่อาจรอได้นะ ไปตรวจเสียตั้งแต่ตอนนี้แหละจะได้สบายใจ"
เสียงของป้าหลี่ดังมากจนทำให้ผู้คนรอบข้างได้ยินกันหมดทุกประโยค
เมื่อผู้กำกับหวังได้ยินเข้า จึงเดินออกมาดูและเมื่อเขาเห็นป้าหลี่แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า
"ป้าหลี่ ก่อเรื่องอีกแล้วหรือ?"
ชุมชนที่อยู่บริเวณหลังสวนสาธารณะแห่งนั้นทุกคนต่างก็อยู่กันมานานมากกว่าสามสิบปีแล้ว
ผู้กำกับหวังทำงานที่สถานีตำรวจแห่งนี้ตั้งแต่ยังหนุ่มเขาจึงรู้จักกับทุกครัวเรือนที่อยู่อาศัยบริเวณนั้นเป็นอย่างดี และเขารู้ว่าผู้คนเหล่านั้นใช้ชีวิตกันอย่างไร
เมื่อเห็นว่ามีเหงื่อออกที่บริเวณหน้าผากของป้าหลี่ และสีหน้าของหม่าหมิงหยูดูซีดเซียวและมึนงง ผู้กำกับหวังจึงรีบกล่าวว่า
"ป้าหลี่ นี่คือหนุ่มไฟแรงจากสถาบันตำรวจของเรา และเพิ่งจบมาได้ไม่นาน ป้ามีเรื่องอะไรกับเขาหรือ? บอกผมได้ ผมจะจัดการให้ป้าเอง" ป้าหลี่รู้สึกกระวนกระวายใจขณะที่กล่าวว่า "ตำรวจหนุ่มไฟแรงของคุณเป็นโรคร้ายแรงที่ท้อง ป้าเลยแนะนำให้เขารีบไปตรวจที่โรงพยาบาล"
เมื่อได้ยินดังนั้นผู้กำกับหวังจึงจ้องมองไปยังใบหน้าที่ยับยู่ยี่ของหม่าหมิงหยู และรีบเรียกนายตำรวจอีกคนเข้ามา
"จางชิง รีบพาหม่าหมิงหยูไปโรงพยาบาลเร็วเข้า"
จากนั้นจึงจ้องมองหม่าหมิงหยูแล้วถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
"เจ้าเด็กคนนี้ ป่วยก็ต้องบอกสิ ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายสักนิด ดูหน้าเจ้าสิซีดเซียวหมดแล้ว เจ็บมากหรือเปล่า?"
หม่าหมิงหยู "...."
เขานิ่งเงียบโดยที่ไม่ได้กล่าวอะไร แต่ภายในใจนั้นต้องการที่จะกล่าวว่า ผู้กำกับครับ คุณจะเชื่อผมหรือเปล่า ถ้าผมจะบอกว่าผมถูกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งทำให้รู้สึกกลัว?
หลินชิงหยินถือกระดาษแข็งแผ่นนั้นเดินไปเป็นระยะทางไกลพอสมควรกว่าจะถึงบ้านของตนเอง
เธอล้วงเอากุญแจออกมาแล้วไขประตูเข้าไปข้างในจากนั้นจึงวางกระดาษไว้ที่หลังตู้ตรงบริเวณประตู และรีบล้างมือให้สะอาดก่อนที่จะใส่น้ำร้อนลงไปในถ้วยบะหมี่นั้น
หลินชิงหยินหยิบตะเกียบคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมาและกัดไปหนึ่งคำ ขณะที่คิ้วของเธอขมวดมุ่น จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบแก้วน้ำที่วางไว้ข้างอ่างล้างจานและดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
ในโลกยุคปัจจุบันนี้นอกเหนือจากจะมีพลังงานที่แสนจะเบาบางแล้ว สิ่งที่น่าปวดหัวที่สุดสำหรับเธอคือเรื่องการกิน
ในชีวิตที่ผ่านมาเธอกินเพียงเล็กน้อย เพราะก่อนที่เธอจะเข้าสำนักพยากรณ์ ครอบครัวของเธอมีสมาชิกทั้งหมดห้าคน และในจำนวนนั้นมีสี่คนที่ต้องตายเนื่องจากอาการหิวจนไส้ขาด
ก่อนที่เธอจะหิวตาย เธอโชคดีที่ได้พบกับท่านอาจารย์และเขาได้พาเธอไปยังโลกของผู้วิเศษ และในเวลานั้นสำนักเสิ่นฉวนเป็นสำนักที่ใหญ่ที่สุดในโลกของผู้วิเศษ
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากรเพื่อเพิ่มสมรรถภาพในการฝึกฝน
หลินชิงหยินกินอาหารได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเมื่อเธอมาอยู่ในยุคนี้เธอได้กินเพียงแค่บะหมี่ที่มีรสเค็มเท่านั้น
เธอไม่เข้าใจว่าอาหารชนิดนี้เหตุใดมันจึงมีรสชาติที่ห่วยมากเช่นนี้ แต่ผู้คนกลับนิยมชมชอบที่จะกินมัน?
ทำไมพวกเขาถึงใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้ออาหารประเภทนี้?
หรือเธอต้องตรวจสอบโชคชะตาเผื่อจะรู้เหตุผลของผู้คนในยุคนี้?