WMR ตอนที่ 5 คาถาผูกมัด
“แอนนี่ เราทิ้งโอกาสนี้ไม่ได้”
การโต้เถียงระหว่างพี่น้องยังคงดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตามดูเหมือนมิเชลจะเหนือกว่า
"แต่......เราไม่มีทางเลือกแล้ว" แอนนี่พูดพร้อมกับส่ายหัว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง มิเชลก็เดินเข้าไปใกล้แอนนี่ก่อนจะพูดอย่างช้า ๆ:
“ผิดแล้วแอนนี่ เรายังมีทางอยู่ และทางที่ว่าคือต้องพึ่งเจ้า”
เมื่อได้ยินดังนั้นกู้เป่ยก็อดให้ความสนใจไม่ได้
เขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าจะหลบหนีจากกองกำลังของตระกูลลิเธอร์อย่างไร
“ตระกูลลิเธอร์ไม่เข้าใจว่าเป้าหมายของเราคืออะไร และยังไม่รู้อีกว่าเรามีกี่คน” น้ำเสียงของมิเชลฟังดูน่าเชื่อถือ “ดังนั้นควรเป็นเรื่องง่ายสำหรับเจ้าที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขา พวกเขาอาจคิดว่าตัวประกันอยู่ในมือของเจ้า สิ่งที่เจ้าต้องทำคือวิ่งไปทางใต้ ข้ารับรองว่าพวกเขาจะตามเจ้าไม่ทัน”
แอนนี่ลังเล:
“ข้าต้อง..... เบี่ยงเบนตวามสนใจของพวกเขา?”
มิเชลพยักหน้าแล้วชี้ไปที่กู้เป่ย:
“ข้าจะซ่อนอยู่ที่นี่พร้อมกับเขา หลังจากที่เจ้าล่อพวกนั้นออกไปแล้ว ข้าจะพาเขาไปเปิดคลังสมบัติ และเมื่อข้าได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เราจะไปพบกันอีกครั้งที่เดิม”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เธอก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ “ไม่ต้องกังวล ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น!”
“…”
หลังจากฟังมิเชลแล้ว แอนนี่ก็เงียบไป
แอนนี่หรือแม้แต่กู้เป่ยที่อยู่ข้าง ๆ พวกเขาก็สามารถบอกได้ว่านี่คือแผนเสียสละแอนนี่เพื่อปกป้องตัวเอง
อาจกล่าวได้ว่านี่คือกลยุทธ์หันเหศัตรูออกจากเป้าหมายหลัก แต่หากมองตามความเป็นจริง นี่ไม่ต่างจากการขอให้แอนนี่ไปตาย เพราะถ้าต้องการดึงดูดความสนใจของทหารที่กำลังไล่ตามเธอจะต้องเข้าไปใกล้พวกเขามาก แต่เมื่อเธอเข้าใกล้แล้วก็ยากจะบอกว่าเธอจะสามารถสลัดพวกเขาหลุดอีกครั้งได้หรือไม่
“เป็นแผนที่เลือดเย็นมาก” เสียงกลไกของระบบดังขึ้นทันใด “ทรมานและคุ้มกัน งานที่น่าเบื่อทั้งหมดถูกโยนให้ผู้เป็นน้องสาว และเมื่อหมดประโยชน์ก็ส่งนางไปเป็นเหยื่อล่อ แม้ว่าแอนนี่จะสามารถใช้เวทมนตร์ได้ แต่ข้าเกรงว่านางคงไม่สามารถหนีพวกทหารพ้น!”
ทันใดนั้นกู้เป่ยก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที:
“นี่นายกำลังจะบอกว่านางวางแผนกำจัดแอนนี่มาโดยตลอด?”
เสียงระบบฟังดูมั่นใจมาก “เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการแบ่งสมบัติให้ใคร ท่านลองคิดตามข้าดู เมื่อแอนนี่ฆ่าแซลลี่ ข้าคิดว่านางต้องรู้ความจริงแน่ แต่ทำไมนางถึงยังแกล้งโง่อยู่กันเล่าหากไม่ใช่เพราะแผนนี้?”
กู้เป่ยอดคิดตามไม่ได้
ก่อนนี้เขาเคยเห็นอุบายของมิเชลแต่ไม่ได้คิดอะไร อย่างไรก็ตามจากข้อมูลที่เขาได้มาล่าสุด ดูเหมือนชัยชนะที่เขาได้มาอาจมีเบื้องหลังแอบแฝง
เขาต้องการซื้อเวลาเพื่อให้การหลบหนีของเขาเป็นไปอย่างราบรื่น และมิเชลก็ยอมทำตามข้อตกลงที่เขาเสนอ ในตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นเพราะมีทหารกำลังไล่ตามมิเชลจึงไม่มีเวลามานั่งซักถามเขา บนพื้นผิวนี่ดูเหมือนชัยชนะของเขา แต่น่าเสียดายที่ความจริงแล้วเป็นมิเชลต่างหากที่ตั้งใจมอบมันให้
เมื่อคิดได้ดังนั้นกู้เป่ยก็อดตะโกนในใจไม่ได้
ฉันไม่ควรพูดตั้งแต่แรก!
หากเขาหุบปากไว้ แม้ว่าเขาจะต้องทนทรมานและเสียเลือดไปบ้าง แต่เขามั่นใจเลยว่ามิเชลจะไม่ฆ่าเขาแน่นอน เพราะดูแล้วเธอคงยอมแลกทุกอย่างเพื่อสมบัติที่ว่านั่น
เพื่อหลีกเลี่ยงกองกำลังของตระกูลลิเธอร์ มิเชลจะต้องคอยเปลี่ยนตำแหน่งและสอบสวนเขาต่อไป ในระหว่างการชักเย่อระหว่างเธอกับผู้ไล่ตาม เขาจะสามารถซื้อเวลาเพิ่มได้ ขณะที่เธอจะสูญเสียความเยือกเย็นและเปิดเผยข้อบกพร่องมากขึ้น ในท้ายที่สุดเขาอาจถึงขั้นทำให้เธอตื่นตระหนกได้เลยด้วยซ้ำ!
เอาเข้าจริงคนที่ควรกังวลมันมิเชลต่างหากเล่าไม่ใช่ฉัน!
สำหรับความทรมานที่เขาต้องเผชิญ กู้เป่ยรู้สึกว่าเขาทนมามากเกินพอแล้ว
“เป็นการสูญเสียที่ไม่คุ้มค่าเลยจริง ๆ!” เขาอดพูดในใจไม่ได้
“อันที่จริงมันก็ไม่ได้สูญเสียมากขนาดนั้น ท่านคิดว่าแอนนี่ไม่ได้ตั้งใจฆ่าใครสักคนจริงเหรอ? เพราะถ้าหากท่านไม่สารภาพนางก็คงทุบตีท่านจนตาย และนั่นต่างหากที่เรียกว่าการสูญเสีย” ระบบพูดอย่างเป็นมิตรเพื่อปลอบโยนกู้เป่ย “ท่านลองมองในแง่ดีสิ อย่างน้อยท่านก็ถูกทรมานน้อยลง”
กู้เป่ยถอนหายใจอีกครั้ง เขาได้แต่ยอมรับชะตากรรมของตนเอง ในเมื่อเขาตกหลุมพรางของคนอื่นไปแล้ว แทนที่จะมามัวเสียใจเขาควรเอาเวลามาคิดดีกว่าว่าตอนนี้ควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
รู้อะไรไหม เวลาของเขาใกล้จะหมดลงเต็มที
“ไม่มีทางที่แอนนี่จะเต็มใจเป็นเหยื่อล่อ นายว่าหากเราฉวยโอกาสตอนที่ทั้งสองคนทะเลาะกันโอกาสของเราจะมีเท่าไหร่?”
กู้เป่ยกับระบบคุยกันอยู่พักหนึ่ง แต่เอาเข้าจริงมันเหมือนกับเขากำลังคุยกับตัวเองมากกว่า
“ต่ำมาก” คำตอบของระบบยังคงรุนแรงเช่นเคย “แม้พวกนางจะเริ่มโต้เถียงกัน แต่พวกนางก็ไม่ได้ตาบอดสักหน่อย ถ้าคนตัวใหญ่ที่อยู่ใต้จมูกต้องการหลบหนี ใครบ้างจะไม่สังเกตเห็น?”
เมื่อได้ยินดังนั้นกู้เป่ยก็เถียงไม่ออกเพราะมันเป็นความจริง
เขาพยักหน้าและกล่าว:
“ที่นายว่ามาก็ถูก งั้นนายมีความคิดที่ดีกว่านี้ไหม?”
“…ไม่”
“เอาล่ะงั้นเราจะทำตามที่ฉันคิด” กู้เป่ยกล่าวอย่างเด็ดขาด
ระบบไม่ได้ตอบกลับ
หลังจากวางแผน ความสนใจของกู้เป่ยก็กลับสู่ความจริง เขาเฝ้าสังเกตมิเชลและแอนนี่อย่างเงียบ ๆ เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม
แต่น่าเสียดายที่แผนของเขาต้องล้มเหลว
แอนนี่ไม่พูด ดูเหมือนเธอจะยังลังเลอยู่ เมื่อเห็นแบบนี้มิเชลก็รู้ว่ามีเวลาไม่มาก ดังนั้นเธอจึงก้าวไปข้างหน้าและจับมือแอนนี่ก่อนจะเปิดโหมด "พี่สาวที่รักใคร่" อีกครั้ง
“แอนนี่ ข้าเชื่อในตัวเจ้ามาตลอด คราวนี้เจ้าเชื่อข้าได้ไหม?”
เมื่อเจอประโยคนี้เข้าไป เสียงสะอื้นก็ดังลอดออกมาจากใต้ฮูดของแอนนี่
หลังจากนั้นแอนนี่ก็พูดว่า:
“อืม ข้าเชื่อเจ้า!”
กู้เป่ยเริ่มตื่นตระหนกอีกครั้ง
ที่จริง... พวกเธอ... ไม่ได้ผิดใจกัน...
“มิเชล ใต้ต้นไม้ต้นที่สามตรงที่เก่า ข้าได้เก็บสมบัติทั้งหมดไว้ตรงนั้น เจ้าอย่าลืมไปขุดมันล่ะ” แอนนี่พูดพลางสะอื้น ราวกับนี่เป็นการสั่งเสียครั้งสุดท้ายของเธอ “เจ้าต้องอยู่ต่อไปและทำฝันของเราให้เป็นจริง ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า...”
เมื่อพูดจบทั้งสองก็กอดกันและเริ่มร้องไห้
กู้เป่ยพูดไม่ออก
“เธอไม่ได้โง่เพราะเธอรู้ว่ามิเชลส่งเธอไปเป็นเหยื่อล่อ อย่างไรก็ตามในเมื่อเธอรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตาย งั้นทำไมเธอถึงไม่คัดค้านเลย?”
กู้เป่ยไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาเห็น
ระบบยังคงกล่าวตามปกติของมัน แต่คราวนี้มันกล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายกับหญิงชราที่ดูละครของ เฉิง เหยา1ขณะที่กำลังเช็ดน้ำตาของเธอ:
“เป็นคู่ดอกลิลลี่ที่น่าสัมผัสเสียจริง”
เนื่องด้วยเวลาที่มีจำกัด การแสดง “ความรักระหว่างพี่น้อง” จึงค่อนข้างสั้น แอนนี่ร้องไห้เพียงไม่กี่วินาที และทั้งสองก็แยกจากกัน หลังจากจับมือและสบสายตากันและกันอย่างเสน่หาไม่กี่วินาที แอนนี่ก็พยักหน้า แล้วหันหลังกลับอย่างแน่วแน่
ร่างที่สวมเสื้อคลุมของเธอดูพร่ามัวขณะที่วิ่งไปยังทางที่พวกเขามา
เธอกลับไปเพื่อหันเหความสนใจของพวกทหารที่กำลังไล่ตาม
แม้ร่างของแอนนี่ที่หายไปแล้ว แต่กู้เป่ยก็ยังไม่ตอบสนอง
แผนของเขาคือเมื่อทั้งสองเริ่มโต้เถียงกันเขาจะอาศัยโอกาสนั้นเพื่อหลบหนี แต่น่าเสียดายที่แผนของเขาไม่สามารถตามการเปลี่ยนแปลงได้ทัน สิ่งที่เขาไม่คาดคิดเลยก็คือทั้งสองไม่ได้มีปากเสียงกัน ส่วนแอนนี่ก็ยอมรับความตายของเธอแต่โดยดี
สมองของเธอมันผิดปกติรึไง?
ดูเหมือนว่าโลกใหม่ที่เขาถูกเทเลพอร์ตมาจะมีอะไรให้เขาเรียนรู้อีกมาก
ขณะที่กู้เป่ยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป มิเชลก็ขยับ เธอเหยียดมือและชี้มาทางเขา พร้อมกันนั้นสายลมยามค่ำคืนก็พัดเสื้อคลุมยาวของเธอ
ทันใดนั้นคาถาที่ซับซ้อนและแลดูคลุมเครือก็ดังเข้ามาในหูของกู้เป่ย
ก่อนที่กู้เป่ยจะทันได้ตอบสนอง เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่ปรากฏขึ้นรอบตัวเขา พลังนั้นยับยั้งเขาในทันทีทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสมบูรณ์
จากนั้นมิเชลก็เดินเข้ามาจับกู้เป่ยเข้าที่คอเสื้อ และเริ่มลากเขาไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ใกล้ที่สุด
กู้เป่ยตกตะลึง เธอวางแผนจะทำอะไร?
เนื่องจากถูกมัดไว้ด้วยเวทมนตร์กู้เป่ยจึงไม่สามารถขัดขืนได้ เขาทำได้เพียงเฝ้าดูขณะที่ถูกลากขึ้นไปบนต้นไม้ จากนั้นมิเชลก็มัดเขาไว้กับกิ่งที่สูงที่สุดของต้น
หลังจากมั่นใจว่ามัดกู้เป่ยไว้แน่นหนาแล้ว มิเชลเองก็นั่งลงข้างเขาและใช้ใบไม้ที่อยู่รอบ ๆ เพื่อซ่อนทั้งสองไว้อย่างสมบูรณ์
เธอซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้และรอให้กองทหารจากตระกูลลิเธอร์ถูกหันเหความสนใจไป
ส่วนกู้เป่ยก็ถูกมัดไว้แน่นโดยมีมิเชลจับตาดูอย่างใกล้ชิดทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย
“ผู้หญิงคนนี้แข็งแรงมาก!”
ท่ามกลางความเงียบจู่ ๆ ระบบก็ตะโกนขึ้นมาซึ่งนั่นทำให้กู้เป่ยตกใจ “นางคงไม่ใช่ผู้ชายหรอกใช่ไหม? ครั้งนี้ข้าพลาดเอง ข้าไม่น่าขอให้ท่านเกลี้ยกล่อมนางเลย”
“…”
ที่ระบบพูดมาก็ไม่ผิด เห็นได้ชัดว่ามิเชลแสดงพลังที่น่าเหลือเชื่อเกินกว่าผู้หญิงคนหนึ่งควรมีจริง ๆ
แม้ร่างกายของกู้เป่ยจะผอมลง แต่เขาก็ยังเป็นมนุษย์และควรมีหนักอย่างน้อยสี่สิบถึงห้าสิบกิโลกรัม แต่มิเชลกลับสามารถยกเขาแล้วปีนขึ้นต้นไม้ได้ด้วยมือเดียวราวกับเขาไม่มีน้ำหนัก เธอคล่องแคล่วจนเขาประหลาดใจ
นั่นกู้เป่ยทำได้เพียงตกใจเท่านั้น
โลกใหม่ใบนี้มีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก!
“อย่าตกใจไป เวทมนตร์จะสลายไปเองหลังจากนั้นไม่นาน” มิเชลเหลือบมองกู้เป่ย และพูดแบบสบาย ๆ “เซอร์ลิเธอร์ ข้าหวังเพียงว่าเราจะสามารถร่วมงานกันอย่างมีความสุข ได้โปรดอย่าสร้างปัญหาให้ข้าอีกเลย”
“...”
กู้เป่ยอยากจะพูดบางอย่าง แต่เขาก็พบว่าเวทมนตร์นั้นผูกมัดทุกส่วนของเขาซึ่งรวมถึงปากของเขาด้วย
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงจ้องมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ
“ท่านจบแล้ว”
ระบบปรากฏขึ้นอีกครั้ง และเยาะเย้ยด้วยเสียงกลไกที่เย็นชา “ท่านหมดทางหนีแล้วล่ะตั้งแต่ถูกมัดไว้กับต้นไม้นี่ ตอนนี้พวกทหารก็คงถูกแอนนี่ดึงความสนใจไป ความหวังที่รอการช่วยเหลือของท่านไม่มีทางเป็นไปได้อีกต่อไป ครั้งนี้ท่านจบเห่แล้ว”
จริงอย่างที่มันว่า
กู้เป่ยถอนหายใจ การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งของมิเชลนั้นไม่มีคำอื่นนอกจากโหดเหี้ยม ไม่เพียงแต่ส่งแอนนี่ไปเป็นเหยื่อล่อเท่านั้น แต่เธอยังสามารถปิดกั้นเส้นทางหลบหนีทั้งหมดของเขาได้อีกด้วย ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นการหลบหนีด้วยตัวเองหรือการช่วยเหลือจากทหาร ไม่ว่าทางไหนในเวลานี้ก็ไกลเกินเอื้อมเขาทั้งนั้น
“น่าเสียดายที่ข้า ปัญญาประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมผู้ซึ่งมาพร้อมศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ต้องมาจบลงที่นี่พร้อมกับท่านในที่ที่พระเจ้าทอดทิ้งแห่งนี้”
ระบบเริ่มคร่ำครวญถึงความโชคร้ายของมันจนทำให้กู้เป่ยถึงกับขนลุก
“เอาล่ะ พอได้แล้ว นายจะพูดแบบนั้นให้มันได้อะไรขึ้นมา?” กู้เป่ยขัดจังหวะ “แล้วอีกอย่างใครบอกว่าเราจะตายที่นี่?”
ระบบหยุดพูดอย่างไร้แก่นสาร แม้กู้เป่ยจะมองไม่เห็น แต่เขาก็รู้สึกได้เลยว่ามันกำลังดูถูกเขาอยู่: “เจ้าเด็กที่น่าสงสาร เจ้ากำลังจะตายแท้ ๆ แต่เอาเถอะมีความหวังบ้างอาจจะดีก็ได้”
กู้เป่ยไม่เก็บมาใส่ใจ
“ขนาดนักบุญยังพลาดได้ ดังนั้นแม้มิเชลจะปิดเส้นทางหลบหนีของฉันทั้งหมด แต่บางทีเธออาจเปิดหน้าต่างให้ฉันโดยไม่รู้ตัวก็ได้ใครจะรู้”
ระบบยังคงดูถูกเช่นเดิม “จริงเหรอ? งั้นหน้าต่างที่ว่าอยู่ไหนเล่า ทำไมข้าไม่ยักเห็น?”
กู้เป่ยไม่ได้อธิบาย แต่หัวเราะอยู่ในใจ ไม่นานความสนใจของเขาก็กลับสู่ความจริง เขามองไปที่มิเชลผู้ซึ่งยังไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็พูดกับระบบในใจว่า:
“คาถาที่เธอร่ายเมื่อครู่นายบันทึกเอาไว้แล้วใช่ไหม?”
“...”
ระบบเงียบทันที
“คาถาวอเทอร์บอล(บอลน้ำ)อาจไร้ประโยชน์ งั้นถ้าเป็นคาถาผูกมัดล่ะ? เธอต้องไม่รู้แน่ว่าเรามีไพ่ตายอยู่” พูดจบกู้เป่ยก็มองท้องฟ้าด้วยความพอใจ กลางคืนล่วงเลยผ่านมา แถมเวลานี้เมฆยังบดบังดวงจันทร์อีก ไม่มีเวลาไหนที่เหมาะแก่การล่าไปมากกว่านี้แล้ว
ใครจะเป็นเหยื่อ ใครจะเป็นผู้ล่า?
คงถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนบทบาทกันแล้ว
ด้วยสายลมยามค่ำคืน ประโยคที่ทำลายหัวใจของระบบก็ถูกเปล่งออกมา:
“เริ่มวนซ้ำคาถาผูกมัด”
.......
เฉิง เหยา1 เป็นนักเขียนและโปรดิวเซอร์ชาวไต้หวัน ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นนักประพันธ์โรแมนติก มีนิยายของเธอมากมายที่ถูกนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์และละคร
ผู้วิเศษกับนักเวทย์จะถูกใช้สลับกันบางโอกาสนะครับ แต่ส่วนมากผมจะใช้ผู้วิเศษเป็นหลัก